px

เรื่อง : การต่อสู้ชิงบัลลังก์ในเงามืดของเจ้าชายไร้ค่าสุดแกร่ง (Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi )
ตอนที่ 12 อุบัติการณ์สึนามิ


 

“เห้อ....! มันกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไงเนี่ย!!”

 

เช้าวันที่สาม แม้ว่าเอลน่าจะรู้สึกเจ็บใจกับผลลัพธ์ที่ออกมา, แต่เขาคิดว่าแบบนี้แหล่ะดีแล้ว

 

เพราะเรื่องที่คริสต้าพูด, เขาถึงพยายามอยู่ใกล้เคียร์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้และตอนนี้ก็กำลังมุ่งหน้าลงใต้อยู่ ตั้งแต่ผ่านคืนแรกมานั้น, เอลน่าก็หดหู่อยู่ตลอด เธอไม่คัดค้านการตัดสินใจของเขาเลย และมันก็ไม่มีความรู้สึกเลยว่าเขาจะชนะในการแข่งขันนี้

 

ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือ, อัตราการเผชิญหน้ากับมอนส์เตอร์ของพวกเขาในวันที่สองนั้นลดลงอย่างฮวบฮาบ แต่ถ้าพิจารณาจากนิสัยของมอนส์เตอร์แล้ว, นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดาหล่ะนะ

 

สัญชาตญาณการเอาตัวรอดของมอนส์เตอร์แข็งแกร่งกว่ามนุษย์ นี่จึงเป็นสาเหตุที่พวกมันไม่อยากข้องเกี่ยวกับพวกที่แข็งแกร่งกว่าตัวเอง

 

“อัล, พวกเราจะหยุดกันที่นี่หรอ....?”

 

“รอแปบนึงนะ, กำลังคิดอยู่”

 

พอพูดจบ, เขาก็มีความรู้สึกไม่สบายใจที่ว่าเหตุการณ์มันเป็นไปตามที่คำนวณเอาไว้มากเกินไป

 

เนื่องจากการล่าของเอลน่าในวันแรก, มอนส์เตอร์ที่อยู่ระแวกใกล้เคียงจึงมองว่าเธออันตรายและตัดสินใจว่าจะไม่เข้าใกล้เธอ

 

นี่อาจจะเป็นเรื่องที่รู้กันโดยทั่วไปในหมู่นักผจญภัยแต่สำหรับอัศวินอย่างเอลน่านั้น, มันเป็นเรื่องแปลกสำหรับเธอ พวกอัศวินอาจจะสามารถกำจัดพวกมอนส์เตอร์ได้แต่ความรู้เกี่ยวกับมอนส์เตอร์ของพวกเขาไม่สามารถเทียบกับนักผจญภัยได้เลย ถ้าเขาอยู่กับกลุ่มนักผจญภัยก็คงจะทำการล่าอย่างระมัดระวังในช่วงแรกและทำให้มั่นใจว่าการล่าวันที่สามนั้นจะเล่นใหญ่ที่สุด

 

 เหตุผลที่เขาไม่หยุดพวกอัศวินแม้จะรู้เรื่องนี้อยู่แล้วก็เพราะเขาหวังให้มันพัฒนาในรูปแบบนี้

 

ตอนนี้, พวกที่เอาชนะมอนส์เตอร์แรงค์ AAA ได้นั้นมีแค่กลุ่มของกอร์ดอน, ลีโอ, แล้วก็กลุ่มของเขา ตั้งแต่เริ่มการแข่งมา, ทั้งสามกลุ่มนี้ก็นำอยู่รวมทั้งกลุ่มของอาร์โนลด์ที่เอาชนะหมาล่าเนื้อมาได้แต่ว่านั่นคงจะเปลี่ยนไปในเร็วๆนี้

 

แม้จะเป็นเช่นนั้น, แต่เขาก็ยังคงมุ่งหน้าลงใต้ต่อ ซึ่งเหตุผลก็เพราะลีโอกับอัศวินของเขาอยู่ทางใต้ ถ้ามอนส์เตอร์กำลังหนีจากเอลน่า, พวกมันก็จะต้องหนีลงใต้อย่างแน่นอน หรือพูดอีกนัยนึงก็คือ, พวกมอนส์เตอร์กำลังถูกต้อนไปหาลีโอ

 

ในตอนที่เขาวางแผนนี้ขึ้นมา, ตอนแรกเขาคิดว่าจะต้อนมอนส์เตอร์ไปหาลีโอในฐานซิลเวอร์แต่ตอนนี้เขาลองเอามาใช้กับเอลน่าดู และก็ต้องขอบคุณแผนนี้, ลีโอถึงสามารถจัดการมอนส์เตอร์แรงค์ AAA ได้

 

วิธีการที่แน่นอนที่สุดสำหรับกลุ่มพวกเขาก็คือการเอาชนะด้วยตัวเองแต่ถึงอย่างนั้นการให้ลีโอเป็นผู้ชนะจะดีที่สุด เพราะผลการแข่งวันแรก, เขาก็เลยช่วยลีโอแบบนี้เพราะมันมีความเป็นไปได้ว่าพวกเขาจะชนะในการแข่งเนื่องจากความสำเร็จในการจัดการหมาล่าเนื้อ แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะไปได้ดีเกินไป

 

ถ้าลีโอจัดการมอนส์เตอร์คลาส AAA ได้อีกมันก็คงจะสมบูรณ์แบบแต่เขาคิดว่ามันคงจะเป็นการหวังมากเกินไปหล่ะมั้ง?

 

ภาคีอัศวินหลวงระดับหัวหน้านั้นสามารถเอาชนะมอนส์เตอร์คลาส AAA ได้ อย่างไรก็ตาม, คนที่จะจัดการมันได้อย่างสบายๆนั้นก็คงจะมีแค่หัวหน้าระดับสูงเท่านั้น ถ้าลีโอไม่สามารถจัดการพวกมันได้การต้อนมอนส์เตอร์ไปหาเขาก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไร

 

ยิ่งไปกว่านั้น,

 

“ใกล้ถึงเวลาที่จะเคลื่อนไหวกันแล้วสินะ.....”

 

“อัล.......?”

 

“อ้ะ? ขอโทษที ข้ากำลังคิดว่าพี่เอริคกับพีซานดร้ากำลังวางแผนทำอะไรแปลกๆอยู่รึเปล่า.......”

 

“รู้สึกเราจะไม่เจอมอนส์เตอร์แรงค์ AAA อีกเลย, ถึงแม้จะอยู่ฝั่งตะวันออกแต่มีคนเจอแค่สามกลุ่มแบบนี้ข้าเองก็ประหลาดใจเหมือนกัน”

 

“ก็จริงนะ......”

 

“หะ, หัวหน้าครับ! องค์ชาย! ชะ, ช่วยดูนี่หน่อยครับ!”

 

ในตอนที่เขากำลังพูดกับเอลน่า, อัศวินคนนึงก็เข้ามาขัดแล้วเอาผลึกแก้วให้ดูอยากลุกลี้ลุกลน

 

สิ่งที่สะท้อนอยู่ในนั้นก็คืออันดับ ณ ปัจจุบัน

 

พวกเขาตกไปอยู่ที่สอง ส่วนคนที่ไต่ขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งก็คือเจ้าชายลำดับห้า, คาร์ลอส เลคส์ แอดเลอร์

 

“นี่มันหมายความว่ายังไง?”

 

“จะ, จู่ๆอันดับมันก็เปลี่ยนครับนายหญิง.....บางทีเขาคงเอาชนะมอนส์เตอร์คลาส AAA ได้สองตัวในเวลาเดียวกัน.......”

 

“เป็นไปไม่ได้! ไม่มีทางทำได้หรอกเว้นเสียแต่ว่าจะเป็นนักผจญภัยแรงค์ SS หรือหัวหน้าระดับสูง! หัวหน้าที่ถูกส่งไปให้องค์ชายคาร์ลอสคือหัวหน้าหน่วยเจ็ดนี่ ข้าไม่ได้จะว่าเขาอ่อนแอนะแต่ระดับเขาทำแบบนั้นไม่ไหวหรอก”

 

“อาจจะไม่ใช่การต่อสู้ตรงๆก็ได้ พวกนั้นอาจจะจัดการมอนส์เตอร์ตอนที่พวกมันกำลังหลับหรือสู้กันเองอยู่ มันมีความเป็นไปได้ตั้งหลายอย่าง”

 

“มันจะบังเอิญได้ขนาดนั้นเลยหรอ!?”

 

เอาเถอะ, มันก็ธรรมดาหล่ะที่จะคิดว่าเรื่องแบบนี้มันเป็นไปไม่ได้ แต่ว่ามันก็เกิดขึ้นไปแล้ว

 

อย่างนี้เองสินะ สุดท้ายเจ้าคงทนไม่ไหวและในที่สุดก็โผล่หางออกมา ตอนแรกข้าก็กังวลอยู่ว่าจะมีเรื่องใหญ่กว่านี้แต่ถ้าเป็นคาร์ลอสข้าก็เชื่อแหล่ะ เจ้านั่นมันโง่ดังนั้นต้องมีคนหลอกใช้เขาแน่ๆ

 

เจ้าชายลำดับห้าคาร์ลอสมีอายุ 23 ปี เขาเป็นคนที่ไม่มีลักษณะเด่นอะไรเลย เขาไม่เคยถูกพูดถึงในเรื่องที่ดีหรือเรื่องที่แย่ อย่างไรก็ตาม, เขามักจะพูดถึงความฝันของเขาในการได้เป็นผู้กล้า

 

การควบคุมเขาไม่ใช่เรื่องยากถ้าสามารถกระตุ้นความปราถนานี้ของเขาได้

 

“ถ้ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญหล่ะ? หรือว่าจะมีการเล่นสกปรก?”

 

“นั่นมัน....”

 

“ตอนนี้พูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก เส้นตายคือจนกว่าจะหมดคืนของวันที่สาม พวกเราจะทำเท่าที่ทำได้ก็แล้วกัน”

 

พอพูดจบ, เขาก็แทบจะตัดใจเรื่องการหามอนส์เตอร์แล้ว

 

ขอโทษด้วยนะแต่ไม่มีมอนส์เตอร์ที่เอลน่าเข้าใกล้แล้วจะไม่วิ่งหนีหรอก มันเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเราจะกลับไปอยู่จุดเดิม

 

อย่างไรก็ตาม, เขาไม่ได้สนใจคาร์ลอสมาตั้งแต่แรกแล้ว

 

ท่านทวดบอกว่าเป้าหมายของเขาไม่ใช่การชนะในเทศกาลนี้ ซึ่งนี่เป็นความเห็นจากคนที่เคยเอาชนะในสงครามผู้สืบทอดที่เต็มไปด้วยกลอุบายต่างๆนาๆและกลายเป็นจักรพรรดิได้ เขามีเครดิตมากพอที่จะทำให้ควรเชื่อในความคิดเห็นของเขา

 

แถมยังมีฝันร้ายที่คริสต้าเห็นอีก

 

ถ้าเชื่อในฝันร้ายของเธอว่าเคียร์จะถูกมอนส์เตอร์ล้อม, เขาก็คงคิดได้แค่กรณีที่เลวร้ายที่สุด

 

แน่นอนว่า, เคียร์นั้นมีกองอัศวินรักษาการณ์คอยคุ้มกันอยู่แต่ตอนนี้อัศวินหลวงที่มีหน้าที่คุ้มกันจักรพรรดิถูกส่งมาอยู่กับพวกลูกๆของเขา ตอนนี้เขาอยู่ในจุดที่โดนโจมตีง่ายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

คนที่อยู่ใกล้เคียร์นั้นมีแค่เขา, ลีโอแล้วก็คาร์ลอส ส่วนคนอื่นๆกำลังออกห่างจากเคียร์ไปเรื่อยๆในขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่นี้

 

 เขาคงวางแผนว่าจะช่วยจักรพรรดิก็เลยตั้งใจอยู่ให้ใกล้เมืองหลวงสินะ เจ้าคาร์ลอสนั่น

 

เขาเป็นคนโง่แต่เขาก็ไม่ควรคิดว่าแผนมันจะดำเนินไปได้โดยไม่ติดขัดอะไร

 

“ขอร้องนะ, ช่วยทำตัวให้ฉลาดกว่านี้หน่อยเถอะ.......”

 

ด้วยการพึมพำเบาๆ, เขาก็ภาวนาต่อสวรรค์ขอให้พี่ชายของเขาฉลาดกว่านี้

 

ในตอนนั้นเองพื้นดินก็สั่นสะเทือนขึ้นมา

 

คนแรกที่รู้สึกตัวก็คือเอลน่า

 

“อย่าบอกนะว่า....นี่คือ”

 

“เอลน่า! เกิดอะไรขึ้น!?”

 

 เขาลงจากม้าที่ตื่นตระหนกแล้วถามเอลน่า

 

มีบางอย่างเกิดขึ้นแน่ๆแต่เขาไม่พบอะไรจากจุดที่เขาอยู่เลย แถมเขายังใช้เวทมนตร์ต่อหน้าเอลน่าไม่ได้อีก

 

ที่นี่เขาคงทำได้แค่พึ่งพาเธอ

 

เอลน่าลงจากม้าแล้วเอาหูแนบกับพื้นดิน

 

จากนั้นเธอก็ค่อยๆลุกขึ้นมา

 

“...มีฝูงมอนส์เตอร์จำนวนมากกำลังเคลื่อนไหวอยู่ ....มันคือ ‘สึนามิ’”

 

‘สึนามิ’ หรอ....?”

 

“ในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยมอนส์เตอร์นั้น, จะมีบางครั้งที่การเคลื่อนย้ายของมอนส์เตอร์ทับซ้อนกันจนกลายเป็นการเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่ขึ้นมา......เพราะพวกเราต้อนมอนส์เตอร์ทางฝั่งตะวันออกมาเกินไปตอนนี้พวกมันก็เลยกำลังหนีไปรวบกัน, ไม่ผิดแน่….!”

 

แบบนี้นี่เอง พอจะเข้าใจแผนแล้วหล่ะ

 

การอ้างแบบนี้คงฟังดูมีเหตุผลที่สุดแล้ว, และมันก็ง่ายที่จะอธิบายที่มาของปรากฎการณ์แบบนี้ด้วย

 

แถมมันยังก็ดีกว่าการเอาเรื่องขลุ่ยที่สามารถควบคุมมอนส์เตอร์ได้ขึ้นมาพูดอย่างแน่นอน บางทีคาร์ลอสก็น่าจะใช้คำอธิบายนี้เหมือนกัน

 

อย่างไรก็ตาม, ถ้าให้นักผจญภัยอย่างเขาออกความเห็น, มันถือเป็นเรื่องแปลกที่มอนส์เตอร์กำลังหนีไปยังทิศทางเดียวกันในเวลาพร้อมกันแบบนี้ คำว่า ‘สึนามิ’ นั้นเกี่ยวข้องกับการปะทุของภูเขาไฟ, พายุขนาดยักษ์, และภัยธรรมชาติต่างๆ ในจุดนี้, คนๆเดียวที่สามารถเปรียบเทียบกับสิ่งแบบนั้นได้ก็คือเอลน่า มันคงจะเป็นอีกเรื่องนึงถ้าพวกมันกำลังหนีจากเธอแต่เสียงเท้านั้นใกล้มาก มันดูผิดธรรมชาติเกินไปที่พวกมันมองข้ามเธอแบบนี้

 

“พวกมันกำลังมุ่งหน้าไปที่ไหน?”

 

“ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป....ข้าคิดว่ามันคงจะไปถึงเคียร์ในเร็วๆนี้.....”

 

“คิดว่าอัศวินที่คอยรักษาการณ์อยู่ในเคียร์จะรับมือกับพวกมันไหวไหม?”

 

“เป็นไปไม่ได้หรอก.....ผู้บัญชาการอัศวินกำลังออกไปรับเหล่าสนมจากเมืองหลวงของจักรวรรดิเพื่องานประกาศผลในวันพรุ่งนี้ ตอนนี้มีแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่คอยคุ้มกันองค์จักรพรรดิ....พวกเขาไม่น่าจะรับมือไหวหรอก.....”

 

 ถ้าจะให้หนีกลับไปเมืองหลวงก็คงจะได้

 

ด้วยกำลังทหารที่มีอยู่นั้นคงจะทำการหลบหนีได้สำเร็จ แต่ว่า, การทำแบบนั้นมันไม่มีความหมายอะไร

 

เทศกาลนี้มีจุดมุ่งหมายคือการลดความไม่พอใจของฝั่งตะวันออก, ถ้าตัวจักรพรรดิหนีไปแล้วทิ้งให้เคียร์เจอกับสึนามิมอนส์เตอร์, ผู้คนก็จะรู้สึกไม่พอใจยิ่งกว่าเดิมอย่างแน่นอน

 

อย่างเลวร้ายที่สุด, มันอาจจะทำให้เกิดการก่อกบฎได้เลย และถ้าเรื่องมันไปไกลถึงขั้นนั้นคนที่อยู่เบื้องหลังคาร์ลอสก็จะเป็นผู้ชนะ

 

ถ้ามีสงครามขึ้นมามันก็จะสามารถสร้างความสำเร็จให้ตัวเองได้ แต่ไม่ว่ามันจะเป็นฝีมือของเอริคหรือกอร์ดอน, มันก็คือแผนการที่ไม่ห่วงความปลอดภัยของผู้คนเลย

 

ถ้าชนะสงครามผู้สืบทอดแล้วได้เป็นจักรพรรดิ, เจ้าพวกนั้นจะต้องมีหน้าที่คอยปกป้องประชาชนนะ....

 

“ว่าแล้วเชียวจะยอมให้เจ้าพวกนั้นเป็นจักรพรรดิไม่ได้จริงๆด้วย...”

 

“อัล?”

 

“....เอลน่า ถ้าข้าบอกให้เจ้าไปช่วยเคียร์จะทำได้ไหม?”

 

“....แน่นอน, ถึงยังไงการปกป้ององค์จักรพรรดิและประชาชนก็เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว”

 

“ทั้งๆที่เจ้าไม่รู้จำนวนมอนส์เตอร์เนี่ยนะ เจ้าอาจจะตายก็ได้รู้ไหม?”

 

“ข้าไม่กลัวความตายหรอก”

 

“.....นั่นรวมถึงคนที่เหลือด้วยรึเปล่า?”

 

“ครับ, องค์ชาย! พวกข้าจะปกป้องให้ได้ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม!”

 

“พวกเราจะช่วยเคียร์ให้ได้อย่างแน่นอนครับ!”

 

ลูกน้องของเอลน่านั้นมีแต่คนที่กล้าหาญ

 

ไม่กลัวความตาย, เอาชีวิตของตัวเองเข้าไปเสี่ยง คำพวกนี้ล้วนเป็นคำที่เขาเกลียดทั้งนั้น

 

เขาไม่อยากได้ยินคำพูดเห็นแก่ตัวพวกนี้

 

“...สาบานมาอย่างนึง เอลน่า จงสาบานกับดาบของตัวเองซะ”

 

“เอ๋.....? สาบานอะไรหรอ?”

 

“จงมีชีวิตอยู่ คนที่เหลือก็ด้วย ถ้าพวกเจ้าไม่ยอมสาบานแบบนี้ข้าจะไม่ยอมให้พวกเจ้าเคลื่อนไหวโดยเด็ดขาด”

 

“อัล.....”

 

เอลน่าพึมพำชื่อของเขาด้วยความประหลาดใจ จากนั้นเธอก็คุกเข่าลงพร้อมกับปักดาบบนพื้น, และเอาหน้าผากจรดฝักดาบ ลูกน้องของเธอเองก็ทำตามเหมือนกัน

 

“ข้า, เอลน่า ฟ็อน แอมส์เบิร์ก แห่งภาคีอัศวินหลวงขอสาบานกับดาบของข้า, ข้าจะไม่เอาชีวิตไปทิ้งโดยเด็ดขาด”

 

คนที่เหลือเองก็สาบานเหมือนกัน

 

ด้วยสิ่งนี้, ก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว

 

“เอาหล่ะ, ไปกันเถอะ! อัล! แต่ว่าจำนวนของมอนส์เตอร์ไม่ใช่น้อยๆพวกเราอาจจะพลิกสถานการณ์ไม่ไหวก็ได้นะ........”

 

“ไม่...ข้าไปด้วยก็เป็นแค่ตัวภาระ พวกเจ้าไปกันเองเลย”

 

ในตอนที่พูดจบเขาก็ฝืนถอดกำไลออกมา กำไลนี้มีกฏอยู่ว่าห้ามถอดออก, แต่ในเมื่อเขาถอดออกแล้วก็ถือว่าทำผิดกฏและต้องถูกตัดสิทธิไป

 

“อะ, อัล....?”

 

“แย่จัง, ข้าทำกำไลหลุดซะแล้ว ถ้างั้นก็คงทำไรไม่ได้แล้วหล่ะ, ข้านี่มันซุ่มซ่ามจริงๆ ในเมื่อมันหลุดออกมาแล้ว, ข้าก็คงต้องไปหาอะไรดื่มที่เมืองใกล้ๆสินะ”

 

“ทำไมกัน....พวกเรายังมีโอกาสตีโต้กลับมาได้นะ!? ทำไมถึงทำแบบนี้!?”

 

“ข้าหมดคุณสมบัติแล้ว ไม่ต้องห่วงนะ ข้าไม่ได้หมดคุณสมบัติเพราะพวกเจ้าเดินออกห่างจากข้า ข้าทำให้ตัวเองหมดคุณสมบัติเอง ดังนั้นไม่ต้องกังวลหรอก”

 

ถ้าเขาสั่งให้พวกอัศวินแยกจากเขาที่นี่อย่างเดียวพวกเขาก็จะลังเล ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะกำจัดเมล็ดพันธุ์แห่งความลังเลทิ้งซะ

 

เมื่อเทียบกับชีวิตของจักรพรรดิและประชาชนของเคียร์แล้ว, อันดับในงานเทศกาลก็เป็นแค่ความสำคัญที่รองลงมา

 

“อัล....เจ้านี่มัน.....”

 

“บอกท่านพ่อของข้าไปแบบนี้นะ, ข้าเป็นคนทำกำไลพังเอง”

 

เนื่องจากให้คำสาบานกับองค์จักรพรรดิไปแล้วว่า, อัศวินจะไม่ทิ้งเจ้าชาย, แม้ว่านั่นจะเป็นคำสั่งของเจ้าชายก็ตาม

 

ดังนั้นถ้าเขาถอดกำไลออกเองมันก็จะถือเป็นความรับผิดชอบของเขา

 

การทำแบบนี้จะทำให้คนอื่นไม่สามารถโทษอัศวินได้ เอาเถอะ, ถ้าพวกเขาสามารถช่วยเคียร์ได้มันก็คงจะไม่มีปัญหาแบบนั้นหรอก แต่ถึงอย่างนั้น, เขาก็ต้องคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในกรณีที่พวกอัศวินล้มเหลวด้วย ถ้าพวกเขาล้มเหลวการกล่าวโทษก็จะเริ่มขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งเขาจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นแน่ๆ

 

บางทีเธอน่าจะเดาเจตนาของเขาออก, เอลน่าทำหน้าเหมือนกับจะร้องไห้

 

อัศวินคนอื่นๆเองก็คอตกไปตามๆกัน

 

ด้วยเหตุนี้เอง, เขาจึงพูดกับพวกอัศวิน

 

“อัศวินทุกคน, จงฝั่งคำสั่งของข้า”

 

“.....”

 

“จงไปช่วยองค์จักรพรรดิและประชาชนของเคียร์ ข้าไม่สนใจว่าเมืองจะเสียหายหนักแค่ไหน สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือชีวิตของประชาชนที่นั่น”

 

“พวกเรายินดี....น้อมรับคำสั่งขององค์ชายครับ/ค่ะ”

 

“อ้อแล้วก็, คริสต้ากับฟีเน่ก็อยู่ที่นั่นเหมือนกัน, ตอนนี้สองคนนั้นคงกำลังหวาดกลัวอยู่ช่วยทำอะไรซักอย่างให้หน่อยนะ”

 

“ค่ะองค์ชาย ข้าจะ...ข้าจะนำลูกน้องบางส่วนไปช่วยพวกเธอด้วยตัวเองค่ะ”

 

เอลน่าตอบกลับด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกทั้งสิ้นหวัง, ไร้หนทาง, และเศร้าโศก

 

พวกอัศวินคนอื่นๆเองก็เหมือนกัน

 

ในระหว่างนั้น, เซบาสก็ปรากฎตัวขึ้นข้างหลังเขาโดยไม่ให้ซุ่มให้เสียง

 

“เรื่องพาองค์ชายกลับนั้นไว้เป็นหน้าที่ข้าเอง ทุกท่านไม่ต้องห่วงนะครับ”

 

“เซบาส...ทำไมถึงได้.....”

 

“ข้าก็แค่ห่วงชีวิตของเจ้านายครับ เพราะฉะนั้นช่วยฝากองค์ชายไว้กับข้าเถอะนะครับ, ท่านเอลน่า”

 

เอลน่าที่ถูกบอกว่าไม่มีความจำเป็นต้องมาคอยเป็นผู้คุ้มกันดูเหมือนจะตกใจเล็กน้อย เธออาจจะเก็บไปคิดก็ได้ว่าตัวเองไม่ได้รับอนุญาตให้ปกป้องเขาด้วยซ้ำ แต่ถึงมันจะไม่ใช่แบบนั้นเขาก็ไม่มีเวลามาแก้ความเข้าใจผิดของเธออยู่ดี

 

อย่างไรก็ตาม, สมกับที่เป็นถึงอัศวิน พวกเขาทุกคนเริ่มเตรียมม้าของตัวเองแล้ว

 

จากนั้นในตอนที่พวกเขากำลังออกเดินทาง, เขาก็พูดบอกลาพวกเขา

 

“อัศวิน ‘ของข้า’ ข้าขอฝากทุกอย่างเอาไว้กับพวกเจ้านะ มีแค่พวกเจ้าเท่านั้นที่ทำได้”

 

ในตอนที่เธอได้ยินคำนี้ดวงตาของเอลน่าก็เริ่มมีน้ำตาคลอ

 

อย่างไรก็ตาม, เธอชักดาบออกมาแล้วสะบัดมันออก

 

“ข้าอัศวินหลวง, เอลน่า ฟ็อน แอมส์เบิร์ก จะตอบสนองความปราถนาขององค์ชายให้สำเร็จให้จงได้! ข้าขอสาบานต่อดาบและชื่อของข้า, ข้าจะกำจัดศัตรูทั้งหมดและช่วยเหลือเคียร์!”

 

“ดีมาก, ขอฝากเจ้าด้วยนะ”

 

หลังจากนั้น, เอลน่ากับอัศวินของเธอก็ออกเดินทางด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ

 

ในตอนที่เขาขี่ม้าร่วมเดินทางกับพวกอัศวินก็รู้สึกว่าพวกเขาเร็วแล้วแต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะออมความเร็วเอาไว้เยอะเลย

 

พอพวกเขาหายไป

 

เขาก็พูดกับพ่อบ้านเพียงหนึ่งเดียวของเขา

 

“เซบาส”

 

“ครับองค์ชาย”

 

“เตรียมตัวซะ นับจากนี้ไป มันถึงเวลาที่จะต้องเคลื่อนไหวอย่างลับๆแล้ว”

 

“รับทราบครับ”

 

ด้วยการสวมเสื้อคลุมสีดำและหน้ากากเงินตามปกติ, เขาก็เทเลพอร์ทไปในฐานะซิลเวอร์

 

รีวิวผู้อ่าน

moomundie
1558 วันที่แล้ว

ต่อๆๆๆๆ


  แสดงความคิดเห็น