px

เรื่อง : The Strongest System จบแล้ว!!!
บทที่ 200 ตบหัวแล้วลูบหลัง…มันก็จะดีนะ!


ร่างบอบบางอ้อนแอ้นอรชนของกงปิงเยว่กำลังเดินมุ่งหน้ามาทางนี้ด้วยความเร่งรีบ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของนางที่ต้องเผชิญหน้ากับศิษย์สาวกของนิกาย

สำหรับนางนิกายคือตัวตนของขุมพลังที่แข็งแกร่งเกินต้านทาน อาศัยเพียงกลุ่มคนเล็กๆอย่างตระกูลของนาง ชั่วชีวิตนี้ไม่เคยคิดฝันสักครั้งที่จะสร้างปัญหาให้แก่ตัวตนระดับนี้!

เมื่อวังห่าวได้เห็นนางเดินมาเขาอดไม่ได้ ที่จะรู้สึกร้อนรุ่มจนแก่นกายแข็งตั้งชูชันผงาดขึ้นมาอีกครั้ง เช่นเดียวกันกับหลิวอี้หวิน เมื่อมันเห็นกงปิงเยว่เดินมา เขาก็เบิกตากว้างมองนางอย่างประหลาดใจ

"นายหญิง ... " เมื่อผู้ดูแลร้านค้าลิ่วเห็นนายหญิงของมันเดินทางมาถึง มันก็อดไม่ที่จะระบายลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ทว่ามันก็อดมองนายหญิงด้วยสายตาเป็นกังวลขึ้นมาไม่ได้ เพราะจะอย่างไรคนกลุ่มนี้ก็หาใช่ตัวตนที่พวกมันจะล่วงเกินอะไรด้วยได้

จะอย่างไรเรื่องนี้ก็เกี่ยวพันถึงทุกชีวิตของตระกูลกง เมื่อตระกูลกงถูกเพ่งเล็งจากคนของนิกายเช่นนี้ มันก็ได้แต่คับแค้นใจและได้แต่ร่วมหัวจมท้ายไปด้วย

"นายหญิงกง คนผู้นี้คือศิษย์พี่ของข้า เขาสนใจซื้อหาสัตว์อสูรทั้งหมดนี่ อีกทั้งเขายังยื่นข้อเสนอจ่ายราคาออกมาเป็นสิ่งนี้ ท่านจะว่าอย่างไรบ้างเล่า?" วังห่าวหยิบเหรียญขึ้นมา 1 เหรียญก่อนที่จะดีดมันขึ้นจนหมุนติ้วในอากาศ เพื่อให้กงปิงเยว่เห็นได้ชัดถนัดตา อย่างไรความละอาย

สุดท้ายสตรีนางนี้ก็น่าลิ้มชิมรสนัก ทว่าเมื่อเขาแอบมองไปยังท่าทีของศิษย์พี่หลิวอี้หวินก็อดหวาดหวั่นขึ้นมาไม่ได้ เพราะดูเหมือนศิษย์พี่ผู้นี้ก็คิดเรื่องราวไม่ได้แตกต่างจากเขาไปสักเท่าไร

กงปิงเยว่มองไปยังวังห่าวด้วยสายตาขยะแขยง เพียงแค่คิดว่าตัวบัดซบไร้สามารถน่ารังเกียจเช่นมัน กลับสามารถดิ้นรนจนเข้าไปเป็นศิษย์นิกายได้เช่นนี้ แล้วโลกหล้านี้ยังเหลือความยุติธรรมอันใดอยู่อีกบ้าง? แต่สิ่งสำคัญตอนนี้หาใช่วังห่าวบัดซบนี่แต่อย่างไร แต่เป็นชายที่ยืนอยู่ด้านหลังของมันต่างหาก

"คุณชายท่านนี้ ข้าน้อยเกรงว่าร้านค้าเล็กๆของพวกเราคงไม่อาจแบกรับราคาที่ท่านเสนอออกมาได้"กงปิงเยว่สลายสายตาจงเกลียดจงชังซ้ำยังขยะแขยงออกไปจนหมดสิ้น ก่อนจะหันไปมองหลิวอี้หวินและกล่าวตอบออกมาอย่างสุภาพ

หวังหู่ที่ยืนอยู่ด้านหลังนายหญิงของมัน เพ่งสายตาพินิจบุรุษผู้นี้อย่างเคร่งเครียด

ความรู้สึกที่เขาสัมผัสได้จากชายคนนี้กล่าวได้ว่าเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวง มันผู้นี้นับว่าเป็นตัวตนที่อันตรายเสียยิ่งกว่า 14 โจรจ้าวทะเลทรายไปหลายขุม อันที่จริงแล้ว ในสายตาของหวังหู่ กลิ่นอายของชายผู้นี้ราวกับระลอกคลื่นของท้องทะเลที่เกรี้ยวกราดถาโถมซัดกระหน่ำเข้ามา สะกดข่มเขาเอาไว้อย่างไร้หนทางต่อต้าน

หลิวอี้หวินพลันหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน มือของมันยื่นออกมาอย่างไม่แยแส หมายที่จะหยิกจับไปที่แก้มที่งดงามเรียบเนียนดั่งหยกพิสุทธิ์ของกงปิงเยว่

"เจ้ากล้าดียังไง…!" หวังหูพลันพลุ่งพล่านขึ้นมา แม้กระทั่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่การกระทำของตัวบัดซบตรงหน้า กับบุรุษลึกลับที่เขาพานพบในทะเลทราย มันให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงราวอยู่กันคนละโลก

แต่จะอย่างไร การที่มีบุรุษหาญกล้ากระทำการลวนลามนายหญิงของมันต่อหน้าเช่นนี้ เขาไม่อาจทานทนรับได้ ไม่ว่าตัวบัดซบตรงหน้าจะเป็นใครแต่หวังหู่คิดแลกชีวิตกับมัน! เขาโถมร่างออกไปพร้อมเร่งเร้าพลังงานที่แท้จริงทั้งหมดขึ้นมา!

"มดปลวก"

ท่าทางของหลิวอี้หวินฉายชัดออกมาถึงความดูแคลนหยามหยัน ไม่แม้แต่จะต้องปะทะกับหวังหู่ มันเพียงอาศัยฝ่ามือยกขึ้นมาและโบกพัดเบาๆในอากาศ ทว่าหวังหู่กลับปลิวกระเด็นออกไปราวดาวหาง ทุกอย่างมันเกิดขึ้นรวดเร็วเสียจนสายตาของผู้คนทั้งหมดในที่นี้ไม่อาจติดตามมองได้ทัน ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

"คุณชายได้โปรดสำรวมกริยาด้วย" กงปิงเยว่เพียงก้าวถอยหลังออกไป ก่อนที่จะจ้องมองหลิวอี้หวินด้วยสายตาเย็นชาและท่าทางไม่ยินยอมสยบ

"ศิษย์พี่ ... !"วังห่าวรู้สึกตกตะลึงกับความหน้าหนาของศิษย์พี่มัน มันไม่คิดว่าเขาจะกล้าคิดลวนลามกงปิงเยว่ออกมาโดยไม่กล่าววาจาอะไรแม้แต่ครึ่งคำ …นี่มิใช่ว่ามันจะมากเกินไปหน่อยหรือ?

"หุบปาก" หลิวหี้หวินเพียงหันไปจับจ้องวังห่าวด้วยสายตาดุร้ายพรอมกล่าววาจาเสียงแข็ง และเพียงเท่านี้ก็เพียงพอที่จะสะกดวังห่าวไม่ให้คิดสอดปากอีกต่อไป

เขาสัมผัสได้ ว่าศิษย์พี่ผู้นี้แม้ใบหน้าของมันจะมีรอยยิ้มอยู่เสมอ แต่หากตัวเขาทำอะไรล่วงเกินมันแม้เพียงนิด มันสามารถสังหารเขาได้โดยไม่กระพริบตา

"โฉมงาม เจ้าทำให้ข้าร้อนรุ่มยิ่งนัก เจ้าคิดว่าอย่างไรบ้าง หากข้าอยากให้เจ้ามาเป็นนางบำเรอของข้า? ข้าสามารถรับประกันให้แก่เจ้าได้เลยว่า ชีวิตของเจ้าจะเจริญรุ่งเรืองดีกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้มากนัก สำหรับสัตว์อสูรไร้ราคาเหล่านี้ไม่ว่าเจ้าจักต้องการมันมากน้อยสักเพียงไหน ข้าสามารถมอบมันให้เจ้าได้ตามที่เจ้าต้องการ" หลิวอี้หวินกล่าวออกมาด้วยความปรารถนาพร้อมๆกันกับที่เขามองเรือนร่างของกงปิงเยว่ตั้งแต่หัวจรดเท้า ราวกับว่าสายตาของเขาสามารถมองทะลุร่มผ้าเห็นถึงเนินเขาน้อยและทางสามแพร่งของนางได้ อวัยวะบางส่วนร้อนระอุแข็งแกร่งตระหง่านขึ้น

"ข้าเป็นเพียงอิสตรีอ่อนแอ หาได้คู่ควรกับคุณชายสูงศักดิ์ดั่งท่านไม่ เพื่อเป็นการขอขมา ข้าขอยกมอบสัตว์อสูรทั้ง 6 นี้ให้แก่ท่านโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ" ใบหน้าของกงปิงเยว่ยามกล่าววาจาแฝงความเด็ดเดี่ยวทระนงออกมา แม้นางจะรู้สึกหวาดวิตกและกังวลใจอย่างมากก็ตาม

นางไม่คิดเลยว่าศิษย์นิกายจะเป็นคนที่ไร้เหตุผลถึงเพียงนี้! มันไม่คิดกล่าววาจาข้อตกลงอันใด!

"อ่า..ดียิ่ง ถึงข้าจะต้องการสัตว์อสูรพวกนี้ แต่ยามนี้ข้ากลับต้องการเจ้าด้วยเช่นกัน" หลิวอี้หวินหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน

ยามนี้แม้แต่เหล่าผู้ฝึกตนพเนจรเองก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความรังเกียจออกมา ศิษย์นิกายผู้นี้นับว่ากระทำล้ำเส้นรังแกผู้อื่นมากเกินไปแล้ว! แต่จะอย่างไรพวกมันก็สำเหนียกตัวเองดีว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของชายตรงหน้า ชายตรงหน้านี้เปรียบดั่งเขาสูงชันที่พวกมันไม่มีวันก้าวข้ามไปได้

เหล่าผู้ฝึกตนพเนจรพวกนี้เองก็ตั้งรกรากอยู่ในเมืองโม่มาระยะเวลาหนึ่งแล้ว แน่นอนว่าพวกมันย่อมรู้จักตระกูลกงเป็นอย่างดี และส่วนใหญ่ในหมู่พวกมันนั้นก็มีชื่นชมตระกูลกงไม่น้อยรวมถึงเคยมีสัมพันธ์อันดีต่อกันบ้างในอดีต พวกมันสามารถกล่าวได้เลยว่าตระกูลกงเป็นตระกูลที่มีความเที่ยงธรรมมากที่สุดในเมืองเล็กๆแห่งนี้

เกี่ยวกับเหตุการณ์น่าเศร้าและเรื่องราวความสูญเสียของตระกูลกงพวกมันก็รู้ดีอยู่แก่ใจ แต่เรื่องราวตรงหน้านี้นอกจากเสียใจแล้ว…พวกมันจะไปทำอะไรได้อีก?

ยามนี้หัวหน้าของตระกูลกงเป็นนายหญิงที่มีรูปโฉมงดงามราวสวรรค์ลิขิตบรรจงสร้าง นี่ย่อมไม่แปลกว่าเพราะเหตุใดนางจึงดึงดูดความสนใจของผู้อื่นถึงเพียงนี้

หากวันนี้ไร้ปาฏิหาริย์อันใด นายหญิงตระกูลกงคงไม่อาจหลีกเลี่ยงหายนะครั้งนี้ได้แล้ว

"เฮ่ พวกเจ้าลองชมดูนั่นสิ! หัวหน้าตระกูลวังและตระกูลซ่ง พวกมันทำเพียงยืนมองเรื่องราวอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง!"

"เหอะ เรื่องนี้มันแน่นอน เห็นตระกูลกงประสบเภทภัยเช่นนี้ พวกมันมีเพียงความเบิกบานใจเท่านั้นแล!"

"ถึงขั้นที่นายน้อยตระกูลวังได้เข้าร่วมนิกายเช่นนี้ ข้าว่าเมืองโม่แห่งนี้คงไม่พ้นถูกตระกูลวังครอบครองความเป็นใหญ่ถ่ายเดียวเป็นแน่"

“วังห่าวมันเป็นเพียงศิษย์สายนอกเท่านั้นหาได้มีอำนาจอันใดมากมายนัก นอกจากนี้การฝึกฝนอบรมของเหล่านิกายก็ล้วนมีภยันตรายทุกฝีก้าว ผู้ใดจะบอกได้เล่าว่ามันจะยังมีชีวิตรอดอยู่ได้นานเท่าไร?”

...

ตอนนี้ผู้คนที่มามุงเริ่มสนทนากันอย่างออกรส เรื่องราวประเด็นต่างๆถูกหยิบยกกันออกมาแถลงอย่างเผ็ดร้อน

สำหรับการต่อต้านนิกายนั้น นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่อาจกระทำได้ นอกจากนี้อาศัยเพียงความแข็งแกร่งของบุรุษผู้นั้น เกรงว่าหากมันต้องการแล้วล่ะก็ การที่จะลบตระกูลกงให้หายไป…คงลำบากแค่เพียงยกมือ!

แท้จริงแล้วอีก 2 ตระกูลคงแทบกระโดดโลดเต้นด้วยความยินดี ยามนี้พวกมันไม่สุมเชื้อไฟให้ย่ำแย่ก็นับว่าเหลือเชื่อแล้ว

เมื่อเรื่องราวมาถึงจุดแตกหักเช่นนี้ กงปิงเยว่เองก็รู้สึกตื่นตระหนกและหวาดผวาอย่างมาก

ทางด้านหวังหู่ที่ถูกซัดจนกระเด็นมาก่อนหน้านั้นเริ่มลุกขึ้นมา พร้อมกุมไปที่หน้าอกแน่น โลหิตหลายคำพุ่งพรวดออกจากปากยากระงับ เพียงการสะบัดมืออย่างไร้เรื่องราวของมันผู้นั้นกลับจู่โจมเขาจนสาหัสแทบปางตาย นี่มันบ่งบอกถึงระยะห่างระหว่างชายผู้นั้นกับตัวเขาเป็นอย่างดี ต่อให้มีตัวเขาอยู่ตรงนี้อีก 10 คนก็ไม่อาจสัมผัสขนแม้เพียงเส้นเดียวของบุรุษผู้นั้นได้

หวังหู่ที่พยายามยกเปลือกตาที่หนักอึ้งขึ้นมาอย่างยากลำบาก ทว่าเมื่อมันเห็นภาพคนที่กำลังเดินผ่านอยู่ด้านข้าง แววตาของมันพลันฉายออกมาถึงประกายแห่งความหวัง

"นะ…นายท่าน! ได้โปรดเถอะขอรับ! กรุณายื่นมือช่วยเหลือนายหญิงของตระกูลข้าด้วยขอรับ" หวังหู่พยายามยื่นมือที่สั่นระริกออกไปคว้าจับข้อเท้าของชายคนหนึ่งที่กำลังเดินอยู่เอาไว้

"หือ เจ้ามีไรหรอ?" หลินฟ่านที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าพลันสงสัยขึ้นมา เพราะอยู่ๆมีมือข้างหนึ่งมาคว้ากุมข้อเท้าของเขาเอาไว้ ตอนนี้มือข้างหนึ่งของหลินฟ่านถือนมถั่วเหลือง ส่วนอีกข้างถือซาลาเปาทอด กัดกินอย่างอร่อยปากมันแผล่บ

"ดะ…ได้โปรด ข้าขอวิงวอนนายท่าน …ได้โปรดเถอะขอรับ!" เมื่อกล่าวคำจบหวังหู่พลันโขกหัวขอความเมตตา

หลินฟ่านตอนนี้กำลังงุนงงอย่างมาก ตอนแรกนึกว่าจะมีขอทานมาขอแบ่งซาลาเปาทอดนี่ไปกินซะแล้วแต่ดูเหมือนจะไม่ใช่ เขาพลันมองไปยังกลุ่มคนที่มาชุมนุมเบื้องหน้าทันที และเมื่อเขาเห็นเรื่องราวตรงหน้า สองตาก็ทอประกายขึ้นมา ความคิดในหัวเริ่มแล่นด้วยความเร็วสูง

ไม่คิดเลยว่าคนที่เขากำลังมองหาอยู่ จะโผล่ออกมาให้เจอง่ายๆเสียอย่างนั้น นี่มันโชคดีเบอร์ไหนกัน!

ตอนนี้ดูเหมือนกงปิงเยว่กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาที่นางไม่อาจแก้ไขได้ และดูเหมือนนางกำลังต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

ตัวหลินฟ่านเองก็คิดหัวแทบแตกว่าจะทำอย่างไรดี เพราะเมื่อวานเขาพึ่งปล้นนางไปเสียยกคาราวาน ปล้นอย่างเดียวไม่ว่ายังไปบีบหน้าอกนางเล่นซ้ำยังยีจุกของนางอีกด้วย หากเขาเดินไปถามนางโต้งๆ ไม่พ้นเขาต้องถูกนางกล่าวปฏิเสธหรืออมพะนำไม่บอกถึงแหล่งที่มาของเศษชิ้นส่วนตราประทับของผู้อยู่เหนือสรรพสิ่งอย่างแน่นอน

แต่หากเขายื่นมือไปช่วยเหลือนาง ราวกับพระเอกขี่ม้าขาว แสดงตัวเป็นวีรบุรุษช่วยเหลือหญิงงาม เรื่องราวก็กลับกลายเป็นหนังคนละม้วนแล้ว!

ตบหัวผู้คนจนสั่นแล้วค่อยไปช่วยลูบหลังอย่างอ่อนโยน ...เรื่องราวนี้ ฟังดูแล้วบรรเจิดเลิศล้ำนัก!!

ตอนนี้เองหลิวอี้หวินพลันเอื้อมมือออกไปหมายสัมผัสใบหน้าของกงปิงเยว่อย่างหยอกเย้าอีกครั้ง ต่อหน้าสตรีชาวบ้านร้านถิ่นเช่นนี้หลิวอี้หวินจะคิดกล่าววาจาอะไรให้มากความกัน พวกมันจะกล้าปฏิเสธหรือต่อต้านอะไรเขางั้นหรือ และถึงพวกมันคิดกระทำจะอาศัยอะไรมากระทำ?

เมื่อมองไปยังมือที่เอื้อมมาหมายลวนลามลูบไล้ใบหน้า สีหน้าของกงปิงเยว่กลับกลายเป็นสิ้นหวังหวาดกลัวไร้หนทางต่อต้าน

จะมีผู้ใดช่วยเหลือนางได้ ... ?

“อะแฮ่มๆ เฮ่อ…หน้าไม่อายนัก นี่มันตัวบัดซบสารเลวโดยแท้… ถึงกับกล้าลวนลามอิสตรีอ่อนแอบริสุทธิ์ต่อหน้าผู้คนกลางวันแสกๆแบบนี้! นี่เจ้าไม่มีสมองคิดคำนึงถึงจริยธรรมอยู่แล้วหรือ? หรือว่าเลือดเจ้ามันไหลไปรวมที่หัวล่างหมดแล้ว เฮ่อ…ยิ่งดูยิ่งอุบาทว์ตานัก ข้าทนดูเรื่องบัดซบต่อไปไม่ไหวแล้ว!”

ทันใดนั้นเองน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายแฝงคุณธรรมพลันดังขึ้นจากฝูงชน

ทุกศีรษะของคนทั้งหมดล้วนหันมาทางต้นเสียงอย่างพร้อมเพรียง เพื่อเหลียวมองดูชมว่าผู้ใดกันถึงไม่คิดรักชีวิตหาญกล้ากล่าววาจาเหยียดหยามศิษย์นิกายออกมาถึงเพียงนี้!

รีวิวผู้อ่าน