px

เรื่อง : War Sovereign Soaring The Heavens
บทที่ 342 : ดินแดนรอบนอก


บทที่ 342 : ดินแดนรอบนอก

เรื่องราวทั้งหมดนี้บังเกิดขึ้นในเสี้ยวพริบตาเท่านั้น...

ศิษย์สายในทุกคนรวมถึงต้วนหลิงเทียนเอง ก็ไม่เคยคิดฝันว่าหลิ่วชีเกอ ที่เป็นศิษย์สายในระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 1 จะลงมือต่อศิษย์สายในที่พึ่งเข้ามาใหม่ซ้ำยังมีระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 8 เช่นนี้! และยิ่งไปกว่านั้น มันถึงกับกระทำการต่ำช้าอย่างเช่นการลอบโจมตีอีกด้วย!

เหอตงตอนนี้เองย่อมตอบสนองต่อเรื่องราวได้ในทันใด มันรีบพุ่งร่างดั่งเส้นแสงไปประคองต้วนหลิงเทียนทันที สีหน้าของมันมืดลงเล็กน้อย รีบกล่าวถามออกมาด้วยความห่วงใย "ต้วนหลิงเทียน! เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?"

"ข้าสบายดี" ต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ ก็เรียกโอสถทองประสานกายระดับ 7 ออกมาจากแหวนมิติ ก่อนที่จะกลืนลงไป และเริ่มโคจรพลังงานต้นกำเนิดเพื่อกระจายสรรพคุณของยาในทันที เพียงไม่นานอาการบาดเจ็บก็ฟื้นฟูดีขึ้นจนสามารถลุกขึ้นยืนได้เอง

ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะเบนสายตาไปยังร่างของหลิ่วชีเกอ ในแววตาของเขาเผยให้เห็นถึงประกายเกรี้ยวกราดที่ซุกซ่อนอยู่ไม่น้อย

"อะไร? มีโทสะแล้วหรือ" หลิ่วชีเกอหัวเราะเย้ยหยันออกมา ก่อนที่จะก้าวอาดๆเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าต้วนหลิงเทียน ก่อนที่จะมองมาด้วยแววตาเย็นชา "เจ้าเป็นเพียงเด็กใหม่ที่พึ่งเข้าร่วมศิษย์สายในเท่านั้น แต่เจ้ากลับกล้าละเลยคำถามของข้า! นับว่าเจ้าได้กระทำตัวก้าวร้าวไม่เคารพศิษย์พี่อย่างข้า...วันนี้ข้าจะทำให้แน่ใจว่าได้สอนสั่งบทเรียนอันดีแก่ตัวเจ้า! เพื่อมิให้เจ้าเหลิงและกระทำการอย่างโอหังมิเห็นหัวผู้อื่น เพียงเพราะมีพรสวรรค์ตามธรรมชาติเหนือกว่าคนอื่น และคิดว่าคนอื่นต้องกระทำตามใจเจ้าอีกเช่นนี้!"

"เจ้า หลิ่วชีเกอ ใช่หรือไม่?" ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองไปยังหลิ่วชีเกออย่างไม่วางตา มุมปากของเขาเผยรอยยิ้มเย็นชาไม่แยแสออกมา และเมื่อมีคราบโลหิตเช่นนี้อยู่ด้วย มันดูราวกับเป็นรอยยิ้มของปีศาจไม่มีผิด

"มิผิด! ข้าหลิ่วชีเกอ! เด็กน้อย ข้ารู้เรื่องพรสวรรค์ของเจ้าดี  แต่ตั้งแต่ที่เจ้าก้าวเข้ามาเป็นศิษย์สายในแล้ว  จักดีเสียกว่าหากเจ้าประพฤติตัวดีๆ และให้ความเคารพศิษย์พี่อย่างข้า เจ้าเข้าใจหรือไม่?"ใบหน้าหลิ่วชีเกอเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส

ทันใดนั้นเองหลิ่วชีเกอก็กระทำต่ำช้า ลงมือจู่โจมต้วนหลิงเทียนโดยไม่บอกกล่าวอีกครั้ง

เหนือศีรษะของหลิ่วชีเกอปรากฎเงาร่างช้างแมมมอธโบราณ 200 ตัว ...

ฟุ่บ!

คราวนี้ต้วนหลิงเทียนไม่พลาดพลั้ง เขาเรียกกระบี่วิญญาณระดับ 7 ออกมาถือในมือก่อนที่จะตวัดฟันออกไปด้วยความเร็วปานสายฟ้า

วิชาวาดกระบี่!

พลังสั่นสะเทือน!

เขาคิดใช้กระบี่ฟาดลงไปยังฝ่ามือที่ควบแน่นไปด้วยพลังงานต้นกำเนิดของหลิ่วชีเกอ

"ยังอ่อน!" พริบตานั้นเองน้ำเสียงดูแคลนของหลิ่วชีเกอดังขึ้นในหูของต้วนหลิงเทียน  มันไม่ได้หวั่นเกรงอะไรต่อกระบี่วิญญาณระดับ 7 ที่ต้วนหลิงเทียนฟาดมาหมายปะทะฝ่ามือของตัวสักนิด เพียงมันหลบคมกระบี่แล้วพลิกฝ่ามือตบไปที่ใบกระบี่จนกระเด็นก็เท่านั้น!

และเพราะด้วยความแข็งแกร่งในฝ่ามือของหลิ่วชีเกอมีมากถึง 200 ช้างแมมมอธโบราณ พลังงานสั่นสะเทือนของต้วนหลิงเทียนย่อมไร้ผลใดๆ...  ทำให้มันสามารถใช้ฝ่ามือปัดกระบี่ของต้วนหลิงเทียนออกไปได้ไม่ยากและเมื่อมันปัดกระบี่ออกไปแล้ว มันยังซัดกำปั้นมายังกลางอกของต้วนหลิงเทียนซ้ำจุดเดิมอีกครั้ง

ปัง!!

พลังทำลายอันแข็งแกร่งน่าหวาดหวั่นถูกถ่ายทอดออกมาจากกำปั้น ซัดทำลายกลางอกต้วนหลิงเทียนอย่างจัง

สุดท้ายร่างต้วนหลิงเทียนก็ถูกซัดจนกระเด็นไปอีกครั้ง และเมื่อถูกซัดซ้ำที่แผลเก่าเช่นนี้ทั้งๆที่อาการก่อนหน้าก็ยังไม่หายดี... แน่นอนว่าย่อมบังเกิดผลกระทบร้ายแรง! ความเจ็บปวดมากมายแล่นวูบขึ้นมายากจะทานทน อวัยวะภายในบาดเจ็บร้ายแรงทำกระอักโลหิตออกมาคำโต  สายตาเริ่มพร่าเลือน ...

ก่อนที่สติของต้วนหลิงเทียนจะดับลง เขาได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น

“ต้วนหลิงเทียน” หนึ่งนั้นย่อมเป็นเสียงเหอตง

“หยุดมือ!” อีกเสียงนั้นต้วนหลิงเทียนคุ้นเคยไม่น้อย แต่เขาก็ยังไม่ทันได้ย้อนทวนความคิดอะไรนัก เพราะไม่อาจประคองสติสืบไป...

แล้วพริบตาต่อมาต้วนหลิงเทียนก็สลบไป

.....

เมื่อต้วนหลิงเทียนได้สติ เขาก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ ไม่นานก็พบว่าเขากำลังนอนอยู่บนเตียงๆหนึ่ง

"อา ...ปวดนัก!" ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่กลางอก

ต้วนหลิงเทียนทำการตรวจสอบสภาพร่างกายตัวเองทันที และพบว่าอวัยวะภายในที่บาดเจ็บก่อนหน้านี้ล้วนถูกเยียวยารักษาจนหายหมดแล้ว หากไม่นับกระดูกหน้าอกที่ยังคงร้าวอยู่เล็กน้อย อาการของเขาก็แทบจะเรียกได้ว่าหายดี ...

"สรรพคุณของโอสถทองประสานกายระดับ 7 ย่อมไม่มากมายถึงเพียงนี้!" ในใจต้วนหลิงเทียนพลันสั่นไหวเล็กน้อย จากความทรงจำของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดต้วนหลิงเทียนย่อมล่วงรู้ถึงสรรพคุณของโอสถทองประสานกายระดับ 7 ดี

ถึงแม้ว่าอาการบาดเจ็บของเขาจะสามารถรักษาได้ด้วยโอสถทองประสานกายระดับ 7 แต่ว่ามันสมควรใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน! ไม่ควรรวดเร็วเช่นนี้

แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนไม่คิดว่าเขาจะสลบไปเป็นเวลา 2-3 เดือน

"อืม...มันสมควรเป็น โอสถฟื้นสภาพเลิศล้ำระดับ 6!" พริบตาต่อมาเมื่อทำการโคจรพลังงานต้นกำเนิดอย่างละเอียดต้วนหลิงเทียนก็สามารถสัมผัสได้ถึงผลตกค้างของโอสถในร่างได้ทันที และยืนยันได้ว่ามันเป็นโอสถฟื้นสภาพเลิศล้ำระดับ 6 นี่ทำให้เขาตะลึงไปเล็กน้อย...ใครเป็นคนช่วยเขากัน?

"อ่า...แล้วนี่มันที่ไหนกันล่ะเนี่ย?" หลังจากที่ฟื้นจากอาการตกตะลึง ต้วนหลิงเทียนก็มองสำรวจไปทั่วๆห้อง ห้องนี้นับว่าสะอาดเรียบร้อย ไม่ค่อยมีเครื่องเรือนหรืออะไรมากมายนักมีเพียงเครื่องเรือนเท่าที่จำเป็นเท่านั้น

และทันใดนั้นเองประกายตาของต้วนหลิงเทียนก็ทอประกายเรืองวูบขึ้นมาราวกับสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง "หืมนี่มัน...จุดชีพจรวิญญาณ ...เช่นนั้นสถานที่นี้ ตั้งอยู่บนจุดชีพจรวิญญาณเช่นนั้นหรือ?"

ต้วนหลิงเทียนจับสัมผัสได้ว่า พลังงานต้นกำเนิดในร่างกายของเขาเคลื่อนไหวต่างออกไปเล็กน้อย และอาการเช่นนี้มันคล้ายคลึงกับความรู้สึกที่เขาเคยพบพานที่ หอเทียนเฉวียน และหอไท่หยางในวันนั้น

หอไท่หยางและหอเทียนเฉวียนแน่นอนว่าย่อมตั้งอยู่บนจุดชีพจรวิญญาณ  บนยอดเขาเทียนชูอันเป็นขุนเขาหลักของนิกายกระบี่ 7ดาว  ...สภาพแวดล้อมนี้นับเอื้อต่อการบ่มเพาะพลังนัก

"หลิ่วชีเกอ" ประกายตาต้วนหลิงเทียนเปล่งประกายเย็นชาออกมาอย่างน่าสะพรึงกลัว  เมื่อย้อนนึกถึงเรื่องราวก่อนที่เขาจะหมดสติไป...ในใจของเขาบังเกิดจิตคิดฆ่าฟันขึ้นมา!

หลิ่วชีเกอนั่นอาศัยข้อได้เปรียบที่เป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นแรกก็หนักหนาแล้ว นี่มันยังใช้การลอบโจมตีอย่างต่ำช้าถึง 2 ครั้ง!  และการโจมตีของมันก็นับว่าเป็นเรื่องร้ายแรงสำหรับต้วนหลิงเทียนไม่น้อย

"ข้าจะให้เจ้าได้ชดใช้ทบเท่าทวี" ร่องรอยความเหน็บหนาวปรากฏขึ้นในใจของต้วนหลิงเทียน ก่อนที่จะเอ่ยคำมั่นออกมาด้วยน้ำเสียงน่ากลัว

"ว่าแต่...ตกลงแล้วที่นี่มันที่ไหนกันแน่?" ต้วนหลิงเทียนระงับโทสะในใจ ก่อนที่จะลุกออกจากเตียง แล้วเดินไปเปิดประตูห้อง ก่อนที่จะออกไปด้านนอก

"เจ้าตื่นแล้ว?" ทันใดนั้นเองน้ำเสียงคุ้นเคยพลันดังขึ้นไม่ไกล

ต้วนหลิงเทียน เหลือบมองไปทิศทางหนึ่งก็เห็นศาลา 8 เหลี่ยมอยู่สุดทางด้านขวา พร้อมร่างบุรุษวัยกลางคนๆหนึ่งกำลังยืนหันหลังให้เขา

ถึงแม้คนผู้นั้นจะไม่ได้หันหลังกลับมา แต่ดูเหมือนว่าเขาจะสัมผัสถึงความเคลื่อนไหวของต้วนหลิงเทียนได้

ต้วนหลิงเทียนไม่รอช้า ก้าวเดินมายังศาลา ก่อนที่จะกล่าวทักทายชายวัยกลางคนที่หันหลังให้เขาอยู่ "ปรมาจารย์ขุนเขา!"

"ข้าได้ยินจากจากซงว่าเจ้าถูกศิษย์สายในระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นแรกทำร้ายมาหรือ ...แล้วนี่เจ้าไปมีเรื่องบาดหมางอันใดกับมันกัน?" ชายวัยกลางคนค่อยๆหันหลังกลับมาเผยให้เห็นใบหน้าอย่างชัดเจน

เป็นปรมาจารย์ขุนเขาไท่หยาง เจิ้งฝานไม่มีผิดเพี้ยน

เช่นนั้นสถานที่ต้วนหลิงเทียนกำลังยืนอยู่นี้สมควรเป็นหอไท่หยาง ซึ่งนับเป็นหนึ่งในเก้าจุดชีพจรวิญญาณของขุนเขาเทียนชู แห่งนิกายกระบี่ 7 ดาว

"ที่แท้เป็นศิษย์พี่ เจิ้งซงช่วยข้าเอาไว้" ต้วนหลิงเทียนคิดได้ทันที

ในที่สุดเขาก็เข้าใจได้ว่าเพราะอะไรน้ำเสียงที่ดังขึ้นก่อนสลบไป ถึงได้คลับคล้ายคลับคลาคุ้นหูนัก...

ที่แท้ปรากฏว่าเจ้าของเสียงนั่น คือ บุตรชายของปรมาจารย์ขุนเขาไท่หยาง เจิ้งซง!

"ข้าเองก็ไม่ได้มีความแค้นอะไรกับมันหรอก แต่ข้ามีเรื่องบาดหมางกับศิษย์สายในที่เป็นสหายของมันเล็กน้อย ... อย่างไรก็ตามหลังจากวันนี้ไป นับได้ว่าข้ากับมันมีความแค้นอันลึกล้ำต่อกันแล้ว" ในขณะที่กล่าวคำนั้น ประกายตาต้วนหลิงเทียนเย็นชาลงไม่น้อย และเมื่อกล่าวจบมุมปากของเขายิ้มแสยะออกมาอย่างน่าหวาดกลัว

เขาจะให้ตัวบัดซบหลิ่วชีเกอนั่นชดใช้ทบเท่าทวี!

หลังจากที่สงบอารมณ์ลง ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ปรมาจารย์ ...ท่านเอาโอสถฟื้นสภาพเลิศล้ำระดับ 6 มารักษาข้าหรือ?"

เจิ้งฝานพยักหน้า "มิผิด ข้าเห็นว่าอาการบาดเจ็บของเจ้าร้ายแรงไม่น้อย หากใช้โอสถทองประสานกายระดับ 7 รักษา เกรงว่าเจ้าต้องเสียเวลาฟื้นฟูไม่ต่ำกว่า 2-3 เดือน ซึ่งนับว่ามันเสียเวลาเจ้ามากเกินไป ... เช่นนั้นข้าจึงนำโอสถฟื้นสภาพเลิศล้ำระดับ 6 มารักษาเจ้า เพื่อให้อาการบาดเจ็บของเจ้าหายได้ในเวลาอันสั้นอย่างไรเล่า"

ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาด้วยท่าทีจริงจังและน้ำเสียงขอบคุณจากใจ  "ข้าต้วนหลิงเทียน ขอจดจำเมตตาครั้งนี้ของ ปรมาจารย์ไท่หยางไว้ในใจ"

"ฮาย! อย่าได้เหลวไหลแล้ว แค่โอสถฟื้นสภาพเลิศล้ำระดับ 6 มันจะไปเทียบอันใดกับสิ่งที่เจ้าให้ข้าได้กัน?" เจิ่งฝานกล่าวออกมาพร้อมส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม เขาเดินไปยังโต๊ะใกล้ๆ ก่อนที่จะหยิบชุดชงชาออกมาเริ่มต้นชงชา “เจ้าถูกซัดสลบไปเกือบ 3 ชั่วโมง ข้าคิดว่ายามนี้เจ้าน่าจะอ่อนล้าไม่น้อย... เช่นนั้นก็มานั่งจิบชาเมฆาเหินกับข้าก่อนสัก 2-3 จอกเป็นไรเล่า  จิตวิญญาณจะได้ฟื้นฟูโดยเร็ว”

"เช่นนั้นต้องขอรบกวน ปรมาจารย์แล้ว” ต้วนหลิงเทียนก็เดินไปนั่งลงแต่โดยดี เขาแหงนมองท้องฟ้าก็พบว่าตะวันลอยเด่นอยู่กลางศีรษะ บ่งบอกว่าเป็นเวลาเที่ยงวัน

เจิ้งฝานเริ่มชงชาเมฆาเหินด้วยความคล่องแคล่ว เมื่อเสร็จสิ้นก็รินให้ต้วนหลิงเทียนจอกหนึ่ง  ก่อนที่จะกล่าวถามออกมาพร้อมรอยยิ้ม "ต้วนหลิงเทียน แล้วนี่เจ้าคิดจะทำอะไรต่อไปในอนาคตกัน?"

ต้วนหลิงเทียนจิบชาเมฆาเหิน พร้อมปล่อยให้จิตวิญญาณโลดแล่นท่องทะยานอย่างสดชื่นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะกล่าวตอบออกมา "ข้าเองก็ไม่ได้มีแผนการอะไรตายตัวหรอก ...แต่ในอนาคตข้าก็คิดที่จะไปสำรวจพื้นที่รอบนอก และเปิดหูเปิดตาชมดูสรรพสิ่งให้ทั่วแดนดิน"

"พื้นที่รอบนอก?" มือของเจิ้งฝานสั่นเล็กน้อยเมื่อได้ยินวาจาต้วนหลิงเทียน ถึงขั้นที่เกือบทำกาน้ำชาร่วงหล่น

แล้วเจิ้งฝานก็ส่ายหน้าออกมาพร้อมระบายลมหายใจที่เต็มไปด้วยอารมณ์ซับซ้อน "ต้วนหลิงเทียน ข้ามิคิดเลยว่าความฝันและแรงบันดาลใจของเจ้าจะยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ ... ดินแดนรอบนอกนั้น กระทั่งข้าเองยังไม่เคยคิดฝันจะไป... ที่แห่งนั้นผู้ฝึกยุทธ์ระดับแรกสัมผัสธรรมชาติมีให้เห็นอยู่ทุกที่ ยิ่งจุดศูนย์กลางของดินแดนรอบนอกนับว่าเต็มไปด้วยพยัคฆ์มังกรทั้งสิ้น ระดับผันแปรธรรมชาติมีเยอะราวขนของวัว 9 ตัว! " ในขณะที่กล่าวจนจบ แววตาเจิ้งฝานเผยให้เห็นถึงความหวาดกลัว

การที่มีผู้เชี่ยวชาญระดับสูงเดินกันให้ว่อนในดินแดนรอบนอกนั้น...ย่อมหมายความว่าความตายและการต่อสู้ที่เหนือชั้นอันตรายเองก็มีอยู่ไปทั่ว ...

หากไร้ซึ่งกำลังอันแข็งแกร่งมากพอแล้วไซร้ ผู้ใดยังจะกล้าไปโลดแล่นในดินแดนอันตราย ที่มีแต่ความตายไปทั่วทุกหัวระแหงเช่นนั้น?

"ปรมาจารย์ บางครั้งท่านเองก็ต้องตั้งเป้าหมายเอาไว้ให้สูงขึ้น นั่นจะช่วยให้เส้นทางแห่งยุทธ์ของท่านทอดยาวออกไปและก้าวไปได้ไกลมากขึ้น ...หาไม่แล้วสักวันท่านต้องได้สัมผัสและรับรู้ว่าตัวเองเป็นเพียงกบน้อยที่แหงนมองฟ้ากว้างจากก้นบ่อเท่านั้น  ห้วงแห่งกาลผันผ่านไม่หยุดนิ่ง ชีวิตคนไซร้ดั่งสายน้ำไร้หวนกลับ ปล่อยเวลาผ่านไปอย่างไร้ความฝันเช่นนี้...สักวันไม่ใช่ว่าพอคิดได้ก็สายไปแล้วหรือ? " ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อได้ฟังคำกล่าวของเจิ้งฝาน

ในสายตาของคนธรรมดาทั่วไป ดินแดนรอบนอกเป็นเหมือนพื้นที่อันตราย 9 ตาย 1 รอด มีเพียงแต่พวกผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งราวปีศาจน่าหวาดกลัวอาศัยอยู่!

แต่ในสายตาของต้วนหลิงเทียน ที่มองโลกผ่านความทรงจำของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดนั้น ดินแดนรอบนอก ก็เป็นเพียงเวทีที่ใหญ่ขึ้นมา รอให้เขาไปโลดแล่นเท่านั้น ...

ในดินแดนรอบนอกนั้นผู้ฝึกยุทธ์ระดับแรกสัมผัสธรรมชาตินับว่ามีเกลื่อนกลาดมองไปทางไหนก็เจอ  กระท่งผู้ฝึกยุทธ์ระดับหยั่งรู้ธรรมชาติเองก็มากมายหาได้ทั่วไป

"วางเป้าหมายให้สูง... ช่วยให้ข้าก้าวไปในเส้นทางแห่งยุทธ์ได้ไกลมากขึ้นหรือ?"

"กบที่อยู่ก้นบ่อ?"

เจิ้งฝานเงียบไปครู่ใหญ่หลังจากได้ยินวาจาของต้วนหลิงเทียน

เนิ่นนานผ่านไปในที่สุดเจิ้งฝานก็ฟื้นสติกลับมาอีกครั้งหลังจมอยู่ในภวังค์ มันมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ซับซ้อน "ต้วนหลิงเทียน ดูเหมือนว่ายังคงเป็นข้า ที่ประเมินเจ้าต่ำเกินไป! ... ไม่ต้องสงสัยเลยว่าใยเจ้าถึงประสบความสำเร็จได้มากมายเช่นนี้ ทั้งที่อายุยังน้อย! เจตจำนง และความแน่วแน่ในเส้นทางแห่งยุทธ์ของเจ้า!  นับว่าเป็นอะไรที่ ตัวข้าปรมาจารย์ขุนเขาเจิ้งฝานรู้สึกละอายที่จะกล่าวถึง"

"ยามนี้ข้ารู้สึกอยากเฝ้ารอ เพื่อชมดูเรื่องราวของเจ้านัก... ว่าหลังจากนี้อีก 10 ปี เจ้าจักประสบความสำเร็จมากมายถึงเพียงใด แต่อย่างน้อยๆ ข้าก็มั่นใจได้ว่ายามนั้นความแข็งแกร่งของเจ้า คงเหนือล้ำข้าไปไกลสุดฟ้า”วาจาที่เจิ้งฝานกล่าวออกนี้บ่งบอกได้เลยว่า เขามองต้วนหลิงเทียนอยู่สูงถึงเพียงใด

"ปรมาจารย์ขุนเขา ท่านก็กล่าวยกยอข้าเกินไป " ต้วนหลิงเทียนยิ้มบางๆออกมา แต่ประกายตาของเขากลับเรืองวูบออกมาด้วยความมั่นใจ

อีก 10 ปีหรือ?

ในยามนั้นข้าคงท่องทะยานไปในดินแดนรอบนอกแล้ว

หลังจากดื่มชาเมฆาเหินอีก 2-3 จอก ต้วนหลิงเทียนก็ลุกขึ้นก่อนที่จะมองไปยังเจิ้งฝานพร้อมรอยยิ้มบางๆ  "ปรมาจารย์ หากท่านไม่มีอะไรแล้ว เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวลา ...และท่านโปรดนำคำขอบคุณของข้าบอกกล่าวต่อศิษย์พี่ซงด้วย และข้าจะจดจำความช่วยเหลือครั้งนี้ของพี่ซงไว้”

เจิ้งฝานพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม "เอาล่ะ เจ้าไปเถอะ"

ต้วนหลิงเทียนหันไปมองรอบๆ สุดท้ายก็เลือกที่จะกระโดดลงมาโดยตรงเช่นเคยและเมื่อลงมาถึงด้านล่างแล้ว เขาก็เดินออกจากหอไท่หยาง และเคลื่อนร่างหายลับไป

"บางทีความสำเร็จครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของข้า คงเป็นการที่ได้รู้จักกับสหายตัวน้อยคนนี้กระมัง ... " เจิ้งฝานมองตามหลังต้วนหลิงเทียนจนหายลับไปอย่างเลื่อนลอย  และเมื่อต้วนหลิงเทียนหายไปแล้วเขาถึงจะฟื้นสติ ประกายตากลับมาเจิดจ้าอีกครั้ง  ส่ายหัวออกมาพร้อมยิ้มเล็กน้อย "ตราบใดที่เขาสามารถเติบโตได้อย่างปลอดภัย อนาคตของเขาหาใช่อะไรที่ข้าจักจินตนาการได้ ...ผลของการกระทำอันดีของข้ายามนี้ ย่อมส่งผลให้ชีวิตของข้าพบพานวาสนาในภายหลังเป็นแน่!"

และหลังจากนี้ผ่านไปหลายปี เจิ้งฝานก็มีโอกาสได้มองย้อนกลับมา และก็ตระหนักได้อย่างชัดเจนว่าคำกล่าวในวันนี้มันเป็นจริงถึงเพียงไหน และตัวมันเองคาดการณ์ได้แม่นยำมากเพียงใด

รีวิวผู้อ่าน