px

เรื่อง : War Sovereign Soaring The Heavens
บทที่ 344 : เมืองโบราณชั่วนิรันดร์


บทที่ 344 : เมืองโบราณชั่วนิรันดร์

"ข้า? สร้างความลำบากให้เจ้ารึ?" เจิ้งซงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาหลังจากไดยินคำพูดของหลิ่วชีเกอ แล้วเขาก็กวาดสายตาเฉยเมยมองมัน "หลิ่วชีเกอ...ดูเหมือนเจ้าจะคิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไปแล้ว? เจ้าคิดว่าตัวเจ้าคู่ควรงั้นหรือ"

หลิ่วชีเกอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามระงับโทสะของมันเอาไว้...

ยามนี้คนที่อยู่เบื้องหน้าของมัน หาใช่อะไรที่คนอย่างต้วนหลิงเทียนจะเทียบได้... นอกจากนี้ไม่ต้องกล่าวถึงความแข็งแกร่งของเจิ้งซงที่มีมากเกินกว่าตัวมันจะต่อกรได้ด้วยซ้ำ...แค่เพียงฐานะบุตรของปรมาจารย์ขุนเขาไท่หยาง! ก็มีอำนาจเหนือล้ำยิงกว่าความแข็งแกร่งของทั้งตระกูลมันรวมกันซะอีก!!

"ตั้งแต่เจ้ามิได้คิดสร้างความลำบากอันใดให้แก่ข้า  เช่นนั้นก็ดีกว่า ที่จักต่างคนต่างไป" ทันใดนั้นร่างของหลิ่วชีเกอพลันกระพริบไหววูบพุ่งออกด้านข้างหมายผ่านร่างเจิ้งซง มุ่งหน้าลงขุนเขาเทียนชู

ทว่าไม่คิดเลยร่างของเจิ้งซงยังพุ่งออกข้าง เพื่อขวางทางของมันเอาไว้ดั่งเงาตามตัว  ทำให้มันไม่อาจเดินหน้าได้แม้แต่ก้าวเดียว!

"เจิ้งซง นี่มันจะมากไปแล้วนะ เจ้าจะเอาอย่างไรกับข้า!" หลิ่วชีเกอไม่อาจสงบอารมณ์ได้อีกต่อไป สองตาจับจ้องไปยังร่างเจิ้งซงอย่างเอาเรื่อง

มันไม่ยินยอมพร้อมใจที่จะพลาดโอกาสสังหารต้วนหลิงเทียนครั้งนี้ไป...เพราะหากมันพลาดโอกาสนี้ไปแล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่มันจะได้พบพานโอกาสดีงามเช่นนี้อีกครั้ง

ด้วยพรสวรรค์ตามธรรมชาติในเชิงยุทธ์อันน่าสะพรึงกลัวของต้วนหลิงเทียน  เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนจะเหนือล้ำกว่ามันในอนาคตนั้น มันเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น!

มันย่อมคาดเดาได้ล่วงหน้า ว่าวันใดที่ต้วนหลิงเทียนแข็งแกร่งเหนือล้ำมันไปแล้วล่ะก็ ...ต้วนหลิงเทียนต้องเริ่มต้นลงมือแก้แค้นมันแน่นอน...และหากถึงยามนั้น มันต้องถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียวเป็นแน่!

ดังนั้นมันต้องสังหารต้วนหลิงเทียนก่อนที่จะทันได้เติบโต  มีเพียงกระทำเช่นนี้เท่านั้นมันถึงจะขจัดปัญหาและเภทภัยที่จะบังเกิดขึ้นในอนาคต และทำให้มันนอนหลับได้อย่างไร้กังวล คลายปมที่ค้างคาในใจ

"อะไรหลิ่วชีเกอ เจ้าคิดต่อสู้กับข้าเช่นนั้นรึ?" ดวงตาของเจิ้งซงเบิกกว้างขึ้นพร้อมจับจ้องไปยังดวงตาของหลิ่วชีเกอเขม็ง บนใบหน้าเผยรอยยิ้มบางสบายๆออกมา  ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ท่าทางของเจิ้งซงยังคงสงบและปลอดโปร่ง ราวกับไม่ได้คิดจริงจังอะไรกับหลิ่วชีเกอ

"เจิ้งซง ข้า! หลิ่วชีเกอ จะจดจำเรื่องราวครั้งนี้เอาไว้!" เมื่อมันตระหนักได้ว่าวันนี้คงมิอาจติดตามไล่ล่าต้วนหลิงเทียนเพื่อไปตัดรากถอนโคน อันเป็นการตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลมแล้ว มันก็ทำได้เพียงขบเคี้ยวฟันดังกรอดๆก่อนที่จะกล่าวฝากวาจาเคียดแค้นเอาไว้  แล้วหันหลังมุ่งหน้ากลับขึ้นเขาเทียนชูไปอย่างคับแค้น

ท่าทางดูแคลนปรากฏขึ้นที่มุมปากของเจิ้งซง เมื่อเห็นร่างของหลิ่วชีเกอเดินจากไป

ด้านนอกนิกายกระบี่ 7 ดาว...บนเส้นทางที่อยู่ระหว่างนิกายกระบี่ 7 ดาวกับเมืองไผ่ทมิฬ..

ร่างหนึ่งกำลังเหินพุ่งไปรวดเร็วดั่งสายลม มุ่งหน้ากระชั้นอาชาเหงื่อโลหิตที่พุ่งออกไปก่อนหน้าทั้ง 2 ตัวเข้าไปทุกทีๆ

ร่างคนที่กำลังเหินร่างพุ่งไปเบื้องหน้าด้วยความเร็วสูงนี้ กลับเป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง เหนือศีรษะของมันปรากฏเงาร่างช้างแมมมอธโบราณ 2,000 ตัว

ระดับบ่มเพาะของมันผู้นี้ย่อมเผยออกมาให้เห็นอย่างแจ่มชัด

ระดับแรกสัมผัสธรรมชาติ ขั้นที่ 1!

รอยยิ้มยินดีไม่ต่างลิงโลดบังเกิดขึ้นที่มุมปากของชายวัยกลางคน  เมื่อ...ในสายตาเบื้องหน้าไกลๆของมัน เล็งเห็นหลังของอาชาเหงื่อโลหิตทั้ง 2 ตัวอยู่ไวๆ ประกายตาของมันพลันเรืองวูบเผยให้เห็นถึงความปรารถนาอันแรงกล้า “วิชาบ่มเพาะ คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นชำระไขกระดูก ต้องเป็นของข้า”

ทว่าเพียงเสี้ยวพริบตาต่อมานั้นเอง รอยยิ้มยินดีของชายวัยกลางคนกลับกลายเป็นชะงักค้าง

นั่นเป็นเพราะบังเกิดเสียงลมหวีดหวิวที่รุนแรงยิ่งกว่าของมันหลายขุม กำลังเข้ามาใกล้ด้วยความเร็วสูง และไม่ทันที่มันจะได้ทำอะไร มันก็สังเกตเห็นว่ามีร่างหนึ่งที่พุ่งมาจากด้านหลังของมัน แซงไปหยุดอยู่กลางอากาศเบื้องหน้าห่างจากมันไม่ไกล ซ้ำยังหันหลังให้มันอีกด้วย

ถึงแม้ว่ามันจะตื่นตระหนกกับระดับบ่มเพาะของผู้มาใหม่ไม่น้อย  แต่ชายวัยกลางคนก็ไม่คิดสนใจอะไรกับผู้มาใหม่คนนี้ มันพยายามเคลื่อนร่างเปลี่ยนทิศทางกลางอากาศอย่างฉับพลันหมายพุ่งผ่านด้านข้างของผู้มาใหม่ไป

"จ้าวหลิน!" ทันใดนั้นเองน้ำเสียงเบาๆ แต่ถูกส่งผ่านมาทางพลังงานต้นกำเนิดก็ดังขึ้นในหูของจ้าวหลิน  ซ้ำยังแฝงสภาวะโจมตีอันหนักหน่วงแรงกล้ามาไม่น้อย ทำให้พลังงานต้นกำเนิดทั่วร่างของจ้าวหลินถึงกับปั่นป่วน อวัยวะภายในได้รับความบาดเจ็บ  มันขจึงทำได้เพียงหยุดร่างลงไม่กล้าบินไปข้างหน้าต่อ

หลังจากที่จ้าวหลินหยุดร่างลง มันก็รีบสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อสงบอารมณ์  ไม่นานก็สามารถโคจรพลังงานต้นกำเนิดบรรเทาอาการบาดเจ็บของอวัยวะภายในลงได้

จ้าวหลินแน่นอนว่าย่อมกริ่งเกรงบุคคลที่หันหลังให้มันไม่น้อยเพราะพลังอำนาจที่เหนือชั้นกว่าอย่างเห้นได้ชัด มันกล่าวถามออกด้วยน้ำเสียงหวาดระแวง "มิทราบผู้มาเป็นใคร?"

ในที่สุดคนที่ไปหยุดขวางอยู่ด้านหน้าก็ค่อยๆหันหลังกลับมาช้าๆเผยรูปร่างหน้าตาให้เห็นอย่างชัดเจน

"ที่แท้เป็นเจ้า!" สีหน้าของจ้าวหลินเผยความหงุดหงิดออกมาไม่น้อย  เมื่อเห็นใบหน้าของผู้มาใหม่  มันไม่คิดเลยว่าผู้ที่มาขวางทางมันเอาไว้ จะเป็นบุรุษผู้นี้!

ปรมาจารย์ขุนเขาไท่หยาง เจิ้งฝาน!

"ปรมาจารย์ขุนเขาไท่หยาง เจิ้งฝาน ...เรื่องนี้หมายความเช่นไร?" ใบหน้าจ้าวหลินเคร่งเครียด มันก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าวถามออกมาอย่างไม่พอใจ

ทว่าจ้าวหลินผู้เป็นเพียงอาวุโสฝ่ายนอกของขุนเขาเทียนเฉวียน กลับไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับปรมาจารย์ขุนเขาไท่หยางอย่างเจิ้งฝานแม้แต่น้อย

เจิ้งฝานเหลือบมองจ้าวหลินด้วยสายตาสงบ  "อาวุโสจ้าวหลิน เจ้ารามือ ละวางเรื่องราวในใจแล้วกลับไปเถอะ"

"เจิ้งฝาน ท่านอาศัยอะไรมาก้าวก่ายวุ่นวายเรื่องของข้า จ้าวหลิน!?" จ้าวหลินจับจ้องไปยังเจิ้งฝานตาเขม็ง ประกายตาของมันเผยประกายก้าวร้าวรุนแรง น้ำเสียงยังไร้ซึ่งความเกรงใจ  "ผู้แซ่เจิ้ง เจ้าอย่าได้หลงลืมไป...ว่าท่านปู่ของข้าเป็นผู้ใด!!"

"ฮ่าๆ ... " เจิ้งฝานอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ เมื่อได้ยินวาจาของจ้าวหลิน "อาวุโสจ้าว ข้าก็อยากรู้นัก...ว่าเจ้ากล้าบอกท่านผู้อาวุโสหมิง ถึงการกระทำครั้งนี้หรือไม่!"

"เจ้า!!" ใบหน้าของจ้าวหลินอัดแน่นไปด้วยโทสะ เพราะยามนี้จุดอ่อนของมันถูกเจิ้งฝานกุมเอาไว้ มันรู้สึกขัดใจไม่น้อย

เจิ้งฝานเหลือบมองไปยังทิศทางของยอดเขาเทียนชูเล็กน้อย ก่อนที่จะกล่าววาจา  "อาวุโสจ้าวหลิน เชิญกลับ!"

จ้าวหลินทอดสายตามองไกลออกไปเบื้องหน้า และมันก็พบว่า ยามนี้เงาหลังไวๆ ของอาชาเหงื่อโลหิตเมื่อครู่ได้หายไปจากสายตาของมันแล้ว ...

มันเข้าใจได้โดยพลันว่าตอนนี้ต่อให้เจิ้งฝานไม่กล่าวรั้งมันเอาไว้กระทั่งปล่อยให้มันลงมือต่อโดยไม่ขัดขวางอะไร มันก็ไม่อาจบรรลุเป้าหมายที่ต้องการได้อีกต่อไป...เพราะเบื้องหน้าห่างออกไปสมควรเป็นเมืองไผ่ทมิฬ ผู้คนย่อมพลุกพล่านวุ่นวายไม่เหมาะแก่การลงมือแล้ว...

"ฮึ่ม!" จ้าวหลินกวาดสายตามองเจิ้งฝานอีกครั้ง ก่อนที่จะสะบัดผ้าคลุมอย่างขุ่นเคืองใจ  ก่อนที่จะหันหลังกลับ และมุ่งหน้าไปยังยอดเขาเทียนชู ของนิกายกระบี่ 7 ดาว

เจิ้งฝานเองก็เหินร่างติดตามมันไป แววตาของเจิ้งฝานทอประกายสว่างวูบขึ้นมาเล็กน้อย

ยามนี้ในหัวของเขาหวนย้อนกลับไปถึงเรื่องราวเมื่อวาน ...

"ปรมาจารย์ ข้ามีบางอย่างที่ต้องขอความช่วยเหลือจากท่านเล็กน้อย"

"หืม? เจ้ามีอันใดรีบกล่าวมาเถอะ หากไม่เหลือบ่ากว่าแรงของข้า แน่นอนย่อมยินดีช่วยเหลือเจ้า"

"ข้าตั้งใจว่าจะเดินทางออกจากนิกายกระบี่ 7 ดาวในวันพรุ่งนี้...แต่ข้าบังเกิดความกังวลเล็กน้อย ว่าจะมีผู้ไม่หวังดี ประสงค์ร้ายคิดเล่นงานข้าในขณะเดินทาง  ข้าหวังว่าท่านปรมาจารย์จะยื่นมือช่วยเหลือข้าให้เดินทางไปได้อย่างสวัสดิภาพ ... แล้วข้าต้วนหลิงเทียนจะจดจำหนี้บุญคุณครั้งนี้ของท่านเอาไว้ไม่ลืม

"อะไร? กลับมีเรื่องเช่นนี้?  แต่ก็ยังเป็นเรื่องเพียงเล็กน้อย ข้าย่อมรับคำขอนี้ของเจ้า"

"เช่นนั้นต้องขอบคุณท่านล่วงหน้าแล้ว ท่านปรมาจารย์"...

...

ตอนนี้ในแววตาของเจิ้งฝานก็เผยประกายเรืองวูบขึ้นมาอีกครั้ง ในใจของเขาเต็มไปด้วยความสงสัยระคนแปลกใจ

สหายน้อยต้วนหลิงเทียนไปล่วงเกินอะไรจ้าวหลินผู้นี้กัน?

จ้าวหลินนั้นมันเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ระดับแรกสัมผัสธรรมชาติขั้นแรก และมีสถานะเป็นแค่ผู้อาวุโสฝ่ายนอกของขุนเขาเทียนเฉวียนเท่านั้น...

แต่อย่างไรก็ตามบุคคลที่อยู่เบื้องหลังของจ้าวหลินนั้น...เป็นตัวตน ที่แม้กระทั่งเขาผู้ที่ตัดผ่านไปยังระดับหยั่งรู้ธรรมชาติแล้วยังต้องให้ความเคารพและหวาดกลัว!

.........

"ย่ะ!"

"ย่า!"

...

ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนและลี่เฟยกำลังควบขี่อาชาเหงื่อโลหิตเคียงคู่กันมา ไม่นานหลังจากที่ออกเดินทาง...ในที่สุดทั้งคู่ก็เดินทางมาถึงเมืองไผ่ทมิฬ

เมื่อเข้าเมืองแล้ว ต้วนหลิงเทียนกับลี่เฟยก็เดินทางไปหาฉงเฉวียนที่บ้านในเมืองที่ซื้อไว้ก่อนหน้านี้  และหลังจากที่พักผ่อนเล็กน้อย ทั้งคู่ก็เปลี่ยนเครื่องแต่งกายกลับมาเป็นชุดลำลองตามปกติ  ในที่สุดทั้งหมดก็พร้อมออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ยอดเขาเดียวดาย!

ขุนเขาเดียวดายนี้กล่าวไปนับว่าอยู่ห่างไกลจากนิกายกระบี่ 7 ดาวไม่น้อย  คราวนี้ต้วนหลิงเทียนจึงต้องตระเตรียมข้าวของต่างๆ เพื่อให้เพียงพอกับการเดินทางระยะยาว

จากที่ฉงเฉวียนได้กล่าวบอกไว้คร่าวๆ ระยะเวลาที่ต้องใช้ในการเดินทางไปยังยอดเขาเดียวดายจากเมืองนี้  สมควรใช้เวลาราวๆ 5 เดือน ...

กล่าวในอีกแง่หนึ่งนั่นหมายความว่า การเดินทางไปกลับครานี้ สมควรกินเวลาราวๆ 1 ปี

และแน่นอนว่านี่ยังเป็นเพียงเวลาที่ฉงเฉวียนประมานการเอาไว้คร่าวๆเท่านั้น...

แล้วกลุ่ม 3 คนของต้วนหลิงเทียนก็เริ่มออกเดินทาง ต่างกระตุ้นม้าควบขี่พุ่งทะยานไปอย่างไม่ย่นย่อ...การเดินทางค่อนข้างยาวนานและน่าเบื่อไม่น้อย ...

...

และในที่สุดหลังจากเวลาล่วงเลยไปกว่า 4 เดือน ทั้ง 3 ก็เข้าใกล้ขุนเขาเดียวดายมากขึ้นเรื่อยๆ..

"ฉงเฉวียนตอนนี้พวกเรายังห่างจากขุนเขาเดียวดายมากเท่าไร?" หลังจากเร่งรีบตรากตรำเดินทางมาเป็นเวลากว่า 4 เดือนต้วนหลิงเทียนเองก็เหนื่อยล้าไม่น้อย ความอ่อนเพลียแผ่พุ่งออกจากหว่างคิ้วเขาอย่างเห็นได้ชัด

เขาไม่ได้หลับสบายๆสักครั้งในช่วงเวลา 4 เดือนนี้

เพราะเขาโหมบ่มเพาะพลังอย่างไม่หยุดหย่อน!

ในขณะที่เดินทางนั้น...ถึงแม้อาชาเหงื่อโลหิตจะมีความเร็วสูง ทว่ามันสามารถวิ่งรักษาระดับความเร็วรวมถึงรักษาสภาวะสมดุลของร่างเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้ผู้ที่นั่งอยู่บนหลังไม่ค่อยสะเทือนสักเท่าไร ต้วนหลิงเทียนจึงสามารถนั่งบ่มเพาะพลังบนหลังม้าได้อย่างไม่มีปัญหา

ฉงเฉวียนมองไปยังทิวทัศน์รอบๆ ก่อนที่จะกล่าวตอบออกมา  "นายน้อย...พวกเราใกล้มากแล้วขอรับ คาดว่าอีกมิเกินครึ่งวัน พวกเราก็น่าจักบรรลุถึงตีนเขาแล้วขอรับ

ฉงเฉวียนนั้นแม้จะเดินทางมาตลอดระยะเวลา 4 เดือนเช่นกัน...ทว่ามันยังคงกระชุ่มกระชวยไม่มีทีท่าร่องรอยอ่อนล้าอะไรแม้แต่น้อย นี่นับว่าเป็นเรื่องที่แตกต่างกับสภาพของต้วนหลิงเทียนอย่างสิ้นเชิง!

แต่นี่ก็ย่อมเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว เพราะที่ฉงเฉวียนยังอยู่ดีเช่นนี้ ต้องขอบคุณระดับบ่มเพาะที่สูงของมัน

นอกจากนี้ในระหว่างการเดินทาง ระดับบ่มเพาะของฉงเฉวียนที่หวนกลับคืนสู่ระดับแรกสัมผัสธรรมชาติขั้นที่ 6 อีกครั้ง...ก็ได้ตัดผ่านระดับไปอีกขีดขั้น มันก้าวเข้าสู่ระดับแรกสัมผัสธรรมชาติขั้นที่ 7 ได้สำเร็จ!

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับคำ ก่อนที่จะมองไปยังลี่เฟยที่ควบขี่อาชาอยู่ด้านข้างของเขา นางเองก็มีท่าทางอิดโรยไม่แพ้เขา “เสี่ยเฟยเจ้าอดทนอีกนิดนะ อีกไม่นานพวกเราก็ได้พักผ่อนแล้ว”

"ตัวเลวร้าย ข้ายังสบายดี อย่าได้กังวลแล้ว " ลี่เฟยพยักหน้าด้วยท่าทางแข็งขัน ... นี่ทำให้ในใจต้วนหลิงเทียนบังเกิดความเจ็บปวดเล็กน้อย เขาไม่น่าพาลี่เฟยมาลำบากเช่นนี้ด้วยเลย

ถึงแม้ว่าพวกโจรที่กลุ่มของเขาพบพานระหว่างทางจะถูกฉงเฉวียนจัดการได้อย่างง่ายดาย จนไม่มีอะไรให้เขาต้องวิตกกังวล  แต่ทว่าด้วยการตรากตรำเดินทางไม่หยุดหย่อนเช่นนี้ แน่นอนว่าความอ่อนล้าที่สะสมก็มีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว  ต้วนหลิงเทียนย่อมรู้ว่าลี่เฟยอ่อนล้าและเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน ...นางไม่เหมือนเขาที่ชินชากับการเดินทาง แน่นอนว่าสมควรอ่อนล้าไม่น้อย ที่เห็นแข็งขันนั้นล้วนฝืนให้เขาสบายใจทั้งสิ้น...

แต่ก็ยังนับว่ามีเรื่องดีอยู่บ้าง เพราะยามนี้ระดับบ่มเพาะของลี่เฟยได้ทะลวงผ่านไปอีกขีดขั้นหนึ่งแล้ว หากนางไม่มีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นเช่นนี้ เกรงว่าป่านนี้อาจจะออกอาการไปแล้ว

แน่นอนว่าหากระดับบ่มเพาะของลี่เฟยตัดผ่านไปได้ ระดับบ่มเพาะของต้วนหลิงเทียน ก็สมควรมีความคืบหน้าด้วยเช่นกัน!

ด้วยการพยายามบ่มเพาะพลังทั้งวันทั้งคืน  ทำให้ต้วนหลิงเทียนสามารถตัดผ่านไปยังระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 8 ได้สำเร็จ ...

ในระหว่างการเดินทางอยู่นั้นต้วนหลิงเทียนก็คิดคำนวณในใจ ถึงแม้ตอนนี้ข้าจะไม่ได้ใช้อาวุธวิญญาณ  แต่ความแข็งแกร่งของข้าก็มีถึง 121 ช้างแมมมอธโบราณ ซึ่งนับว่าแข็งแกร่งกว่าฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 9 ทั่วไปที่มีความแข็งแกร่งเพียง 120 ช้างแมมมอธโบราณ’

‘นอกจากนี้ในขณะที่ข้าตัดผ่านไปยังระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 8  พลังงานสั่นสะเทือนเองก็มีความก้าวหน้าเช่นกัน ... ตอนนี้ขอบเขตผลกระทบที่พลังงานสั่นสะเทือนของข้ามีผล สมควรเป็น 70 ช้างแมมมอธโบราณ!’ ในขณะที่คิดอยู่นี้ แน่นอนว่าในใจต้วนหลิงเทียนย่อมบังเกิดความตื่นเต้นไม่น้อย!

‘อย่างไรก็ตามตอนนี้นับว่าความแข็งแกร่งของข้ายังคงต่ำกว่าหลิ่วชีเกอ!’ ทว่าครู่ต่อมาใบหน้าของต้วนหลิงเทียนก็สลายความดีใจกลับมาเคร่งขรึมอีกครั้งราวกับถูกน้ำเย็นสาดราดรด  ดวงตาของเขาแปรเปลี่ยนกลับกลายมาเป็นเยือกเย็นไร้อารมณ์

หลิ่วชีเกอ!

ผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 1

ความแข็งแกร่งของหลิ่วชีเกอปกติก็มีถึง 200 ช้างแมมมอธโบราณ...และหากหลิ่วชีเกอใช้อาวุธวิญญาณ  แน่นอนว่าความแข็งแกร่งของมันยิ่งเพิ่มพูนขึ้นมาอีกมาก

"ตัวเลวร้าย เจ้าคิดอันใดอยู่หรือ ใยทำหน้าเครียดเช่นนั้นเล่า?" ทันใดนั้นน้ำเสียงไพเราะพลันแว่วดังเข้าหูต้วนหลิงเทียน ทำให้อารมณ์เขาดีขึ้นเล็กน้อย

"ไม่มีอะไรมากมายหรอก แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ"ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวออกมาพร้อมรอยยิ้ม ความเย็นชาในแววตาและสีหน้าสลายหายไปในบัดดล...

เขาไม่ได้เล่าเรื่องราวความบาดหมางระหว่างเขากับหลิ่วชีเกอให้ลี่เฟยฟัง เพราะกลัวว่าลี่เฟยจะเป็นห่วง

แล้วกลุ่มต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 ก็เดินทางต่อไปอีกเป็นเวลาครึ่งวัน...

ในที่สุดทั้งกลุ่มก็เดินทางจนเห็นดวงตะวันร่วงหล่นยังประจิมทิศ ...ทว่าเบื้องหน้ายามนี้...ปรากฏภาพขุนเขาเรียงรายเป็นทิวเขาสวยงาม และหนึ่งในขุนเขาเหล่านั้นมีลูกหนึ่งที่สูงตระหง่านเสียดฟ้า ดั่งเสาค้ำโลกาอยู่โดดเดี่ยวไร้ขุนเขาลูกใดเทียบเทียม

ขุนเขาลูกนี้เมื่อแหงนมองขึ้นไป มันนำพาให้ผู้คนอดที่จะสูดลมหายใจไม่ได้  เพราะว่าความสูงของมันทะลุหมู่เมฆขึ้นไปอีก!

"นายน้อย นั่นคือขุนเขาเดียวดายขอรับ" ฉงเฉวียนกล่าวบอกต้วนหลิงเทียน

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับคำ เขาทอดสายตาไล่ระดับแหงนมองขุนเขาเดียวดายที่ว่า ด้วยสองตาเป็นประกาย ก่อนที่จะเบนกลับมามองยังที่ไกลๆแห่งหนึ่งที่แลดูมีชีวิตชีวา

ในระยะไกลๆนั้นปรากฏเมืองโบราณกว้างใหญ่ไพศาล ผังเมืองเรียงตัวสวยงามบนผืนทะเลทราย  แลดูไปคล้ายสัตว์ร้ายน่าเกรงขามกำลังหลับใหลอยู่  แฝงความรู้สึกลึกลับอันตรายประการหนึ่ง เพียงแค่มองก็นำพาให้ใจผู้คนสั่นไหว

"ฉงเฉวียนแล้วเมืองนี้มันเรียกว่าเมืองอะไรหรือ?" ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามขึ้นมา

ดวงตาคู่สวยของลี่เฟยก็เบนจากขุนเขาสูงชัน หันมาจับจ้องเมืองเบื้องไกลๆหน้าด้วยความอยากรู้เช่นกัน

"นายน้อยเมืองนี้เรียกว่าเมืองโบราณชั่วนิรันดร์ขอรับ" ฉงเฉวียนกล่าวตอบอย่างสุภาพ "เมืองโบราณชั่วนิรันดร์นี้ นับได้ว่าเป็นเมืองที่เก่าแก่และมีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุดของอาณาจักรพนาคราม... ทั้งยังมีคำกล่าวเอาไว้ว่า เมืองโบราณชั่วนิรันดร์นี้ ...มันดำรงอยู่ก่อนที่อาณาจักรพนาครามจะถูกสถาปนาขึ้นมาอีกด้วยซ้ำขอรับ"
 

รีวิวผู้อ่าน