px

เรื่อง : War Sovereign Soaring The Heavens
บทที่ 347 : จับผู้คนโยนออกนอกร้าน!


บทที่ 347 : จับผู้คนโยนออกนอกร้าน!

คู่สามีภรรยาเจ้าของเหลาอาหาร นับว่ามีความเป็นกันเองสูงนัก ทั้งคู่ล้วนเห็นเรื่องราวของลี่เฟยเป็นเพียงเรื่องสนุกขำขันเท่านั้น หาได้เก็บมาใส่ใจให้ขุ่นขึ้งแต่อย่างไร

หวังฉงมองไปยังต้วนหลิงเทียนและลี่เฟยพร้อมรอยยิ้ม คิ้วคู่งามโค้งขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าสวยเอียงลงพร้อมกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงใสกังวาน "น้องหลิงเทียน เจ้ากับน้องลี่เฟยอยากกินอันใดบ้าง?"

"เอาเป็นว่า...พี่สะใภ้ท่านเลือกอาหารขึ้นชื่อทางร้านให้พวกเราได้เลย... พวกเราไม่มีใดที่กินไม่ได้" ต้วนหลิงเทียนยิ้มบางๆ ก่อนที่จะกล่าวกับหวังฉง

"ย่อมได้" หวังฉงพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม หลังจากนั้นนางก็เดินกลับไปเพื่อจัดเตรียมอาหาร

สำหรับจางโฉวหย่งเขาก็พยักหน้าให้ต้วนหลิงเทียนและลี่เฟยเบาๆ หลังจากนั้นก็เดินไปยังหน้าต่างก่อนที่จะขึ้นไปนั่งพิงขอบหน้าต่างด้วยท่วงท่าเช่นเดิม และหยิบน้ำเต้าสุราที่ข้างเอวขึ้นมายกซด ...

น้ำเต้าสุราในมือของเขาเป็นดั่งหลุมไร้ก้น ราวกับว่ามันบรรจุสุราเอาไว้จำนวนไร้สิ้นสุด

ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวเล็กน้อย

หากไม่เพราะเขามองถึงการจงใจปกปิดตนเองของจางโฉวหย่งออกแล้วล่ะก็ ไม่แคล้วเขาเองก็คิดว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นเพียงยาจกขี้เมาเป็นแน่

ทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองลี่เฟย ก่อนที่จะยิ้มออกมาเล็กน้อย และยิ่งย้อนคิดถึงเรื่องราวที่ลี่เฟยต่อต้านจางโฉวหย่งแล้ว  เขาก็อดหัวเราะออกมาเบาๆไม่ได้

"นี่! ตัวเลวร้าย เจ้าห้ามหัวเราะเยาะข้านะ!" เมื่อลี่เฟยเห็นต้วนหลิงเทียนมองมาที่นางแล้วขำ นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าต้วนหลิงเทียนคิดอะไรอยู่? นางรู้สึกโกรธเล็กน้อยจากความอับอายที่ได้กระทำ

"เอาล่ะๆ ข้าไม่หัวเราะเจ้าแล้ว" ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวเบาๆ และไม่คิดยั่วอารมณ์ของสาวน้อยคนนี้ต่อไป

ทันใดนั้นเองดวงตากลมสวยของลี่เฟยพลันเบิกกว้างขึ้น ก่อนที่จะฉายแววซุกซนออกมาพร้อมกล่าวคำ "ตัวเลวร้าย เจ้าคิดว่าพี่ชายจางโฉวหย่งนั้นมีเสน่ห์ที่ใดกัน ถึงได้ภรรยาที่งดงามปานบุปผาเช่นนี้...กระทั่งยังมีผู้ดูแลโรงเตี๊ยมแสนงดงามที่ชมชอบเขาด้วยอีกคน"

ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวออกมาพร้อมยิ้มบางๆ "เรื่องราวความรักเช่นนี้...แต่ไหนแต่ไรก็นับว่าเป็นเรื่องยากเข้าใจแต่แรกแล้ว ...ผู้ใดจะสามารถกล่าวบอกเรื่องราวความรักได้ชัดเจนเล่า?"

"ตัวเลวร้าย แต่ข้าสังเกตว่าพี่สาวหวังฉงนั้นแลมิค่อยมันใจในตัวเองนัก ยามที่นางอยู่ใกล้ๆพี่ใหญ่จาง ... เรื่องนี้เจ้าเองก็สังเกตเห็นใช่หรือไม่?”ลี่เฟยกล่าวถามอกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวยุงบิน

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า "ข้าเองก็สังเกตได้"

"ตัวเลวร้าย เจ้ามิอยากรู้หรือว่าเพราะอันใด?" ดวงตาคู่งามของลี่เฟยเผยแววซุกซนอยากรู้อยากเห็นออกมาอีกแล้ว  ราวกับนางต้องการล่วงรู้และทำความเข้าใจเรื่องราวความรักของคู่สามีภรรยาเจ้าของเหลาคู่นี้ให้ได้...

ต้วนหลิงเทียนอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้

ความอยากรู้อยากเห็นของสาวน้อยนางนี้ นับวันยิ่งมากมายนัก!

แต่ต้วนหลิงเทียนเองย่อมรู้ใจตัวเองดี ความสงสัยในเรื่องนี้ก็ดังก้องในใจของเขาเองเช่นกัน แน่นอนว่าเขาย่อมอยากรู้ด้วยอีกคนไม่ต่างจากนาง

ต้วนหลิงเทียนพลันเห็นประกายตาของสาวน้อยตรงหน้าเรืองวูบขึ้นมาพร้อมกระพริบตาปริบๆ เขาจึงกล่าวถามออกมาอย่างสนใจ "หืม? ท่าทางแบบนี้ เจ้ามีวิธีแล้วหรือ?"

ลี่เฟยยิ้มซุกซนออกมา แต่นางไม่คิดบอกกล่าวแผนการของนาง

เรื่องนี้ทำให้ต้วนหลิงเทียนบังเกิดความหมั่นเขี้ยวนัก เขาไมต้องการอะไรมากไปกว่าจับลี่เฟยไป ‘ทำโทษ’ ที่โรงเตี๊ยมมันซะตอนนี้เลย

ครู่ต่อมาไม่นาน อาหารก็ถูกยกมาจัดวางบางส่วน

"ฉงเฉวียน เจ้านั่งลงกินอาหารด้วยกันสิ" ต้วนหลิงเทียนกล่าวกับฉงเฉวียนเบาๆ  ฉงเฉวียนเองก็เดินทางติดตามพวกเขามา ทั้งรับมือโจรร้ายและสำรวจเส้นทาง แน่นอนว่ามันย่อมพบพานความลำบากมากยิ่งกว่าพวกเขาด้วยซ้ำ และตลอดระยะเวลา 4 เดือนมานี้ ก็แทบไม่ได้กินอะไรดีๆเลย

"ขอบคุณท่าน นายน้อย" ฉงเฉวียนนั่งลงอย่างสุภาพ

ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียน ก็เห็นลี่เฟยรีบคีบอาหารกินอยู่ 2 คำ ก่อนที่จะลุกออกจากโต๊ะไปหาสตรีเจ้าของเหลาด้านใน "พี่หญิงหวัง ให้ข้าช่วยท่าน"

ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจแล้วว่าลี่เฟยมีแผนอะไร

ดูเหมือนว่านางคิดให้หวังฉงกล่าวเรื่องราวออกมาให้ได้...

"ฮ่าๆๆ!! พี่น้องดูเหลาอาหารเล็กๆแห่งนี้ซี่ นับว่าสวยงามเงียบสงบมิเบา ไป! พวกเราเข้าไปหาอะไรกินกัน" ทันใดนั้นเอง เสียงกล่าวคำโผงผางพลันดังขึ้นจากด้านล่างหน้าเหลาอาหาร

ครู่ต่อมากลุ่มชายวัยกลางคนจำนวนหนึ่งก็เดินขึ้นมายังชั้น 2 ของเหลาหยกนิรันดร์ คนกลุ่มนี้นับว่ากล่าววาจาสนทนาและหัวร่อออกมาเสียงดังอย่างไม่เกรงใจผู้อื่นแม้แต่น้อย...

นับว่าเสียงกล่าวคำสนทนากับเสียงหัวเราะของพวกมันได้ทำลายความเงียบสงบบนชั้น 2 ของเหลาหยกนิรันดร์ ลงไปอย่างสิ้นเชิง

ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วด้วยรำคาญ และเมื่อมองไปรอบๆ ลูกค้าคนอื่นๆเองก็เผยท่าทางรำคาญไม่ต่างกัน ทั้งหมดบังเกิดความไม่พอใจผู้มาใหม่กลุ่มนี้ทั้งสิ้น

"โอ้โห ร้านนี้ช่างเงียบสงบถูกใจบิดานัก! ฮ่าๆๆ น้องรอง! เงียบเช่นนี้หากเจ้าผายลมคงดังลั่นทั้งร้านแล้ว!" ชายวัยกลางคนหนึ่งในกลุ่มโพล่งขึ้นมาด้วยความแปลกใจ ทั้งยังกล่าววาจาสัปดนหยกล้อพี่น้องออกมาอย่างสนุกสนาน น้ำเสียงของมันดังราวกับอัสนีฟาด

ตอนนี้เอง น้ำเสียงเย็นชาไม่แยแสพลันดังขึ้นในทันใด "เหลาหยกนิรันดร์ นิยมความสงบ ห้ามส่งเสียงดังรบกวนผู้อื่น ... หากลูกค้ามิอาจกระทำได้ เชิญออกไป!"

เมื่อได้ยินวาจาดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองชายที่นอนเอนพิงหน้าต่าง

แน่นอนว่าเป็นจางโฉวหย่ง เจ้าของเหลาที่ไม่ธรรมดาแห่งนี้กล่าวคำออกมา

กลุ่มชายวัยกลางคนอึ้งไปไม่น้อยเมื่อโดนกล่าวห้ามปรามจากจางโฉวหย่ง

ครู่ต่อมาเมื่อทั้งหมดหายตะลึงแล้ว พวกมันก็ก้าวอาดๆมาลอมจางโฉวหย่งที่พิงขอบหน้าต่าง ...

ชายวัยกลางคนที่นำหน้ามากล่าวเย้ยหยันออกมาเสียงดังอีกครั้ง "เจ้าเป็นเพียงตัวขี้เมาเน่าเหม็น แต่เจ้ากล้าล่วงเกินใต้เท้าอย่างพวกข้าหรือ? ใต้เท้าผู้นี้ขอกล่าววาจาต่อเจ้า ยามพวกเราเข้าเหลาอาหาร พวกเราชมชอบผ่อนคลายและกล่าววาจาเสียงดัง ว่าแต่ข้าใต้เท้ากับพี่น้องเสียงดังแล้วจักทำไม? เจ้ามีปัญหาอันใดหรือไม่?"

"นั่นสิ! ตั้งแต่เมื่อใด ที่ยาจกขี้เมาเน่าเหม็น กล้ากล่าววาจาโอหังเช่นนี้?

"ตัวขี้เมาเหม็นโฉ่หากเจ้ากล้า ใยมิกล่าววาจาอีกครั้งเล่า มาดูกันว่าบิดาผู้นี้จับเจ้าโยนออกจากเหลานี่อย่างไร!"

...

ชายวัยกลางคนอื่นๆก็มองจางโฉวหย่งด้วยสายตาราวกับมองตัวโง่งม พวกมันก่นด่าออกมากันอย่างสนุกสนาน

ตอนนี้... จางโฉวหย่งก้มศีรษะลงมามองพวกมัน หลังจากที่ยกน้ำเต้าบรรจุสุราแหงนคอกระดกอยู่นานสองนาน

"ไสหัวไปให้พ้นหน้าข้า! เหลาหยกนิรันดร์ไม่ต้อนรับพวกเจ้า!!" จางโฉวหย่งกล่าวออกมาช้าๆ เมื่อกล่าวจบคำ เขาก็ยกน้ำเต้าขึ้นมายกดื่มสุราอีกครั้ง ศีรษะโอนเอนส่ายไปมาราวกับขี้เมากำลังเมามาย

"คนเหล่านี้ กำลังหาเรื่องเจ็บตัวแท้ๆ" ต้วนหลิงเทียนที่นั่งดูอยู่ไกลๆกล่าวออกมาพร้อมหรี่ตา เมื่อเห็นว่ายามนี้ในแววตาของจางโฉวหย่งเผยประกายดุร้ายออกมา อดที่จะทำให้ใจของเขาจดจ่อเรื่องราวไม่ได้

"ฮ่า ๆ ... " กลุ่มชายวัยกลางคนล้วนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น เมื่อได้ฟังวาจาดุร้ายของจางโฉวหย่ง และเมื่อหัวเราะจบพวกมันก็คิดที่จะกล่าววาจาเย้ยหยันต่อจางโฉวหย่งอีกครั้ง

แต่น่าเสียดายที่พวกมันไร้โอกาสนั้นแล้ว

ฟู่ม! ปงงง!!

เพราะทันใดนั้นเอง ได้บังเกิดเสียงของบางสิ่งพุ่งแหวกอากาศด้วยความเร็วสูง! จนห้วงอากาศแตกระเบิดออกส่งเสียงดัง

พริบตาต่อมาต้วนหลิงเทียนก็เห็นว่าเหล่าชายวัยกลางคนทั้งหลายต่างร้องด้วยความเจ็บปวด และราวกับร่างของพวกมันจะรีบเหินบินออกจากเหลาด้วยความตั้งใจของตัวเองอย่างไรอย่างนั้น ...

ตุบๆๆ

“อ๊าคคคคค”

...

น้ำเสียงทึบราวกับวัตถุหนักตกลงพื้นอย่างแรงดังขึ้นมา ไม่นานเสียงกรีดร้องโอดโอยก็ดังขึ้นตามมาราวกับระลอกคลื่น เป็นเสียงร้องอันน่าสังเวช

"เร็วยิ่งนัก!" ม่านตาต้วนหลิงเทียนหดแคบลง แน่นอนว่าเขารู้เมื่อครู่ต้องเป็นจางโฉวหย่งลงมือกระทำ

อย่างไรก็ตามนอกจากเสียงดังสนั่นหูจากการอากาศระเบิดออกในขณะที่จางโฉวหย่งน่าจะลงมือกระทำบางสิ่ง   แต่แน่นอนว่าเขาก็ไม่อาจเห็นจางโฉวหย่ง ยามลงมือเคลื่อนไหวใดๆทั้งสิ้น ...

แม้กระทั่งภาพเงาร่างช้างแมมมอธโบราณเหนือศีรษะก็ไม่ทันได้เห็น เพราะมันปรากฏขึ้นเพียงเสี้ยวพริบตาแล้วก็หายไป ดวงตายังไม่อาจจับภาพได้ทัน!

"ฉงเฉวียน เมื่อครู่เจ้าเห็นชัดเจนหรือไม่ ยามเขาลงมือ?" ต้วนหลิงเทียนจำต้องหันไปมองฉงเฉวียนพร้อมกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเบาๆ

"ความเร็วของเขาสูงส่งเกินไป ... ถึงแม้จะเป็นข้าก็มิอาจมองเห็นแม้แต่เงา กระทั่งเงาร่างแสดงความแข็งแกร่งที่กระพริบวูบขึ้นมาข้าก็มิอาจเห็น...อย่างไรก็ตามข้ากลับมั่นใจสิ่งหนึ่ง ...ความแข็งแกร่งของเขาเหนือกว่าข้าหลายขุม!"

ม่านตาต้วนหลิงเทียนยิ่งหดแคบลงอีกครั้งเมื่อได้ยินอะไรที่ฉงเฉวียนกล่าว

แม้กระทั่งฉงเฉวียนยังไม่อาจมองตามได้ทัน กระทั่งบังเกิดความหวั่นเกรงต่อจางโฉวหย่ง?

หลังจากที่พิษปรสิตกลืนกำเนิดถูกขจัดออกไปอย่างสมบูรณ์ ฉงเฉวียนก็สามารถฟื้นฟูระดับบ่มเพาะทั้งหมดก่อนหน้าอันเป็นระดับแรกสัมผัสธรรมชาติขั้นที่ 6 ได้สำเร็จ และตอนนี้กระทั่งมีความก้าวหน้าจนตัดผ่านไปยังระดับแรกสัมผัสธรรมชาติขั้นที่ 7 แล้ว!

การที่ว่องไวจนสายตาคนระดับนี้มองตามไม่ทัน...นั่นไม่ได้หมายความว่าความแข็งแกร่งของจางโฉวหย่งคนนี้ เหนือยิ่งกว่าระดับแรกสัมผัสธรรมชาติขั้นที่ 9 หรือ?!

นับว่ามันเป็นเรื่องยากจะจินตนาการจริงๆ ว่าบุรุษที่มีอายุไม่ถึง 30 ปีคนหนึ่ง จะครอบครองความแข็งแกร่งมหาศาลน่าหวาดกลัวเช่นนี้ ...

ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะเริ่มเร่งพลังวิญญาณของเขาให้ถึงขีดสุดเพื่อใช้จิตสัมผัสตรวจสอบสังเกตอย่างละเอียดเพื่อนำไปเปรียบเทียบกับความทรงจำของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดดูว่า ระดับบ่มเพาะของจางโฉวหย่งนั้นที่แท้บรรลุอยู่ในขีดขั้นใดกันแน่

ทว่าเมื่อพลังวิญญาณของเขาแผ่พุ่งออกไปตรวจสอบร่างของจางโฉวหย่ง ก็ราวกับทุ่มหินลงไปในมหาสมุทร

สัมผัสเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับตอนที่เขาตรวจสอบ สาวน้อยในชุดสีเหลืองนาม หานเฉวี่ยไน่ แม้แต่น้อย ...

มีความเป็นไปได้เพียง 2 ประการเท่านั้นที่เป็นไปได้ในสถานการณ์เช่นนี้

ความเป็นไปได้ประการที่หนึ่ง ก็คือ จางโฉวหย่งผู้นี้ไม่ต่างอะไรกับหานเฉวี่ยไน่  ที่รู้วิธีปกปิดระดับบ่มเพาะ หรือวิชาบ่มเพาะที่เขาฝึกฝนสามารถระงับกลิ่นอายระดับบ่มเพาะของตัวเองได้ หรือกระทั่งมีวัตถุอาคมบางอย่างปกปิด

ความเป็นไปได้อีกประการก็คือ จางโฉวหย่งผู้นี้ เป็นผู้เชี่ยวชาญในระดับ หยั่งรู้ธรรมชาติ!

เป็นผู้เชี่ยวชาญหยั่งรู้ธรรมชาติที่มีอายุน้อยกว่า 30 เช่นนั้นหรือ?

เขาจะไม่รู้สึกแปลกใจเลย ถ้าเห็นผู้เชี่ยวชาญหยั่งรู้ธรรมชาติที่มีอายุน้อยกว่า 30 ปรากฏตัวบนพื้นที่รอบนอก

แต่ตอนนี้ตัวตนดังกล่าวกลับมาปรากฏตัวอยู่ที่เมืองโบราณชั่วนิรันดร์ ซึ่งยังอยู่ในอาณาจักรพนาคราม...นั่นทำให้ต้วนหลิงเทียนคิดว่าเรื่องราวเช่นนี้ออกจะเหลือเชื่อไปอยู่บ้าง

สุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็ตัดสินใจเอาว่า เรื่องราวของจางโฉวหย่ง น่าจะเป็นไปตามการคาดการณ์อย่างแรก

แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นในใจของเขาก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

เพราะหลังจากทั้งหมดไม่ต้องกล่าวถึงอาณาจักรพนาคราม แม้กระทั่งทั่วอาณาจักรศิลาทมิฬ หรือแม้กระทั่งราชอาณาจักรต้าฮั่น ผู้เชี่ยวชาญที่มีระดับเหนือกว่า แรกสัมผัสธรรมชาติขั้นที่ 7 โดยที่มีอายุน้อยกว่า 30 ปี นั้นก็เป็นตัวตนที่หาได้ยากไม่ต่างอะไรจาก เขากิเลนขนฟินิกซ์!

ส่วนทางด้านกลุ่มชายวัยกลางคนเมื่อถูกจางโฉวหย่งซัดจนกระเด็นออกนอกร้านแล้ว พวกมันเพียงร้องโอดครวญอยู่ชั่วครู่เท่านั้น ทั้งหมดก็รีบเงียบปากลงทันที

เห็นได้ชัดว่าพวกมันเริ่มตระหนักได้แล้วว่าจางโฉวหย่งน่ากลัวขนาดไหน!

และแล้วความสงบสุขก็กลับมาเยือนเหยาหยกนิรันดร์อีกครั้ง...

หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนกินอาหารที่ยกมาจัดวางชุดแรกหมด ลี่เฟยก็เดินกลับมา และเมื่อต้วนหลิงเทียนสังเกตเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของนาง เขาก็รู้ดีว่านางคงได้รับรู้เรื่องราวบางอย่างมาแน่นอน

"เจ้ากินก่อนเถอะ" ต้วนหลิงเทียนไม่ได้รีบถามเรื่องราวอะไร เขารอให้ลี่เฟยได้กินอาหารที่พึ่งยกมาจัดวางชุดใหม่อีกครั้งก่อน  และเมื่อนางกินไปจนหมด เขาก็กล่าวถามออกมา "เจ้ารู้เรื่องราวแล้วหรือไม่?"

ลี่เฟยพยักหน้า ใบหน้าของนางยามนี้เผยความพึงพอใจราวกับได้ชัยชนะเล็กน้อย

ประกายตาต้วนหลิงเทียนก็เรืองวูบขึ้นมา เขาเตรียมตัวชำระค่าอาหารทันที

ทว่าหวังฉงกลับไม่เต็มใจคิดเงินจากเขา "น้องหลิงเทียน แม้ข้ากับน้องหญิงลี่เฟยจะได้พบกันเพียงไม่นาน แต่ข้ารู้สึกราวกับนางเป็นสหายรู้ใจที่รู้จักกันมาเนิ่นนาน... อีกทั้งข้าก็เห็นว่าเจ้ากับสามีข้า ก็แลดูราวกับพี่น้อง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็อย่าได้เกรงใจอีกเลย”

"อ่าเช่นนั้น ข้าไม่เกรงใจพี่สะใภ้แล้ว" ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ายิ้มรับไมตรี ไม่นานเขาก็กล่าวคำอำลาหวังฉงและหันไปกล่าวคำลากับจางโฉวหย่ง ก่อนที่จะจูงมือลี่เฟยออกจากเหลาหยกนิรันดร์

หลังจากที่ทั้งหมดออกจากเหลาหยกนิรันดร์ไปสักพัก ในขณะที่ที่เดินอยู่บนถนนมุ่งหน้าไปยังตลาดใหญ่ของเมืองโบราณชั่วนิรันดร์ ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวถามออกมาอีกครั้ง "เสี่ยวเฟยตกลงเจ้าได้รู้อะไรมาบ้าง?"

ลี่เฟยระบายลมหายใจออกมาอย่างเสียดาย "ที่แท้แล้ว พี่หญิงหวังฉงเอง ก็นับเป็นสตรีที่อาภัพ...นางน่าสงสารมิน้อย"

อาภัพ น่าสงสาร?

ต้วนหลิงเทียนงุนงงเล็กน้อย และพยายามตั้งใจฟัง

"พี่หญิงหวังฉง เคยเป็นสตรีที่มีพรสวรรค์ในเชิงยุทธ์เลิศล้ำคนหนึ่ง และนางก็เป็นอัจฉริยะที่ไม่ด้อยไปกว่าใคร แต่ด้วยอุบัติเหตุบางอย่างที่นางพานพบ จึงทำให้ ตันเถียนของนางได้รับบาดเจ็บ จนนางไม่อาจสั่งสมเพิ่มพูนพลังงานต้นกำเนิดได้... และจากที่ข้าได้ฟังนางเล่า พี่ใหญ่จาง ก็เป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์ในเชิงยุทธ์เลิศล้ำมากเช่นกัน นั่นทำให้นางที่ยามนี้ไร้พลังรู้สึกต้อยต่ำและไม่คู่ควรกับพี่ใหญ่จาง" ลี่เฟยกล่าวออกมาช้าๆ

ต้วนหลิงเทียนเข้าใจได้ทันทีเมื่อได้ยินคำเล่าจากลี่เฟย

ที่แท้เหตุผลที่หวังฉงบังเกิดความไม่มั่นใจในตัวเองและดูลังเลยามอยู่กับจางโฉวหย่ง เป็นเพราะนางไม่อาจสั่งสมเพิ่มพูนพลังงานต้นกำเนิดได้อีกแล้ว ทว่าทางด้านจางโฉวหย่งยังคงเป็นผู้มากพรสวรรค์ในเชิงยุทธ์

เขาย่อมเข้าใจเรื่องนี้ดี

สตรีธรรมดาคนหนึ่งกลับได้อยู่เคียงข้างบุรุษที่เปี่ยมล้ำไปด้วยพรสวรรค์ในเชิงยุทธ์มากมายเช่นนี้ มันย่อมทำให้นางบังเกิดความกดดันอย่างมาก

แต่จะอย่างไรทั้งคู่ก็แต่งงานร่วมเรียงเคียงหมอนกันแล้ว เหตุใดนางยังต้องกังวลเรื่องนี้?

‘บางทีนางอาจจะยังมีปมในใจสำคัญ บางประการเป็นแน่’ ต้วนหลิงเทียนคิดในใจ ‘นอกจากนี้ปมในใจที่ว่า ไม่มากก็น้อยสมควรเกี่ยวข้องกับสตรีผู้ดูแลโรงเตี๊ยมเชวียนฉีที่งดงามไม่แพ้กันคนนั้น’

ลี่เฟยกล่าวต่อไปอีกว่า... "ก่อนหน้านี้เป็นข้าเข้าใจพี่ใหญ่จางผิดไปมากมายนัก...ปรากฏว่าพี่ใหญ่จางล้วนมอบทุกสิ่งให้แก่พี่หญิงหวังฉง กระทั่งเขาถึงกับละทิ้งความฝันของเขาเอง  และเลือกที่จะเดินทางติดตามนางมายังเมืองโบราณชั่วนิรันดร์ที่อยู่ห่างไกลแห่งนี้ เพื่อเปิดเหลาอาหารหยกนิรันดร์กับนาง

"เพราะการเปิดเหลาอาหารหยกนิรันดร์นี้... เป็นความฝันของพี่หญิงหวังฉง... "

 

รีวิวผู้อ่าน