px

เรื่อง : War Sovereign Soaring The Heavens
บทที่ 350 : ชายแก่หนังเหี่ยว!


บทที่ 350 : ชายแก่หนังเหี่ยว!

ภายในใจของชายหนุ่มชุดน้ำเงินยามนี้บังเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาหนักหนาแล้ว

"ฉงเฉวียน ฆ่าไอแก่นี่ซะ!" มันใดนั้นเอง ต้วนหลิงเทียนก็เหลือบมองไปยังชายชรา ที่ลอยอยู่กลางอากาศ พร้อมกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแข็งๆไร้อารมณ์  อดไม่ได้ที่ผู้ฟังต้องบังเกิดความหนาวเหน็บ

เขาย่อมจินตนาการออกว่าเรื่องราวจะแปรเปลี่ยนกลับกลายเป็นเช่นไร  หากไร้ฉงเฉวียนอยู่ข้างกายเขาที่นี่ แน่นอนว่าเขาคงต้องตกตายเพราะชายชรานั่น!

ยามที่ชายชราพุ่งร่างมาปรากฏตรงหน้าด้วยความเร็วสูงนั้น  จิตสังหารและแรงกดดันจากพลังของมัน ทำให้เขากดดันจนหายใจแทบไม่ออก!

นั่นเป็นอะไรที่ตัวเขาไม่อยากสัมผัสอีกเป็นครั้งที่ 2 ในชีวิต!

มันไม่ค่อยจะสู้ดีนัก!

"ขอรับนายน้อย" ฉงเฉวียนเอ่ยรับคำ ประกายตาของมันเรืองขึ้นมาวูบหนึ่ง ก่อนที่จะยกมือขึ้นพร้อมปรากฏดาบ 3 ฉื่อจากอากาศที่ว่างเปล่า

ในตอนนี้นั้น เมื่อชายชราเห็นท่วงท่าสภาวะของฉงเฉวียน  สายตาของมันก็แปรเปลี่ยนไปราวกับเห็นภูตผี  ร่างของมันรีบเหินพุ่งแหวกฝ่าอากาศไปยังชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินด้วยความเร็วสูงจนเหลือเพียงเงาติดตาค้างอยู่กลางอากาศ

เห็นได้ชัดว่ามันคิดพาชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินหลบหนี!

แต่มันยังจะหนีได้หรือ?

"เปล่าประโยชน์!" น้ำเย็นชาของฉงเฉวียนพลันดังขึ้น ราวกับจะแช่แข็งห้วงอากาศ

และพริบตาต่อมาร่างของฉงเฉวียนก็หายวูบไปต่อหน้าต่อตาต้วนหลิงเทียน และเมื่อร่างฉงเฉวียนปรากฏให้เห็นอีกครั้ง มันก็พุ่งไปดักหน้าชายชราที่อุ้มชายหนุ่มหมายหลบหนีขึ้นเขาเดียวดายแล้ว!

ฟุ่บ!!

เสียแหวกผ่าอากาศดังสะท้านขึ้นมา

เพียงการฟาดดาบออกไปอย่างเรียบง่าย แต่ทว่าดาบนี้มาด้วยความเร็วสูงล้ำ! ประดายดาบเพียงแลบลั่นคล้ายเส้นสายอัสนีไหววูบชั่วพริบตา แผ่ซ่านกลิ่นอายน่ากลัว ว่องไวราวกับห้วงเวลาจะหยุดนิ่ง

วู้มมม!

และในเวลาเดียวกันนั้นเหนือร่างของฉงเฉวียนพลันมีเงาร่างช้างแมมมอธโบราณปรากฏเพิ่มมาอีก 5,000 ตัว! ...

ภาพเงาร่างช้างแมมมอธโบราณ 5,000 ตัวนี้ราวกับดาราพร่างพราวรายล้อมจันทราอย่างมังกรโบราณไม่มีผิด  หรือมองไปยังคล้ายเหล่าช้างแมมมอธโบราณกำลังเต้นรำบวงสรวงมังกรโบราณตัวนี้อยู่ก็ไม่ปาน...

ดาบวิญญาณระดับ 7 ในมือฉงเฉวียนย่อมมีความสามารถเพิ่มพูนพลังผู้ถือได้ 30% เพราะต้วนหลิงทียนเป็นผู้หลอมให้...

อีกทั้ง ด้วยพลังกระบี่ขั้นสูง ที่เขาบรรลุมันย่อมเสริมความแข็งแกร่งให้อีก 2,000 ช้างแมมมอธโบราณ

พลังที่เพิ่มพูนทั้ง 2 อย่าง รวมแล้วมากถึง 5,000 ช้างแมมมอธโบราณ

ฉัวะ!

บุปผาโลหิตพร่างพราวก่อเกิดเป็นดวงวงแลไปคล้ายกุหลาบซ่านสาดกระเซ็นออกมาพร่างพราวดั่งพิรุณโปรยกลางอากาศ

นับว่าเป็นบุปผาที่เบ่งบานรุ่งโรจน์ กลางหาวอย่างงดงาม...แม้จะเป็นเพียงชั่วพริบตาดั่งดอกไม้ไฟก็เถอะ..

ร่างชายชราที่คิดอุ้มชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินหลบหนี พลันหยุดค้างกลางอากาศ แววตาของมันค่อยๆมืดมิดกลับกลายเป็นไร้ประกาย เงาร่างช้างแมมมอธโบราณทั้ง 7,000 ตัวค่อยๆเลือนหาย

"อ๊อค!" คอของชายชรากระตุกเล็กน้อย น้ำพุโลหิตฉีดพุ่งพรั่งพรูออกมาเป็นสาย พร่ำโปรยปานฟ้ารั่ว

ตุบ!

สุดท้ายร่างชายชราก็ร่วงหล่นลงสู่ผืนดิน แน่นอนว่าชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินก็ต้องร่วงหล่นลงมาคลุกดินไปด้วยเช่นกัน

ยามนี้ใบหน้าชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินชโลมไปด้วยหยาดโลหิตที่พรั่งพรูออกมาของชายชรา รสสนิมกลิ่นหืนนำพาให้มันอยากอาเจียน... แต่จะอย่างไรดูเหมือนหาได้แยแสโลหิตที่ชโลมรดหน้าแต่อย่างไร เพราะยามนี้สองตาของมันพลันเบิกกว้างออกมาอย่างตื่นตระหนก เหม่อมองไปยังฉงเฉวียนอย่างเลื่อนลอย หวาดกลัวถึงขีดสุด

ต้วนหลิงเทียนมองไปยังศพของชายชราด้วยแววตาเรียบเฉย ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ

เจ้าอยู่ระดับแรกสัมผัสธรรมชาติขั้นที่ 5 แล้วจะอย่างไร?

ต่อหน้าฉงเฉวียนที่มีระดับแรกสัมผัสธรรมชาติขั้นที่ 7 เจ้าก็ไม่ต่างอะไรจากมดปลวก!

หากฉงเฉวียนคิดสังหารเจ้าก็ง่ายดายไม่ต่างดายหญ้า!

ตุบ!

หลังจากสังหารชายชราแล้วฉงเฉวียนก็เหินร่างกลับมายังอาชาเหงื่อโลหิต แล้วควบขี่ตามหลังต้วนหลิงเทียนไปอย่างสุภาพ สายตาของมันเองก็ยังสงบราวกับพึ่งกระทำเรื่องราวไม่สำคัญอะไร

ต้วนหลิงเทียนควบอาชาเหงื่อโลหิตไปยังร่างของชายหนุ่มชุดสีน้ำเงิน ก่อนที่จะมองมันด้วยสายตาเย็นชา

"ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว...แต่เจ้าละทิ้งมันเอง" สายตาของต้วนหลิงเทียนเย็นชาลงดั่งหล่มน้ำแข็ง ถึงแม้น้ำเสียงยามกล่าวจะเรียบนิ่ง แต่ในเสียงนั้นเจือไปด้วยจิตสังหารอำมหิต

ร่างของชายหนุ่มในชุดสีน้ำเงินสั่นสะท้าน มันเริ่มขยับร่างถอยหนีอย่างหวาดกลัว ทันทีที่ได้สติจากอาการตื่นตระหนก มันมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาหวาดกลัว ก่อนที่จะตะโกนออกมา “เจ้ามิอาจสังหารข้าได้!...เจ้าสังหารข้ามิได้!”

"แล้วทำไมข้าจะฆ่าเจ้าไม่ได้?" ต้วนหลิงเทียนหัวเราะออกมาหัวเราะด้วยความขบขันนัก

ฟุ่บ!

ทันใดนั้นดาบเล่มหนึ่งพลันปรากฏขึ้นจากอากาศที่ว่างเปล่าลงสู่มือของต้วนหลิงเทียน ก่อนที่จะทอประกายเย็นเยือกออกมา ราวกับว่าพร้อมสับลงปลิดปลงชีวิตผู้คนได้ทุกเวลา

"เด็กน้อยหากเจ้าสังหารข้า เจ้าต้องตกตายแน่นอน! ทั้งโคตร เจ้าต้องถูกฆ่าล้างแค้น!!!" ใบหน้าของชายหนุ่มชุดน้ำเงินซีดลงโดยพลันเมื่อเห็นดาบ 3 ฉื่อในมือต้วนหลิงเทียนมันรีบกล่าวตะโกนออกมาอย่างร้อนรน "หากเจ้าสังหารข้าท่านปู่ของข้าไม่มีวันละเว้นเจ้า ... " น่าเสียดายที่ชายหนุ่มกล่าวไม่ทันได้จบคำ

"ปัญญาอ่อน!" นั่นเพราะต้วนหลิงเทียนได้จ้วงแทงดาบออกไปทะลวงกลางอกตัดผ่าหัวใจของมัน!

“เหอะ” ต้วนหลิงเทียนเพียงสบถคำออกมาอย่างเย็นชา ก่อนที่จะเตะร่างของมันออกไปขณะที่จะชักดาบออก ..เพื่อไม่ให้โลหิตของมันพุ่งมาถูกตัว และเมื่อร่างของมันตกลงสู่พื้น มันก็แน่นิ่งไปไร้ซึ่งสัญญาณชีวิตใดๆ

ตาย!

ร่างของต้วนหลิงเทียนขยับวูบหนึ่งก็พุ่งไปยืนด้านข้างศพพวกมัน และเขาก็ก้มหยิบเอาแหวนมิติของชายชราและชายหนุ่มขึ้นมา

ฟู่วววว!!

เปลวเพลิงสีทอง อันเป็นเครื่องหมายแสดงว่ามันเป็นเปลวเพลิงหลอมโอสถระดับ 7 ถูกจุดขึ้นในมือ

ต้วนหลิงเทียนสะบัดมือเล็กน้อย เปลวเพลิงวิญญาณระดับ 7 พุ่งไปยังร่างของชายชราและชายหนุ่ม

และหลังจากที่ซัดเพลิงออกไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เก็บสินสงครามเข้าแหวนมิติก่อนที่จะหันหลังกลับไปยังอาชาเหงื่อโลหิต และไม่ได้แยแสร่างที่กำลังถูกไฟเผาแม้แต่น้อย หลังจากนั้นเขาก็เรียกหาฉงเฉวียนและลี่เฟย “พวกเราไปกันเถอะ”

แล้วทั้ง 3 คนก็มุ่งหน้าไปยังเส้นทางสู่เมืองโบราณชั่วนิรันดร์

ต้วนหลิงเทียนตั้งใจจะพาลี่เฟยไปร่ำลาพี่ใหญ่จางและพี่หญิงหวังคู่สามีภรรยาเจ้าของเหลาหยกนิรันดร์ก่อน และหลังจากที่เอ่ยคำล่ำลาใดๆเสร็จสิ้นแล้ว ก็ตั้งใจที่จะมุ่งหน้ากลับนิกายกระบี่ 7 ดาว

แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนได้คิดอ่านแผนการเดินทางขากลับเอาไว้แล้ว

ในขามานั้นเป็นเพราะเร่งรีบเดินทางจึงไม่ได้แวะชมวิวทิวทัศน์อะไร...ในระหว่างทางกลับนี้ เขาจะให้สาวน้อยอย่างลี่เฟยได้มีเวลาเที่ยวชมตามใจ ให้นางได้สำราญใจกับสิ่งสวยงามบ้างอะไรบ้าง

ฟุ่บ! ฟุ่บ!

หลังกลุ่ม3 คนของต้วนหลิงเทียนคล้อยหลังไปได้ไม่นาน ปรากฏเงาร่าง 2 คนที่อยู่บนยอดต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลจากตีนเขาเดียวดาย พรุ่งร่างด้วยความเร็วสูงไปยังซากศพทั้ง 2 ที่กำลังลุกไหม้อยู่

ฟู่มมมม ปงงง!!

พวกมันทั้งสองพลันลงมือทันที พลังงานต้นกำเนิดพวยพุ่งออกจากฝ่ามือของพวกมันอย่างรวดเร็วจนบังเกิดลมกรรโชกพัดโบกจนหนาวเย็นเสียดกระดูก ...พัดพาเปลวเพลิงหลอมโอสถที่กำลังลุกท่วมซากศพทั้ง 2 ออกไปจนหมดสิ้น

ตอนนี้ซากศพของชายชรานั้นเหลือเพียงเถ้ากระดูกแล้ว... ทว่าซากศพของชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินนั้นร่างท่อนบนยังคงไม่ได้ถูกเปลวเพลิงเผาทำลายจนหมดสิ้น  ยังพอแยกแยะได้บ้าง

เงาร่างทั้ง 2 ที่ลงมือทำเรื่องราวนี้เป็นชายวัยกลางคน 2 คน

"ยังนับว่าโชคดีนัก ที่ยังเหลือเค้าลางให้จดจำได้อยู่บ้าง" ชายวัยกลางคนพยายามพลิกซากศพดูร่องรอย และพบว่าหน้าตาของศพยังพอดูออกว่าเป็นผู้ใด รอยยิ้มเริ่มปรากฏขึ้นที่มุมปากของพวกมัน "น้องรอง นับว่าครานี้เราประสบโชคลาภครั้งใหญ่แล้ว ศพนี่สมควรเป็นหลานของไอแก่หนังเหี่ยวนั่น! เจ้ารีบติดตามกลุ่ม 3 คนนั่นไปเร็วอย่าให้คลาดสายตา!  ส่วนข้าจะรีบนำศพนี่ไปให้ไอแก่หนังเหี่ยวนั่นก่อน แล้วข้าจะไปพาไอแก่หนังเหี่ยวนั่นไปสมทบกับเจ้า...."

ชายวัยกลางคนอีกคนพยักหน้ารับคำอย่างดีใจเช่นกัน  แล้วมันก็รีบผิวปากขึ้นมาทันที ...

เสียงดังวี๊ดๆ ดังขึ้น ...

ครู่ต่อมาพลันมีร่างสัตว์ดุร้ายอย่างเสือดาวพุ่งมาด้วยความเร็วสูง

ร่างของชายวัยกลางคนไม่รอช้ากระโดปราดวูบไปขึ้นขี่เสือดาวในทันใด ก่อนที่มันจะพุ่งร่างออกไปยังทิศทางมุ่งหน้าเข้าเมืองโบราณชั่วนิรันดร์ด้วยความเร็วสูงล้ำไม่ต่างเหินบิน...ความเร็วเดรัจฉานตัวนี้ นับว่ารวดเร็วกว่าอาชาเหงื่อโลหิตมากมายนัก!!

"ไอแก่หนังเหี่ยว ยามนี้เป็นเจ้า ที่ต้องติดค้างพวกเราพี่น้องแล้ว!" ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่กล่าวออกมาพร้อมเผยรอยยิ้มที่มุมปาก

หลังจากนั้นมันก็คว้าศพของชายหนุ่ม ก่อนที่จะพุ่งขึ้นฟ้า เหาะตรงไปยังเมืองโบราณชั่วนิรันดร์ทันที

ณ เมืองโบราณชั่วนิรันดร์

กลุ่มต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 กลับมาถึงในเวลาใกล้เที่ยงพอดี

"นับว่าพอดีเลย เช่นนั้นพวกเราก็ไปกินอาหารที่เหลาหยกนิรันดร์ให้อิ่มแล้วค่อยล่ำลาทั้ง 2 "ต้วนหลิงเทียนแย้มยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะกระตุ้นม้าไปหยุดอยู่ด้านหน้าเหลาหยกนิรันดร์ แล้วเขาก็ลงจากม้าพร้อมเดินไปจูงมือลี่เฟยเข้าไปยังเหลาอาหาร

ในฐานะที่เป็นผู้ติดตาม แน่นอนว่าฉงเฉวียนย่อมต้องเป็นคนทำหน้าที่พาม้าไปเข้าคอก...

"พี่ใหญ่จาง" ต้วนหลิงเทียนและลี่เฟยเดินขึ้นไปยังชั้น 2 ก่อนที่จะมองไปยังริมหน้าต่าง แน่นอนว่ายังคงมีร่างมอซอร่างเดิมนั่งอยู่ไม่ไปไหน เขาพยักหน้าทักทายอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้มทันที

จางโฉวหย่งที่กำลังร่ำสุรา หันมาแย้มยิ้มรับการทักทายก่อนที่จะหันกลับไปดื่มสุราต่อ

ต้วนหลิงเทียนและลี่เฟยเพียงนั่งลงได้ไม่นาน หวังฉงก็เดินออกมาแล้ว นางกล่าวถามด้วยรอยยิ้มบางๆ “น้องหลิงเทียน น้องหญิงลี่เฟย พวกเจ้าทั้งคู่แลดูล้าๆจากการเดินทางอยู่ไม่น้อย... นี่ใช่พวกเจ้าไปไหนกันมาแต่เช้าหรือไม่?”

"ใช่แล้ว ...พี่หญิงหวังคาดเดาได้ถูกต้อง เป็นพวกเราไปตามหาผู้คนบนยอดเขาเดียวดาย แต่โชคร้ายนักที่พวกเราหาเขามิพบ เฮ่อ.." ลี่เฟยพยักหน้า ก่อนที่จะกล่าวออกมาว่า  "พี่หญิงหวังฉง ข้ากับตัวเลวร้ายมากินอาหารเที่ยงที่นี่ แล้วก็กะว่าจะลาท่านกับพี่ใหญ่จางไปด้วยทีเดียวเลย  พวกเราจักเดินทางกลับแล้ว ... "

"อะไร? ใยเร่งร้อนปานนั้นเล่า?" หวังฉงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แล้วนางก็กล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม  "ข้าคิดว่าเจ้าทั้ง 2 จะอยู่เที่ยวเล่นชมดูสิ่งของแปลกตาที่เมืองนี้อีกสักระยะ มิคิดเลยว่าจะกลับกันรวดเร็วเช่นนี้... เฮ่อ พวกเจ้าคิดไปรวดเร็วถึงเพียงนี้ ข้าก็มิทันได้ตระเตรียมของฝากอันใดน่ะสิ!  เช่นนี้แล้วกัน ข้าจักทำอาหารพิเศษให้พวกเจ้าได้กินมือใหญ่เป็นการเลี้ยงอำลา ดีหรือไม่!"

ไม่ทันที่ต้วนหลิงเทียนและลี่เฟยจะได้ตอบสนองอะไร  ร่างชายหนุ่มมอซอที่ร่ำสุราเฝ้ามองเรื่องราวจากหน้าต่างพลันกระพริบวูบปราดเดียวมานั่งข้างๆต้วนหลิงเทียน ซ้ำยังแย้มยิ้มอย่างยินดีอีกด้วย...

"ฮ่าๆๆ น้องหลิงเทียน วันนี้ข้านับว่าติดหนี้พวกเจ้าทั้ง 2 คนแล้ว" จางโฉวหย่งมองไปยังต้วนหลิงเทียนและลี่เฟยก่อนที่จะยิ้มออกมาบางๆ ราวกับต้องการลิ้มรสอาหารพิเศษของหวังฉงด้วยเช่นกัน

"ฮึ! อะไร ท่านกล่าวราวกับปกติข้าปล่อยให้ท่านหิว เช่นนั้นล่ะ!" หวังฉงถลึงตามองจางโฉวหย่งอย่างงอนๆ ก่อนที่จะเดินตัวปลิวมุ่งหน้าเข้าครัว

ลี่เฟยมองไปยังจางโฉวหย่งด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่จะกล่าวถามออกมาด้วยความสงสัย "พี่ใหญ่จาง...หรือปกติพี่หญิงหวังฉงมิได้ทำอาหารให้ท่านทานกัน?"

"ก็ไม่เชิงเป็นเช่นนั้นหรอก" จางโฉวหย่งส่ายหน้าไปมาเบาๆ  ก่อนที่ใบหน้าจะเผยรอยยิ้มเต็มไปด้วยความรก “ปกติแล้วข้ามักจะเห็นนางเข้าครัวทำอาหารเหน็ดเหนื่อยทั้งวัน แทบไม่ได้พักอะไร ข้ากลัวว่านางจะเหน็ดเหนื่อยเกินไป เลยไม่อยากให้นางต้องมาเหนื่อยทำอาหารอะไรให้ข้าอีก ... อย่างไรก็ตามข้ารับรองได้ว่าอาหารของพี่หญิงหวังฉงเจ้าอร่อยเลิศล้ำนัก  อร่อยเสียจนเจ้าแทบจะกลืนลิ้นของตัวเองไปด้วยเลย ฮ่าๆ” จางโฉวหย่งกล่าวออกมาพร้อมหัวเราะเบาๆ

"เช่นนั้นดูเหมือนว่าพวกเราจะได้ลิ้มลองมื้ออาหารที่แสนอร่อยแล้ว" ดวงตาของลี่เฟยเรืองวูบขึ้นมา แววตาเผยประกายเต็มไปด้วยความหวัง

"นายน้อย" ในตอนนี้เองฉงเฉวียนที่อาชาเหงื่อโลหิตทั้ง 3 ตัวไปเข้าคอกเสร็จสิ้น ก็กลับมายังเหลาหยกนิรันดร์ พร้อมเดินขึ้นมาหาต้วนหลิงเทียน

"นั่งลงและกินด้วยกันสิ" ต้วนหลิงเทียนกล่าวบอกฉงเฉวียน

"ขอบคุณนายน้อย" ฉงเฉวียนเองก็นั่งลงทันที

"น้องหลิงเทียน นับว่าเจ้าเอาใจใส่ผู้ติดตามนัก" จางโฉวหย่งเหลือบมองฉงเฉวียนเล็กน้อย ก่อนที่จะยิ้มบางๆออกมา หลังจากนั้นเองเขาก็เงยหน้าขึ้นมาราวกับสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่กำลังจับจ้องมาทางนี้ ก่อนที่จะมองออกไปนอกเหล่าหยกนิรันดร์พร้อมขมวดคิ้ว "น้องหลิงเทียน เจ้ายังพาผู้อื่นมาด้วยหรือไม่?"

คำถามของจางโฉวหย่งทำให้ต้วนหลิงเทียนงุนงงไม่น้อย "ไม่แล้ว มีอะไรหรือ?"

"ก็ไม่มีอะไรหรอก". จางโฉวหย่งพลันส่ายศีรษะออกมา เมื่อพบว่าแววตาที่จับจ้องมองมาทางนี้เมื่อครู่ได้หายไปแล้ว "บางทีข้าคงเข้าใจอะไรผิดไปเอง"

ไม่นานหลังจากนั้น อาหารที่หวังฉงตั้งใจทำสุดฝีมือก็ถูกยกมา

ไม่ทันได้กินอะไร แค่เพียงได้กลิ่นหอมจากอาหารที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ ก็ทำให้นิ้วของต้วนหลิงเทียนอยู่ไม่สุขเริ่มเคาะตะเกียบเล่นแล้ว ...

"พี่หญิงหวังฉงท่านก็มานั่งกินด้วยกันสิ" หลังจากทีสำรับอาหารถูกยกมาจัดเต็มโต๊ะ ลี่เฟยก็กล่าวเชิญชวนออกมา

"ได้ แต่พวกเจ้ากินกันไปก่อนเถอะ ...ยังเหลือซุปอีกถ้วย ข้าจะเข้าไปยกมันมาให้" หวังฉงยิ้มบางๆ ก่อนที่จะเดินกลับเข้าครัวไปอีกครั้ง

รีวิวผู้อ่าน