“รายงานครับ! ไวส์เคานท์เฮลเมอร์กำลังขยายอิทธิพลของเขาครับ!”
“ส่งคนไปเกลี้ยกล่อมพวกเขา! อย่ายอมให้อิทธิพลอื่นมาทำให้เราไขว้เขวได้!”
“รายงานครับ! กัปตันเรอเมอร์ของกองรักษาการณ์หลวงถูกองค์หญิงซานดร้าแย่งตัวไปแล้วครับ!”
“อะไรนะ!? หนอย! พวกเราจะปล่อยให้มีคนหนีไปอีกไม่ได้! ใช้กำลังคนทั้งหมดที่พวกเราสามารถเคลื่อนไหวได้, พวกเราต้องปกป้องผู้สนับสนุนของเรา! ข้าเองก็จะเคลื่อนไหวด้วย!”
ตอนกลางคืน, ในเมืองหลวงของจักรวรรดิ, การต่อสู้กำลังเกิดขึ้นอยู่
ตั้งแต่ที่ฉันขโมยแผนของซานดร้า, ซานดร้าก็เริ่มขโมยผู้สนับสนุนของลีโอเป็นการแก้เผ็ด
ตอนนี้, ลีโอกำลังยุ่งอยู่กับการจัดการมันอย่างเต็มที่
“คงจะหนักมากเลยสินะ”
“ช่วยพวกเราหน่อยสิครับท่านพี่! คนที่เริ่มสงครามนี้มันก็คือท่านพี่ไม่ใช่หรอ!?”
“ไม่ ไม่ใช่ซักหน่อย, ก็จริงอยู่ที่ข้าเป็นคนแนะนำให้ช่วยเอิร์ลที่น่าสงสารแต่เป็นเจ้าเองไม่ใช่หรอที่ตกลงจะให้ความช่วยเหลือ? ข้าก็รู้สึกผิดอยู่หรอกที่ผลลัพธ์มันทำให้เกิดการต่อสู้แบบนี้, แต่สุดท้ายอีกฝ่ายก็คงจะมาเล่นงานเราอยู่ดี มันก็ประจวบเหมาะพอดีเลยไม่ใช่หรอ”
“ถึงงั้นก็ช่วยหน่อยเถอะครับ......”
“ตีกันมันไม่ใช่งานถนัดของข้า ถึงยังไงก็ไม่มีอะไรที่ข้าทำได้อยู่แล้ว”
“ถ้าไม่มีอะไรที่ท่านพี่ทำได้, ข้าเองก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกันแหล่ะ”
“นี่, นี่, ถ่อมตัวมากเกินไปก็ไม่ดีนะ, ถ้าเจ้าเป็นคนออกหน้าด้วยตัวเอง, ผู้สนับสนุนของเจ้าก็คงจะลังเลไม่กล้าออกจากขุมอำนาจของเจ้าหรอก และสุดท้ายแล้ว, ที่เหลืออยู่ก็จะมีแค่คนที่คิดสนับสนุนเจ้าอย่างแท้จริง, เถอะหน่า, พยายามเข้า”
“พูดเหมือนเป็นคนนอกเลยนะครับ จริงๆเลย, ข้ามั่นใจได้ใช่ไหมว่าท่านพี่จะช่วยข้าเรื่องงานทูต?”
พอพูดจบลีโอก็สวมเสื้อคลุมแล้วออกจากห้องไป
เมื่อเห็นแบบนี้, ฉันก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
ซานดร้าโจมตีพวกเราแต่คนที่เป็นศูนย์กลางอำนาจของเรายังไม่เคลื่อนไหว คนที่ถูกดึงตัวไปนั้นมีแค่พวกที่เพิ่งจะมาสนับสนุนพวกเราเท่านั้น การเสียคนพวกนี้ไปไม่ได้ส่งผลกระทบรุนแรงกับอิทธิพลของฝั่งเราเลย
ปัญหาก็คือว่าจะรักษาคนที่เป็นตัวหลักในขุมอำนาจของพวกเรายังไงดี เอาเถอะ, นี่มันเป็นงานของลีโอ
สิ่งที่ฉันต้องคิดในตอนนี้ก็คือว่าศัตรูกำลังวางแผนอะไรอยู่หลังฉาก
“เซบาส”
“มีอะไรหรอครับ”
“ถ้าเจ้าเป็นซานดร้าเจ้าจะทำอะไร? แล้วเจ้าจะเล็งใคร?”
“ถ้าเป็นข้า, ข้าจะไม่โจมตีเลยครับ เพราะถึงยังไงมันก็เห็นได้ชัดอยู่แล้วว่า, ข้าสามารถใช้อุบายอื่นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์เดียวกันได้ ยิ่งไปกว่านั้น, ถ้าหากข้าคิดวางแผนจะทำอะไรบางอย่างจริงๆข้าก็คงจะรอให้เวลาผ่านไปซักพักก่อน ถึงยังไงข้าก็เชื่อว่าเรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือการรักษาผู้สนับสนุนของตัวเอง”
“ข้ารู้แต่คนที่พวกเรากำลังมีเรื่องอยู่ด้วยคือซานดร้าที่ตอนนี้กำลังเลือดขึ้นหน้านะ ถ้าเป็นแบบนี้เจ้าคิดว่าเธอจะวางแผนอะไรหล่ะ?”
หลังจากไตร่ตรองคำถามของเขาอยู่พักนึง, เซบาสก็มองไปที่ถุงขนมบนโต๊ะแล้วพึมพำออกมา
รู้สึกตัวแล้วหรอ ก็คงจะใช่หล่ะนะ ไม่ว่าใครก็คงจะรู้สึกตัวถ้าได้ใช้ความคิดซักเล็กน้อย
“คงเป็นท่านฟีเน่สินะครับ ถ้าเป็นข้าก็คงจะเล็งท่านฟีเน่”
“ตามนั้น มีแค่การที่ฟีเน่ออกจากขุมอำนาจของพวกเราเท่านั้นพวกเราถึงจะจบสิ้นกันจริงๆ ดังนั้นถ้าอีกฝ่ายตั้งใจจะเล่นงานใครสักคนหล่ะก็คนๆนั้นคงจะไม่พ้นฟีเน่
“ครับ แต่ว่า, ถ้าอีกฝ่ายไปโจมตีฟีเน่ง่ายๆพวกเขาก็จะมีปัญหาเอาไม่ใช่หรอ”
“ก็นะ, ท่านพ่อคงจะไม่ปล่อยผ่านไปเฉยๆแน่ แต่, สมมุติว่า, ฟีเน่ถูกโจรบางคนโจมตีในตอนที่เธอพยายามจะปกป้องผู้สนับสนุนของเราหล่ะ? ถ้าเป็นแบบนั้นความโกรธของท่านพ่อก็จะตรงมาที่เราแทนถูกไหม?”
“ถ้างั้นพวกเราจะทิ้งท่านฟีเน่เอาไว้ในปราสาทหรอครับ? ถึงข้าไม่เห็นว่าจะทำแบบนั้นก็เถอะ”
“ไม่, ข้าได้ส่งเธอไปยังที่ปลอดภัยแล้ว จะบอกว่าที่นี่ปลอดภัยแน่นอนก็ไม่ได้เหมือนกัน, ข้าคงจะมีปัญหาแน่ถ้าอีกฝ่ายใช้คนจากปราสาทแอบพาตัวเธอออกไปข้างนอก”
ความปลอดภัยที่ปราสาทดาบหลวงนั้นครอบคลุมดีแล้ว แต่มันใช้ได้แค่กับภัยคุกคามจากภายนอกเท่านั้น มันไม่สามารถนำหลักการเดียวกันมาใช้กับคนในได้ อันที่จริง, ความปลอดภัยของชั้นบนที่ซึ่งจักรพรรดิอาศัยอยู่นั้นอยู่ในระดับที่สมบูรณ์แบบแต่แค่เพราะมีอันตรายก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะส่งฟีเน่ไปหาเขา
“ที่ปลอดภัยสินะครับ? เท่าที่ข้ารู้, ข้าคิดว่าสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดก็คือข้างตัวท่านไม่ใช่หรอครับ?”
“ไม่ได้หรอก, ในเมื่ออีกฝ่ายรู้ว่าข้าคือคนที่ดึงตัวเอิร์ลเบลส์มาเข้าร่วมกันฝั่งเรา, คนที่ซานดร้าอยากฆ่าทิ้งมากที่สุดในตอนนี้ก็คงจะเป็นข้านั่นแหล่ะ ข้าไม่สามารถให้เธอมาอยู่ใกล้ตัวทั้งๆที่รู้เรื่องนั้นได้หรอก”
“เข้าใจแล้วครับ, แบบนี้ก็แสดงว่าการดึงตัวเอิร์ลเบลส์มาอยู่ฝั่งเรามันเป็นเรื่องที่ผิดพลาดแต่แรกแล้วไม่ใช่หรอครับ? ถึงยังไงมันก็มีความเป็นไปได้ที่องค์หญิงซานดร้าจะสังเกตเห็นว่าท่านซ่อนเขี้ยวเล็บเอาไว้นะครับ ข้าเองก็ไม่คิดว่าการดึงตัวเอิร์ลมาจะคุ้มกับความเสี่ยงนี้เหมือนกัน”
“ถึงยังไงก็ไม่สามารถปกปิดความจริงเรื่องนั้นไปได้ตลอดอยู่แล้ว, บางทีท่านพ่อเองก็น่าจะเริ่มรู้สึกตะหงิดๆตั้งแต่ตอนที่ข้าส่งเอลน่าไปหาเขาแล้วด้วย ยิ่งไปกว่านั้น, อีกฝ่ายจะรู้ว่าเจ้าเคยเป็นนักฆ่าที่มีชื่อเสียงมาก่อนด้วยการสืบค้นเพียงเล็กน้อย ตอนนี้, ข้าจะปล่อยให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดว่าเรื่องทุกอย่างมันเป็นแผนการของเจ้าไปก่อนซักพักนึง”
“ถ้าท่านดูถูกพวกพี่ๆของท่านมากเกินไปท่านจะซวยเอาได้นะครับ ท่านก็น่าจะรู้ดีไม่ใช่หรอว่าการมองโลกในแง่ดีเป็นสิ่งต้องห้าม? ถึงยังไงพวกพี่ทั้งสามคนของท่านก็มีเลือดของท่านพ่อที่ท่านนับถือไหลเวียนอยู่ในสายเลือดของพวกเขาเหมือนกันนะครับ”
“ข้ารู้ ไม่ต้องห่วงหรอก, ข้าไม่ได้ดูถูกพวกนั้นซักหน่อย แต่ว่า, ข้าก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะมีใครรู้ถึงความสามารถของพวกนั้นดีกว่าข้า”
มันเป็นเพราะฉันระวังอย่างถึงที่สุดฉันถึงเลือกที่จะให้เธออยู่ห่างจากฉัน
การโจมตีของซานดร้าในครั้งนี้พุ่งเป้าไปที่ฟีเน่อย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าเธอไม่สามารถแย่งตัวฟีเน่ไปจากฉันได้เธอก็จะแย่งผู้สนับสนุนของเราไปเรื่อยๆ เอาเถอะ, มันคงจะเกิดความเสียหายกับขุมอำนาจของเราไม่มากก็น้อยแต่มันก็ยังดีกว่าการเสียฟีเน่ไปอย่างแน่นอน
“ดูเหมือนว่าท่านจะไม่ได้ดูถูกพวกเขาจริงๆสินะครับ ท่านดูจริงจังมากกว่าปกติ หรือว่ามันเป็นเพราะมีท่านฟีเน่มาเกี่ยวข้องด้วย?”
“ก็นะ มันก็ใช่อยู่หรอก ฟีเน่เป็นลูกสาวของดยุคไคลเนลต์ ถ้าเธอถูกแย่งตัวไปได้ในครั้งนี้ก็ไม่ต่างกับการที่เราถอนตัวจากการแข่งนั่นแหล่ะ”
“เป็นแบบนั้นแน่หรอครับ? ท่านรู้เป้าหมายของอีกฝ่ายแล้ว, ถ้าเป็นท่านอาร์โนลด์ตามปกติก็คงจะตอบโต้ในทันที แต่ครั้งนี้ไม่เพียงแค่ท่านจะไม่เตรียมการตอบโต้แบบนั้น, แต่ท่านยังวางแผนป้องกันที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ด้วย ที่ทำแบบนี้มันก็เพราะท่านไม่อยากเห็นท่านฟีเน่ตกอยู่ในอันตรายไม่ใช่หรอครับ?”
“นี่เจ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่?”
“เปล่านี่ครับ, ข้าแค่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดี ท่านมิทสึบะเองก็คงจะมีความสุขเหมือนกัน”
เมื่อฉันคิดจะพยายามจะอธิบายเซบาส, ฉันก็ปิดปากในทันทีในตอนที่เห็นใบหน้าที่บ่งบอกว่าเข้าใจทุกอย่างของเขา
มันเห็นได้ชัดว่าไม่ว่าฉันจะพูดอะไรกลับไปพ่อบ้านคนนี้ก็จะยังเถียงกลับมาได้อย่างสมบูรณ์แบบอยู่ดี
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ฉันเริ่มเตรียมตัวออกไปข้างนอกโดยไม่พูดอะไรอีก
“ท่านจะออกไปข้างนอกหรอครับ?”
“ใช่, มีพ่อบ้านบางคนบอกข้าว่าอย่าดูถูกศัตรูข้าก็เลยจะออกไปตรวจสอบความปลอดภัยซักหน่อย”
“วิเศษไปเลยครับ แล้วก็ถ้าท่านบอกเธอว่ากำลังเป็นห่วงเธอในตอนที่ไปหา, มันก็จะยอดเยี่ยมยิ่งกว่านี้อีกนะครับ”
“ใครจะไปพูดกัน”
“แบบนั้นคงน่าเสียดายแย่เลยนะครับ ว่าแต่, ท่านซ่อนท่านฟีเน่เอาไว้ที่ไหนหรอครับ?”
“สถานที่ที่เจ้าเองก็รู้จักดี มันเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในเมืองหลวงของจักรวรรดิและยังเป็นที่ที่คนที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวรรดิอาศัยอยู่ด้วย”
“ที่นั่นนี่เอง คฤหาสน์แอมส์เบิร์กสินะครับ แน่นอนว่า, คงไม่มีใครกล้าแตะต้องสถานที่แห่งนั้นอยู่แล้ว”
ด้วยประการฉะนี้เอง
ฉันกับเซบาสที่เข้าใจเหตุการณ์แล้วก็มุ่งหน้าไปที่คฤหาสน์แอมส์เบิร์ก
.................
ที่พักของแอมส์เบิร์กอยู่ใกล้กับปราสาท
ในตอนที่ฉันไปถึงคฤหาสน์ฉันก็ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในทันที ในบรรดาเจ้าชายทั้งหลาย, คนที่พวกเขาอนุญาตให้เข้าไปได้ง่ายขนาดนี้น่าจะมีแค่ฉัน
เอลน่า, ฉันแล้วก็ลีโอเป็นเพื่อนสมัยเด็กกันแต่ตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเด็ก, คนที่เกี่ยวข้องกับพวกเขามากที่สุดก็คือฉัน
ฉันไม่รู้ว่ากี่ครั้งแล้วที่เอลน่าทำฉันร้องให้ในขณะที่ลากฉันเข้าไปในคฤหาสน์หลังนี้
หลังจากเป็นแบบนั้นอยู่สักพัก, อัศวินที่หน้าประตูก็เริ่มพูดยินดีต้อนรับกลับครับในทุกๆครั้งที่เห็นฉัน ในตอนนั้น, ความเคยชินของพวกเขาทำให้รู้สึกสยองเลยหล่ะ
แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ฉันมาเยี่ยมในช่วงไม่กี่ปีมานี้, แต่คนเฝ้าประตูก็ยังคงพูดกับฉันว่ายินดีต้อนรับกลับครับ ถึงยังไงสำหรับคนในบ้านนี้, ฉันก็เป็นเพื่อนของเจ้าหญิงที่แสนน่ารักของพวกเขาหล่ะนะ
“พอมาคิดดูดีๆ, การบอกเด็กที่กำลังร้องให้อยู่ว่ายินดีต้อนรับกลับมันก็ยังไงอยู่นะ.....”
“จากมุมมองของผู้ใหญ่, คงเห็นว่าเด็กๆดูสนิทกันดีหล่ะมั้งครับ”
“แล้วเจ้าคิดว่าไง?”
“ก็เข้าใจอยู่หรอกครับว่าท่านอาร์โนลด์ไม่ชอบ, แต่ข้าก็คิดแบบนั้นหล่ะครับ”
“.......”
คำว่า ‘เลิกพูดแบบนั้นเถอะ’ กำลังจะหลุดออกจากปากของฉันแต่ฉันก็กลืนมันกลับไป ถึงฉันจะพูดในสิ่งที่เหมาะสมออกไปก็คงจะถูกปล่อยผ่านอยู่ดี แถมมันก็เป็นเรื่องตั้งแต่อดีตแล้วด้วย, และก็ต้องขอบคุณอดีตนั้น, ฉันถึงสามารถฝากฝังฟีเน่เอาไว้กับพวกเขาได้อย่างง่ายดาย
ด้วยความคิดนี้ในหัว, ฉันก็มาถึงทางเข้า มีผู้หญิงคนนึงที่มีผมสีเดียวกับเอลน่ายืนอยู่ตรงนั้น ดวงตาของเธอมีสีฟ้า เธอยังดูสาวและมีหน้าตาที่งดงาม ถ้าไม่มีใครพูดอะไร, ก็คงจะคิดว่าเธอเป็นพี่สาวของเอลน่า......
“ไม่เจอกันนานเลยนะ, อัล”
“ขอโทษที่ไม่ได้แวะมาเลยนะครับคุณอันนา”
“เซบาสก็ยังเหมือนเดิมสินะ?”
“ครับ คุณนายแอมส์เบิร์ก”
คนๆนี้คือแอนนา ฟ็อน แอมส์เบิร์ก เธอเป็นภรรยาของหัวหน้าตระกูลแอมส์เบิร์กแล้วก็เป็นแม่ของเอลน่า
แม่ของฉันเองก็แทบจะเหมือนกันแต่ความสาวของคนๆนี้มันน่าอัศจรรย์จริงๆ มันดูเหมือนกับว่ากระแสเวลาไม่มีผลกับเธอเลย และต้องขอบคุณเรื่องนี้ฉันถึงลังเลที่จะเรียกเธอว่าคุณป้าและจบด้วยการเรียกคุณแล้วต่อด้วยชื่อของเธอแทน
คุณแอนนาเชิญฉันเข้าไปในคฤหาสน์ด้วยรอยยิ้มปนเสียงหัวเราะ
“น่าเสียดายที่ตอนนี้สามีของข้าไม่อยู่ อ้ะ, เจ้าเป็นเจ้าชายเต็มตัวแล้วนี่นะ พูดแบบนี้มันอาจเป็นการแสดงความไม่เคารพรึเปล่า?”
“ไม่หรอกครับ, ช่วยพูดแบบนี้ต่อไปเถอะครับ ข้าคงจะรู้สึกอึดอัดแน่ถ้าคุณแอนนาเริ่มใช้คำสุภาพกับข้า”
“อุ๊ยตาย, ถ้างั้นข้าจะพูดแบบเดิมก็ได้ ตอนนี้เอลน่ากับฟีเน่อยู่ในห้องน้ำ ถ้าสนใจอยากจะเข้าไปด้วยก็ได้นะ ว่าไงจ้ะ?”
“ข้ายังไม่อยากตายเพราะฉะนั้นขอนุญาตปฏิเสธนะครับ”
“ที่พูดมาดูอันตรายจังเลยนะ เมื่อก่อนก็เคยอาบน้ำด้วยกันไม่ใช่หรอ?”
“นั่นมันตอนที่ข้ายังเด็กนี่ครับแล้วคุณก็น่าจะยังจำได้นะว่าข้าเกือบจะถูกเอลน่าทำให้จมน้ำตายในห้องน้ำแล้ว?”
“เคยเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นด้วยนี่นะ ถ้างั้นเจ้ายังจำตอนที่พวกเจ้าร้องไห้ด้วยกันได้รึเปล่า? เจ้าร้องให้ในตอนที่เอลน่าฝึกเจ้าให้เอาชนะเด็กขี้รังแกและมันก็จบลงที่เอลน่าร้องไห้ตามเพราะเจ้าไม่เคยพัฒนาขึ้นเลยไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ตาม”
“ที่มาถามเอาตอนนี้ดูไม่มีเหตุผลเลยนะครับ”
ว่าแล้วเชียว, ยัยนั่นมันศัตรูตามธรรมชาติของฉันชัดๆ
มันเป็นเรื่องแปลกที่ฉันไม่ได้เก็บมาเป็นปมร้ายแรงจากตอนนั้น
ถ้าฉันมีจิตใจอ่อนแอฉันอาจจะฆ่าตัวตายไปแล้วก็ได้
แล้วก็รอยยิ้มกับเสียงหัวเราะในตอนที่พูดของยัยนั่นมันเข้าขั้นเลวร้ายเลยหล่ะ
“ถ้างั้นตอนนี้, ข้าให้เจ้าไปรอที่ห้องรับแขกข้างในสุดจะดีไหม?”
“เข้าใจแล้วครับ”
“เซบาส, เจ้ามาช่วยข้าเสิร์ฟชาหน่อยได้รึเปล่า?”
“แน่นอนครับ”
ความจริงที่ว่าฉันมาที่นี่บ่อยๆก็หมายความว่าเซบาสเองก็ตามมาด้วย
เขาเชื่อฟังคุณแอนนาเหมือนกับว่าเขาเป็นพ่อบ้านของเธอ
ฉันมุ่งหน้าไปยังห้องรับแขกที่อยู่ลึกสุดตามที่ถูกบอกมาแล้วบิดลูกบิดประตูโดยไม่คิดอะไร
อย่างไรก็ตาม, ในตอนที่ฉันเปิดประตูไปได้เล็กน้อย, ฉันก็รู้สึกได้ว่ามีคนอยู่ข้างใน นอกจากนี้, ฉันยังได้ยินเสียงผู้หญิงด้วย
ฉันคิดว่าคนใช้กำลังจัดเตียงให้อยู่ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจที่จะเปิดประตูเข้าไปเลย
ซึ่งมันก็ได้พิสูจน์ว่าตัดสินพลาดซะแล้ว
“......”
“ท่านเอลน่าสวมชุดเดรสเข้ามากเลย, ต่อไปเรามาลองชุดเดรสสีขาวกันดีไหมคะ”
“ฟิ, ฟีเน่.....เจ้าช่วยหยุดเปลี่ยนชุดข้าเหมือนเล่นแต่งตัวตุ๊กตาทีเถอะ.....”
ข้างในห้องมีผู้หญิงสองคนที่สวมแค่ชุดชั้นใน ฟีเน่กำลังสวมชุดชั้นในสีขาวในขณะที่ของเอลน่าเป็นสีชมพู, และที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือ, ของเอลน่านั้นมีลูกไม้เล็กๆน่ารักประดับอยู่ด้วย
ผิวของเธอเป็นสีขาวที่ตามปกตินั้นเธอคงจะไม่ได้เผยให้ใครเห็น บางที, พวกเธออาจจะคิดว่ามีแค่ผู้หญิงอยู่ที่นี่ดังนั้นทั้งคู่ก็เลยรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องปกปิดร่างกายของเธอ เนื่องจากฟีเน่มักจะสวมเสื้อผ้าหลวมๆมันจึงไม่ได้เน้นความเด่นที่หน้าอกของเธอเท่าไหร่นักแต่ดูเหมือนว่าเธอจะมีเสน่ห์มากกว่าที่ฉันคิดซะอีก ส่วนทางด้านของเอลน่านั้นเธอไม่ได้โตขึ้นเลยตั้งแต่ตอนที่ฉันตรวจสอบไปครั้งก่อนแต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ชอบแบบกระทัดรัด
ในตอนที่ฉันกำลังคิดเรื่องแบบนั้น, ทั้งสองคนก็สังเกตเห็นฉัน
พวกเธออึ้งไปพักนึงแล้วใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำในทันที
จากนั้นเอลน่าก็คว้าหมอนที่อยู่ใกล้ตัวแล้วตั้งท่าพร้อมเขวี้ยง
ตอนนี้ขัดขืนไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว, ฉันคงทำได้แค่ยอมรับชะตากรรม
ฉันลืมไปเลย คนที่เป็นตัวปัญหามากที่สุดในที่นี้ก็คือคุณแอนนา นี่เธอชี้นำให้ฉันมาดูลูกสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานของตัวเองได้ยังไงกัน เธอเป็นวายร้ายที่มีความสุขกับการได้เห็นปฏิกิริยาของคนที่รับเคราะห์จากอาชญากรรมของเธอ
“อัล!? นี่เจ้า!”
“ท่านอัล!?”
พอตระหนักได้ว่าฉันติดกับเข้าแล้ว, ฉันก็จบลงที่การถูกหมอนที่พุ่งมาด้วยความเร็วเหนือมนุษย์ปาอัดเข้าที่หน้า
......