ด้วยคำพูดของเด็กหนุ่มในชุดผ้าไหมนั้น ทำให้ในศาลาพลันเงียบลงทันที หนุ่มสาวทั้งหลายนั้นต่างจ้องไปที่เขาโดยไม่เปิดปากกล่าวสิ่งใดออกมา เพราะเด็กคนนั้นไม่ใช่เด็กหนุ่มทั่วๆไป
นามของเขาคือ สู่หลิน พ่อของเขานั้นเป็นถึงผู้ปกครองเมือง เจิ้นซี ในราชวงศ์โจว ด้วยสถานะของเขาแม้จะด้อยกว่า โจวหยวน ที่เป็นรัชทายาท แต่ผู้คนก็รู้ดีว่าสู่หลินนั้นมีผู้สนับสนุนอยู่ ซึ่งคนคนนั้นก็คือ องค์ชายน้อยของวังราชันย์ฉี ฉี เยว่
โจวหยวน ทอดสายตามองไปที่ สู่หลิน แว่บหนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองบนโต๊ะของเขาเล็กน้อยและไม่นานก็หันกลับมามองเจ้าคนที่แต่งตัวประหลาดนี้อีกครั้ง พลางคิดว่า เจ้าเด็กคนนี้เลียแข้งเลียขา ฉี เยว่ โดยไม่หยุดหย่อนจริงๆ
“สู่หลินนั้นเลียแข้งเลียขาของฉี เยว่ ราวกับเป็นพ่อของเขาแน่นอนว่าเพราะเขาอยากจะเข้าร่วมกับค่ายราชันย์ปราณเป็นแน่”
ดวงตาของโจวหยวนพลันแปรเปลี่ยนเป็นนุมลึก เพราะเขาเคยได้ยินจากบิดาของเขากล่าวว่า ราชันย์ปราณนั้น เคยถูกสนับสนุนโดย ราชวงศ์ต้าอู่ ดังนั้นหลายปีมานี้เขาจึงได้สร้างปัญหาให้กับราชวงศ์โจวอย่างลับๆ มิให้ราชวงศ์โจวอยู่อย่างสงบสุข
เพราะ ราชวงศ์ต้าอู่นั้น น่าหวั่นเกรงมาก หากเกิดอะไรขึ้นเกรงว่าจะไม่มีข้ออ้างไปตอบพวกมัน โจว ฉิง จึงยังไม่เริ่มที่จะต่องสู้กับราชันย์ปราณ แต่ในความจริงแล้วการต่อสู้นั้นก็ได้ดำเนินมาอย่างลับๆ
เพราะความสัมพันธ์นี้ แน่นอนว่าเป็นธรรมดาที่ โจวหยวนนั้นจะต้องพบเจอกับปัญหาเมื่อต้องเจอกับคนของฉี เยว่ใน สำนักวังต้าโจว
สู่หลิน มองไปที่โจวหยวนแต่ไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมา มุมปากของเขานั้นยกขึ้นราวกับต้องการจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่ด้วยสายตาอันคมกริบของอาจารย์ผู้สอนนั้น ทำให้เขาเลือกที่จะปิดปากไป
ในสำนักวังต้าโจว หากถูกไล่ออกนั้นมันจะทำให้เขาเสียหน้าอย่างมาก
และเมื่อความสงบนั้นกลับคืนมา บรรยากาศในห้องเรียนก็เริ่มที่จะฟื้นฟูขึ้นอย่างช้าๆและอาจารย์ผู้สอนนั้นก็ได้อธิบายถึงรูปแบบก่อเกิดต่อไป หลังจากเวลาผ่านไป 2 ก้านธูป เสียงระฆังก็ได้ดังขึ้น
“วันนี้ข้าจะพอแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน ในวันพรุ่งนี้ข้าจะมาสอนต่อ” อาจารย์ผู้สอนเก็บของแล้วเดินออกไปทัน
เมื่ออาจารย์ผู้สอนจากไป บรรยากาศตึงเครียดในห้องเรียนก็พลันลดลง ต่อจากนั้นเหล่าคนหนุ่มสาวก็ได้จับกลุ่มกันพูดคุยกัน สางเสียงดังสนั่น
โจวหยวนนั้นทำได้เพียงมองไปยังโต๊ะของเขา และเตรียมตัวเก็บของและจากไปเท่านั้น
“องค์ชาย”
ในระหว่างที่เขาเตรียมตัวนั้น ก็มีเสียงอันสุภาพดังขึ้น โจวหยวนหันหลังกลับไปมองก็พบว่าข้างโต๊ะของเขานั้นได้มีเด็กสาวมองมายังเขาด้วยรอยยิ้ม
เด็กสาวผู้นี้สวมเครื่องแบบศิษย์พระราชสำนักต้าโจว แม้ว่ามันจะค่อนข้างหลวมแต่ก็ยังเผยส่วนโค้งที่เจริญเติบโตออกมาให้เห็น กางเกงนั้นเป็นกางเกงธรรมดาทั่วไปและแสดงให้เห็นถึงเรียวขาที่เรียวยาว
ผิวขาวนวล จมูกโด่ง คิ้วงามงอน แสดงให้เห็นถึงเสน่ห์อันน่าหลงใหลของสาวที่เยาว์วัย โดยเฉพาะใต้ตาข้างหนึ่งของนางนั้นมีไฝรูปหยดน้ำอยู่ นั้นยิ่งทำให้นางนั้นดูมีเสน่ห์ยิ่งขึ้นไปอีก
ปากเล็กๆของนางนั้นมีสีแดงราวกลับกุหลาบ แม้ว่าร่างของนางนั้นจะไม่ได้สวมเครื่องประดับราคาแพง และแต่งตัวเรียบง่าย แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง นางนั้นมัดผมไว้จัดเข้าทรงหางม้าซึ่งในตอนนั้นมันปลิวสไวราวกับร่ายรำ
ด้วยความงามของนางนั้นทำให้เหล่าคนหนุ่มมากมายต่างแอบมองนาง
โจวหยวน นั้น หันไปมองเด็กสาวผู้นั้นใบหน้าอันทรงปัญญาของเขาพลันปรากฏรอยยิ้มขึ้นพร้อมกล่าวว่า “เป็น โหยวเว่ยนี่เอง”
เด็กสาวผู้นี้แซ่ ซู นามโหยวเว่ย
เมื่อเห็นแววตาของโจวหยวน ซูโหยวเหว่ย ก็พลันหน้าแดงระเรื่อ มองไปยังโต๊ะของเขาแล้วคุกเข่าลงพร้อมกล่าวว่า “ฝ่าบาท ให้ข้าช่วยท่านเถิด”
โจวหยวน ยิ้มและไม่ได้ปฎิเสธแต่อย่างไร เพราะระหว่างพวกเขานั้นก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ธรรมดา
ดังนั้นเด็กสาวจึงเริ่มปัดกวาดโต๊ะของ โจวหยวน ช่วยเหลือเขาทำความสะอาดทุกอย่าง ทำให้เหล่าเด็กหนุ่มในศาลานั้นต่างมองไปยังโจวหยวนด้วยสายตาอิจฉาอย่างมาก
“ปู่ของเจ้าอาการเป็นอย่างไรบ้าง” โจวหยวน เท้าคางกล่าวถามเด็กสาวที่กำลังทำความสะอาด
เมื่อได้ยินเช่นนั้นนางก็ได้ยกใบหน้าอันงดงามขึ้น มือข้างหนึ่งนั้นจับไปที่ปลายผมของนาง พร้อมปรากฏรอยยิ้มขึ้นบนหน้า
“ดีแล้ว ท่านปู่ของข้านั้นเคยกล่าวไว้ว่าอยากจะเชิญพระองค์มาบ้าน แต่บ้านของข้าทรุดโทรมมากไป ข้าเกรงว่า. . .”
“ได้ ถ้าเช่นนั้นวันหยุดครั้งหน้าข้าจะไปเยี่ยม” โจวหยวน กล่าวด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเห็นโจวหยวน ปราศจากท่าทีลังเล ซูโหยวเหว่ย ก็กัดริมฝีปากเบาๆเงยหน้ามองมาที่เขา ทว่านางก็รู้สึกกลัวว่าอีกฝ่ายจะรู้ตัวและก้มหน้าลดลงไปอย่างรวดเร็ว
นางยังคงจำเรื่องราวเมื่อครั้งอดีต ที่นางได้พบกับโจวหยวนได้
บางทีความสิ้นหวังของนางนั้น ก็คือจุดเริ่มต้นในวันแห่งความหวังครั้งใหม่
ในวันนั้นปู่ของนางป่วยหนัก นางที่เผชิญเหตุการณ์ล่มสลลายของครอบครัวมาตั้งแต่เด็กนั้น เพื่อช่วยปู่ของนาง นางจึงกัดฟันฝ่าลมฝน แบกปู่ของนางด้วยร่างเล็กๆ เพราะไร้สิ้นเงินทองทรัพย์สมบัติ ทำให้นางต้องทำได้เพียงคุกเข่าอยู่หน้าสำนักแพทย์ ท่ามกลางลมฝน หวังว่าหมอจะมาช่วยปู่ของนาง
ในเวลานั้น ร่างของนางนั้นเปียกปอนเปรอะเปื้อนดินโคลน ซึ่งเป็นสภาพที่น่าเวทนาสงสาร
และในที่สุด สำนักแพทย์ก็ได้ปิดประตูลง ภายใต้ลมฝนและท้องฟ้าอันมืดมิด ทำให้อากาศในตอนนั้นเย็นลงราวกับฤดูน้ำแข็ง
ในตอนที่นางกำลังสิ้นหวังนั้น นางสัมผัสได้ว่ามีคนยืนอยู่ข้างๆพร้อมส่งร่มให้กับนาง แต่ดวงตาของเขานั้นไม่ได้มองมาที่นางเมื่อส่งร่มเสร็จ เขาก็เดินไปที่สำนักแพทย์พร้อมถีบไปที่ประตู ดังโครม
ในเวลานั้น เสียงที่เย็นชาก็พลันดังขึ้น
“เปิดประตูซะ ช่วยชีวิตคนเดี๋ยวนี้”
ชายที่ถีบประตูในตอนนั้นก็คือ โจวหยวน ในเวลานั้นเมื่อนางมองไปยังแผ่นหลังของเขานางนั้นคิดว่าเขานั้นเป็นหนุ่มเจ้าอารมณ์ ต่อมานางก็เริ่มคิดถึงเรื่องที่เด็กหนุ่มคนนั้นได้เตะประตูสำนักแพทย์นั้น นับจากนี้จวบจนวันตายนางก็ไม่มีทางลืมเลือน
หลังจากนั้นเรื่องนั้น นางก็ได้รู้ถึงสถานะของโจวหยวน ว่าเขาคือองค์ชายของราชวงศ์โจว
โจวหยวน ก็ได้ค้นพบว่า นางนั้นมีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนดังนั้นจึงแนะนำนางให้กับ สำนักวังต้าโจว และเรื่องนี้ก็คือเรื่องที่ผันสวรรค์เปลี่ยนปฐพี สำหรับตัวนาง
หลังจากเข้ามายัง สำนักวังต้าโจวได้เพียงเดือนเดียว นางก็ประสบความสำเร็จในการเชื่อมต่อ ชีพจรจุดแรก ทำให้นางนั้นได้กลายเป็นคนที่เปิดชีพจรได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ และได้ชื่อว่า เป็นอัจฉริยะ
และการเป็นจุดสนใจนั้นทำให้นางรู้สึกอึดอัด แต่ผู้คนนั้นก็ไม่เข้าใจต่อความสัมพันธ์ของนางและ โจวหยวน อีกทั้งโจวหยวนนั้นยังด้วยช่วยนางอย่างลับๆ เรื่องการประทินโฉม
มันทำให้ ซูโหยวเหว่ย ยิ้มขึ้น เพราะนางรู้ดีว่า มีเพียงโจวหยวน เท่านั้นที่รู้ว่าในตอนนั้นนางเคยเป็นเด็กสาวที่ผอมแห้ง เนื้อตัวสกปรกเพียงใด
“นี่ เจ้าต้องการตั้งหนังสือของข้าให้สูงแค่ไหนกัน .” โจวหยวน มองไปที่ ซูโหยวเหว่ย ที่กำลังตกอยู่ในห้วงความคิดพร้อมกับปีรมิตหนังสือที่ตั้งอยู่บนโต๊ะเขา
“หือ” ซูโหยวเหว่ยพลันได้สติขึ้นมา หลังจากนั้นก็มองผลงานชิ้นเอกของนาง พลันปรากฏสีแดงบนใบหน้าของนางขึ้นรีบกล่าวทันทีว่า “ฝ่าบาท ขออภัย ข้าต้องขออภัยจริงๆ”
ท่าทางของนางนั้นน่ารักมาก ในตอนนั้นสายตาของผู้คนมองไปทางโจวหยวนราวกับเป็นฆาตกร หากพวกเขานั้นไม่ได้หวาดกลัวในสถานะของโจวหยวนแล้ว พวกเขาก็จะทำตัวเป็นวีรบุรุษผู้ช่วยสาวงามไปแล้ว
“มันก็ดูประหลาดดี ข้าไม่ว่าเจ้าหรอก” หลังจากทอดสายตาไปที่กองหนังสือนั้น โจวหยวน ก็ส่ายหน้ากล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำๆ
ซูโหยวเหว่ย ได้ยินเรื่องนี้ก็ยิ้มบางๆกล่าวว่า “ข้าได้ลองแต่งหน้าด้วยตัวเอง ท่านว่าดูน่าเกลียดไม๊”
โจวหยวน ได้ยินเรื่องนี้ก็ประหลาดใจ
“จริงสิ” โจวหยวน เคาะไปที่โต๊ะ พร้อมกล่าวว่า “เจ้าเปิดชีพจรได้กี่จุดแล้วหรือ”
ซูโหยวเหว่ยนั้นตกใจมากนางมองไปทางโจวหยวนพลางตอบไปว่า “3 จุดแล้ว”
นางรู้ว่าด้วยเหตุผลบางอย่าง โจวหยวน จึงมิอาจเปิดชีพจรเพื่อฝึกฝนได้ เพราะแบบนี้นางจึงไม่แสดงความเห็นถึงเรื่องพัฒนาของตนเพราะเกรงว่ามันจะไปกระทบจิตใจของโจวหยวน
“บางทีด้วยความเร็วขนาดนี้ เพียงปี 2ปี ก็อาจเปิดครบทั้ง 8 ชีพจร แล้ว” โจวหยวน กล่าวขึ้นพรสวรรค์การฝึกตนของ ซูโหยวเหว่ยนั้นโดดเด่นยิ่ง เพียงไม่ถึงปี ก็เทียบเท่าได้กับผู้อื่นที่ฝึกมาหลายปี
เขานั้นภูมิใจอย่างมาก เพราะมันเหมือนกับว่าเขานั้นได้เก็บสมบัติชิ้นหนึ่งมา
“อีก 2 เดือนนั้นจะถึงการทดสอบประจำปี เจ้านั้นลองพยายามเปิดเส้นที่ 4 และพยายามให้เข้าเป็นสิบอันดับแรกดู สิทธิ์ของเจ้านั้นได้ใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อได้มา เมื่อเจ้าเป็นสิบอันดับแรก เจ้าจะได้รับการชี้แนะจากจ้าวสำนักโดยตรงมันจะช่วยเจ้าได้มากนัก” โจวหยวน กล่าว
ต่อจากนั้น ซูโหยวเหว่ย ก็วางมือทั้ง 2 นั้นไว้บนโต๊ะก้มหัวลงไม่กล้าที่จะมองหน้า โจวหยวน
”มีอะไรหรือ” เมื่อเห็นท่าทางของนาง โจวหยวนก็รู้สึกสงสัย
ซูโหยวเหว่ยนั้นก้มหน้าพร้อมกล่าวด้วยเสียงเบาๆว่า “ข้า ข้าไม่มีสิทธิ์สอบแล้ว.”
โจวหยวน ตกใจมาก เขาขมวดคิ้วบางๆแล้วกล่าวว่า “เกิดอะไรขึ้น”
ท่าทางของเขาไม่ได้กดดันแต่อย่างใด แต่นั่นก็ทำให้หัวใจของ ซูโหยวเหว่ย พลันเต้นรัว นางนั้นกัดริมฝีปากตัวเองไม่ยอมกล่าวออกมาเป็นเวลานานต่อจากนั้นเด็กสาวที่คนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อ ซูโหยวเหว่ยก็เปิดปากกล่าวขึ้น“มันเป็นเพราะ สู่หลิน เขาได้พูดจาดูถูกท่าน เมื่อโหยวเว่ย รู้เรื่องนี้นางก็ต้องการให้เขาขอโทษ แล้วมันก็ได้ท้าสู้กับนางและยื่นข้อเสนอว่า หากเขาแพ้ เขาจะยอมขอโทษ แต่หากเขาชนะ นางจะต้องยกสิทธิ์การทดสอบให้เขา”
โจวหยวนขมวดคิ้วบางๆกล่าวว่า “สู่หลินเปิดเพียง 2 ชีพจร ไม่น่าสู้โหยวเว่ยได้หรอก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเด็กสาวคนนั้นก็กล่าวตอบทันที “โหยวเว่ย นั้นเปิดได้ถึง 3 ชีพจร และ สู่หลิน มันเป็นตัวไร้ยางอาย มันใช้ศาสตราก่อเกิดและชนะโหยวเว่ย ด้วยความโชคดี.”
โจวหยวนนั้นไม่ได้มีท่าทีเปลี่ยนไปมากนัก เขามองไปที่ ซูโหยวเหว่ยที่กำลังก้มหัวพร้อมกล่าวเชิงตำหนิว่า “ทำไมเจ้าไม่บอกข้าล่ะ”
ซูโหยวเหว่ยนั้นกำหมัดพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำๆว่า “ตัวข้าต้อยต่ำไร้ค่า จึงไม่อยากสร้างปัญหาให้กับพระองค์”
เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ โจวหยวน ก็เห็นใจนางมาก เด็กสาวผู้นี้บางครั้งก็ปากแข็งดื้อรั้นและมักทำให้ผู้คนปวดหัว ดังนั้นเขาจึงมองไปยัง สู่หลินที่อยู่ในศาลาด้วยสายตาเย็นชา
“ใช้ลูกเล่นสกปรกรังแกสตรี สู่หลิน เจ้าคิดว่าเจ้าเก่งนักหรือ” โจวหยวนแสยะยิ้มพร้อมมองไปยัง สู่หลินที่ถือสิทธิ์การทดสอบของ ซูโหยวเหว่ยไว้ในมือ
สู่หลินตอบอย่างขี้เกียจว่า “ข้าไม่รู้ว่าพระองค์หมายถึงอะไร แต่ผู้คนจำนวนมากก็เห็นแล้วข้านั้นใช้พลังของข้าเอาชนะ สิทธิ์ในการสอบอันนี้ข้านั้นใช้พลังของข้าชนะและได้มาดังนั้น แม้ท่านจะขอร้องข้าก็ไม่ยกให้”
โจวหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงต่างไปทันทีว่า “เจ้ากล้าสู้อีกครั้งหรือไม่”
สู่หลิน หัวเราะ ฮี่ฮี่ แล้วกล่าวว่า “ข้าไม่สนใจ”
ครั้งก่อนเขานั้นโชคดีนัก แต่ตอนนี้ ซูโหยวเหว่ยเปิด 3 ชีพจรแล้วเขาย่อมสู้นางไม่ได้
โจวหยวนมองไปที่ สู่หลินอีกครั้งพร้อมแสยะยิ้มกล่าวว่า “ไม่ได้หมายถึงเจ้ากับ โหยวเว่ย แต่เป็นเจ้ากับข้า”
กล่าวจบเขาก็หยิบจี้หยกที่ส่องแสงอ่อนๆออกมาวางบนโต๊ะแล้วกล่าวว่า “หากเจ้าชนะ หยกก่อเกิดรวมปราณนี้จะเป็นของเจ้า”
ในศาลาพลันเกิดเสียงฮือฮาพร้อมมองไปยังจี้หยกด้วยความโลภ จี้หยกก่อเกิดรวมปราณนี้นั้นมีผลที่จะทำให้ผู้สวมใส่สามารถเชื่อมต่อ 8 ชีพจรได้เร็วขึ้นมูลค่าของมันนับว่าสูงมาก
“ฝ่าบาท” ซูโหยวเหว่ยกล่าวด้วยความตื่นตระหนก
มันเป็นเพราะ โจวหยวนจะประลองกับ สู่หลินทั้งที่เขาไม่สามารถเปิดชีพจรได้แม้แต่เส้นเดียว แล้วมีหรือที่เขาจะเทียบกับสู่หลินได้
โจวหยวนฝากจี้หยกก่อเกิดรวมปราณไว้กับ ซูโหยวเหว่ย พร้อมยิ้มให้กับ สู่หลินด้วยท่าทีเยาะเย้ย
“เจ้ากล้าหรือไม่”
สู่หลินจับจ้องไปที่ หยกก่อเกิดรวมปราณ พลันเลียริมฝีปากแสยะยิ้มกล่าวว่า “ฝ่าบาทในเมื่อท่านจะมอบหยกนี้ให้กับข้า ข้าจะไม่ขัดศรัทธา”
“มือและเท้าไม่มีตา หากพลั้งทำร้ายฝ่าบาทไปอย่าได้ตำหนิข้า”
แม้ว่าท่าทางของ โจวหยวน นั้นจะแปลกประหลาด แต่ สู่ หยิน ก็ไม่เชื่อว่าตนนั้นจะแพ้ให้กับคนที่ไม่สามารถเปิดชีพจรได้
“หวังว่าเจ้าจะมีความสามารถพอ” โจวหยวนแสดงท่าทีไร้ไมตรี
สู่หลินหัวเราะให้กับท่าทีของ โจวหยวน ต่อจากนั้นเขาก็เหวี่ยงเสื้อคลุมออกไป และหัวเราะด้วยน้ำเสียงต่ำๆพร้อมกล่าวว่า
“ดี ข้าจะไปรอองค์ชายที่ลานฝึก ข้าอยากจะรู้นักว่าองค์ชายจะเอาชนะข้าได้ยังไง”
จบตอน 3