px

เรื่อง : การต่อสู้ชิงบัลลังก์ในเงามืดของเจ้าชายไร้ค่าสุดแกร่ง (Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi )
ตอนที่ 30: เตรียมใจที่จะมีชีวิตอยู่, เตรียมใจที่จะช่วย


“ทุกคน.....จงมีชีวิตอยู่......พวกเราจะรอดผ่านเหตุการณ์นี้ไปด้วยกัน!......”

 

จูลิโอตะโกนในขณะที่เกาะเรือชูชีพขนาดเล็ก คอของเขาเริ่มเจ็บจากการตะโกนเรื่องเดิมๆซ้ำไปซ้ำมา แต่ถึงอย่างงั้น, เขาก็ยังคงตะโกนอยู่เพราะเขาเชื่อว่านี่คือหน้าที่ของเขา

 

มีลูกเรืออยู่ประมาณโหลนึงที่ลอยอยู่รอบจูลิโอ และเพื่อเป็นการให้ความสำคัญกับคนเจ็บ, พวกเขาจึงเอาพวกคนเจ็บขึ้นเรือเล็กในขณะที่ลูกเรือคนอื่นๆเกาะอยู่รอบเรือเล็กหรือซากที่เคยเป็นเรือของพวกเขามาก่อน

 

“อะ, องค์ชายครับ....ท่านเองก็ต้องขึ้นเรือด้วยนะครับ.....”

 

“ข้าไม่เป็นอะไร.....ข้ายังไหวอยู่.....”

 

จูลิโอพูดออกมาแบบนั้น, แต่อันที่จริง, เขาแทบจะหมดแรงแล้ว นับตั้งแต่ตอนที่เรือร่มมันก็ผ่านมานานกว่าสิบชั่วโมงแล้วและพวกเขาก็ลอยเคว้งอยู่กลางทะเล พวกเขาผ่านพ้นจากค่ำคืนแห่งนรกมาได้ในขณะที่ตัวสั่นจากความกลัวและความหนาวเหน็บของน้ำแต่มันก็ยังไม่มีวี่แววว่าความช่วยเหลือจะมาถึงเลย

 

ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น

 

พวกเขาได้รับแจ้งมาว่ามังกรทะเลอาจจะตื่นจากการจำศีลแล้วดังนั้นเอวากับจูลิโอก็เลยออกมาสำรวจเรื่องนี้ พวกเขาเอาเรือรบมาด้วยสามลำเพื่อป้องกันเอาไว้ก่อนเผื่อมีเรื่องฉุกเฉินแต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่เพราะพวกเขาอยากจะสู้กับมังกรทะเลด้วยตัวเอง, มันก็แค่เป็นการระมัดระวังให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามังกรทะเลตื่นขึ้นมาจริงๆรึเปล่า, นี่คือสิ่งที่พ่อสั่งให้พวกเขาทำ ส่วนเหตุผลที่เลือกพวกเขานั้นก็เพราะทั้งสองคนสามารถใช้เวทมนตร์ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดซึ่งสามารถใช้ประโยชน์จากเสียงได้ สำหรับพวกเขาสองคน, การสำรวจทะเลก็เป็นแค่งานง่ายๆ

 

ถ้าจะมีอะไรที่คำนวณพลาดไปในแผนนี้มันก็คงจะเป็นการที่มังกรทะเลตามเสียงที่พวกเขาปล่อยออกมาและโจมตีเรือของพวกเขา พวกเขานั้นจบลงที่การไปแหย่เกล็ดย้อนของมันเข้า

 

มังกรทะเลเรียกพายุมาและทำลายเรือของพวกเขาแต่ยังถือว่าโชคดี, มันถอยกลับไปในตอนที่เรือของพวกเขาเป็นซากแล้ว อย่างไรก็ตามถึงจะพูดแบบนี้, สถานการณ์ก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย

 

“เหวออ!!?? มอนส์เตอร์!? มีมอนส์เตอร์มาโดนขาของข้า!?”

 

“ใจเย็นหน่อย! มันก็แค่ปลา!”

 

ลูกเรือที่รอดชีวิตตัวสั่นด้วยความกลัว

 

กลัวความตาย กลัวว่าความช่วยเหลือจะไม่มีวันมาถึง กลัวว่าพวกเขาจะหนาวตาย และกลัวว่ามอนส์เตอร์ทะเลจะเข้ามากินพวกเขา

 

เมื่อความกลัวทั้งหมดผนวกเข้าด้วยกัน, ผู้รอดชีวิตจึงทั้งรู้สึกเหนื่อยล้าและสิ้นหวัง

 

แต่ว่า, จูลิโอก็ยังคงตะโกนอยู่

 

“ความช่วยเหลือจะมาถึงอย่างแน่นอน.....! นึกถึงหน้าครอบครัวของพวกเจ้าสิ....! พวกเราจะต้องมีชีวิตกลับไปให้ได้.......!”

 

จูลิโอใช้คำพูดให้กำลังใจผู้รอดชีวิตต่อ และพวกมันยังเป็นคำที่เขากำลังพร่ำบอกกับตัวเองด้วย

 

อย่างไรก็ตาม, จูลิโอตามปกตินั้นไม่ใช่คนที่จะทำเรื่องแบบนั้น ไม่สิ, เขาเป็นคนที่ไม่สามารถทำแบบนั้นได้

 

เขาไม่ใช่คนที่มีความมั่นใจในตัวเอง แม้ว่าเขาจะเป็นเจ้าชาย, แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่สามารถทำตัวเองให้เหมือนกับคนที่ยอดเยี่ยมได้

 

มันคือเอวาต่างหากที่คอยผลักดันจูลิโอที่เป็นแบบนี้อยู่ตลอด แต่ตอนนี้เอวากำลังนอนอยู่บนเรือ

 

ในตอนที่พวกเขาถูกโยนลงทะเล, เธอก็หมดสติไปเพราะเธอเอาตัวปกป้องเขาแล้วกระแทกกับผิวน้ำ

 

ตั้งแต่นั้นมา, จูลิโอก็พยายามทำตัวให้เหมือนเอวา ซึ่งเหตุผลนั้นก็มาจากทั้งพี่สาวที่อยู่เบื้องหน้าเขาและเพื่อที่จะมีชีวิตรอด

 

ความรู้สึกถึงหน้าที่รับผิดชอบที่เติบโตขึ้นมาเนื่องจากสถานการณ์ฉุกเฉินนี้ทำให้จูลิโอดูสมกับเป็นเจ้าชายมากขึ้น

 

แต่ถึงอย่างนั้น, ไม่ว่าจูลิโอจะพยายามให้กำลังใจพวกเขามากแค่ไหน, มันก็ยังไม่มากพอ

 

“ความช่วยเหลือหรอครับ?.....ความช่วยเหลือไม่มีวันมาถึงหรอก.....ท่านก็รู้ดีไม่ใช่หรอว่าต่อให้พวกเขาเริ่มส่งเรือออกค้นหาตั้งแต่ตอนกลางคืนมันก็ยังใช้เวลามากกว่าหนึ่งวัน.....?”

 

หนึ่งในลูกเรือพูดออกมาอย่างอ่อนแรง

 

นี่คือสิ่งที่ทุกคนที่นี่กำลังคิดอยู่

 

เรือกู้ภัยจากอัลบราโทรน่าจะมาไม่ทันเวลา แต่ถึงอย่างนั้น, จูลิโอก็ยังคงมีความหวัง

 

“ดูจากขนาดของพายุแล้ว, ถ้าเรือของจักรวรรดิโดนไปด้วยก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร.... เจ้าชายลีโอนาร์ดจะต้องเข้ามาช่วยพวกเราอย่างแน่นอน........”

 

“จักรวรรดิจะช่วยพวกเราหรอครับ.....? ท่านก็รู้ไม่ใช่หรอว่าพวกเราเคยให้ความช่วยเหลือประเทศที่เป็นศัตรูของพวกเขา.....พวกเขาคงไม่เอาตัวเองเข้ามาเสี่ยงกับการค้นหาพวกเราในน่านน้ำที่อันตรายแบบนี้หรอกครับ..........”

 

“เจ้าชายลีโอนาร์ดมีชื่อเสียงในเรื่องที่เป็นคนจิตใจดีและไม่ชอบละทิ้งปัญหา.....ไม่เป็นไรหรอกหน่า! ข้ามั่นใจว่าเขาจะมาช่วยพวกเรา!”

 

“ในเวลาแบบนี้, แม้กระทั่งพันธมิตรก็ยังละทิ้งพวกเราได้, หวังว่าเขาจะมาจริงๆก็แล้วกันนะครับ.....”

 

“ถ้าข้ารอดจากวิกฤตนี้ไปได้ข้าจะรีบบอกลาสถานที่แห่งนี้ในทันที.....ใครจะไปอยากอยู่ในทะเลที่มีมังกรทะเลอาละวาดอยู่หล่ะ.....”

 

“ทุกคน......”

 

จิตใจของทุกคนกำลังพังทลาย

 

ซึ่งมันก็เป็นเช่นเดียวกันกับจูลิโอ พอได้เห็นเอวา, เขาก็สามารถทำตัวเข้มแข็งได้แต่ทั้งสภาพจิตใจและสภาพร่างกายของเขาได้มาถึงขีดจำกัดแล้ว

 

นี่เป็นครั้งแรก, ที่ความสามารถทางกายของจูลิโอเหนือกว่าลูกเรือคนอื่นๆ ถึงยังไงถ้าเป็นช่วงเวลาปกติเขาก็มักจะเป็นคนแรกที่หมดสภาพก่อน

 

แต่ตอนนี้จูลิโอยังคงเกาะเรือเอาไว้อยู่ด้วยแรงฮึดล้วนๆ อย่างไรก็ตาม, แรงฮึดที่กล้าแกร่งก็ยังคงถูกอารมณ์เศร้าสลดรอบตัวเขาบั่นทอนอยู่เรื่อยๆ

 

มันอาจจะหมดหนทางแล้วก็ได้

 

ในตอนที่ความคิดนี้แล่นเข้ามาในหัวของเขา

 

เขาก็เห็นบางสิ่งอยู่ไกลๆ

 

มันคือเรือ

 

“นั่นมัน, นั่นมันเรือนี่.......! มีเรืออยู่ตรงนั้น.......!!”

 

“เฮ!! พวกเรารอดแล้ว! ทางนี้! ทางนี้!!”

 

จิตใจที่เหนื่อยล้าของเขาฟื้นกลับมา

 

ทุกคนต่างก็พยายามตะโกนและโบกมือเพื่อให้เรือสังเกตเห็นพวกเขา

 

พวกเขาทำแบบนี้อยู่พักนึงแต่ในตอนนั้นเองก็มีคนพึมพำออกมา

 

“นะ, นั่นมันเรือจักรวรรดินี่.....”

 

แค่เท่านี้มันก็เพียงพอแล้วที่พวกเขาจะหยุดโบกมือ

 

ธงที่กำลังพริ้วไหวอยู่เป็นของจักรวรรดิ

 

จากหน้าตาของมัน, มันคือธงของเรือจักรวรรดิทั้งสองลำที่พวกเขาขอเจรจาก่อนหน้านี้

 

ความจริงที่ว่าพวกเขาอยู่ที่นี่นั้นหมายความว่าพวกเขาเองก็โดนพายุมาเหมือนกัน

 

และการที่พวกเขาอยู่ที่นี่มันก็เห็นๆอยู่ว่าพวกเขาถูกซัดออกจากเส้นทางเดิม ทุกคนที่นี่รู้ดีว่าจุดหมายของพวกเขาคือรอนดิเน่

 

พวกเขาจะยอมเสียเวลามาช่วยเราทั้งๆที่กำหนดการของพวกเขาล่าช้าอยู่แล้วหรอ

 

นอกจากนี้, มังกรทะเลยังแอบซุ่มอยู่ในพื้นที่นี้, พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะถูกโจมตีอีกเมื่อไหร่

 

ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นนี้คือเหตุผลที่จักรวรรดิจะไม่ช่วยเหล่าผู้รอดชีวิต

 

ในตอนนั้นเอง, เรือของจักรวรรดิก็ทำการหันหัวเรือ

 

ความสิ้นหวังจุกอยู่ในอกของจูลิโอ

 

อย่างไรก็ตาม, มีเสียงนึงดังเข้ามาในหูของเขา

 

มันคือเสียงที่ถูกทำให้ดังขึ้นด้วยอุปกรณ์เวทมนตร์

 

[[ข้าคือเจ้าชายลำดับแปดของจักรวรรดิ, ลีโอนาร์ด เลคส์ แอดเลอร์ ตอนนี้เรือของข้ากำลังช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากราชรัฐอัลบราโทร พวกเราจะค่อยๆช่วยทีละคน, ส่วนใครที่ยังมีแรงเหลืออยู่ให้ว่ายมาที่เรือของเรา แต่ถ้าไม่ไหว, ช่วยอดทนรออีกสักพัก พวกเราจะทำการช่วยพวกเจ้าอย่างแน่นอน]]

 

พอได้ยินเสียงนี้, น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตาของจูลิโอโดยที่เขาไม่ทันรู้สึกตัว

 

อย่างไรก็ตาม, เขาเช็ดพวกมันออกไปในทันที

 

“ไปกันเถอะ, ทุกคน! คอยดูแลคนเจ็บด้วยนะ!”

 

“คะ, ครับท่าน!”

 

“ไปกันเลย! พวกเราใกล้จะถึงแล้ว!”

 

จูลิโอกับผู้รอดชีวิตคนอื่นๆรีบมุ่งหน้าไปทางเรือของจักรวรรดิเพื่อช่วยย่นระยะ

 

.....

 

อัลที่กำลังแสดงเป็นลีโอวางอุปกรณ์เวทมนตร์ขยายเสียงแบบพกพาแล้วถอนหายใจออกมา

 

“ถ้าการช่วยเหลือมันง่ายกว่านี้ก็คงจะดีนะ”

 

“ไม่ว่ามันจะยากหรือไม่, ผู้รอดชีวิตส่วนใหญ่ที่ท่านช่วยเหลือมาจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง ถึงยังไงพวกเขาก็แช่อยู่ในน้ำมานานมากดังนั้นข้าคิดว่ามันคงช่วยไม่ได้หรอกครับ, องค์ชาย”

 

“ข้ารู้.... กัปตัน! เหลือลูกเรือเอาไว้แค่จำนวนต่ำสุดสำหรับหน้าที่เฝ้าระวังแล้วให้ลูกเรือคนอื่นๆเน้นไปที่ปฏิบัติการช่วยเหลือ!”

 

“พูดแบบนั้นออกมาอีกแล้วหรอครับ.....!? ถ้าเกิดมังกรทะเลโผล่มาตอนนี้ท่านจะทำยังไง!?”

 

“พวกเราก็คงจะจบเห่ในทันที แทนที่จะมาคอยสอดส่องมัน, ข้าว่าทุ่มความพยายามในส่วนของการช่วยเหลือให้เสร็จให้ไวที่สุดมันจะดีกว่านะ”

 

“แล้วถ้าเกิดมีมอนส์เตอร์ตัวอื่นอยู่ด้วยหล่ะครับ!?”

 

“แถวนี้ไม่มีมอนส์เตอร์ตัวอื่นหรอก ถึงยังไงมันก็คงไม่มีมอนส์เตอร์ตัวไหนที่กล้าย่างกรายเข้ามาในพื้นที่ที่มังกรทะเลพึ่งเคยผ่านอยู่แล้ว”

 

พอพูดจบ, อัลก็มุ่งหน้าออกไปช่วยผู้รอดชีวิต

 

เพราะว่านี่คือสิ่งที่ลีโอคงจะทำ ถึงแม้ตัวอัลเองนั้นอยากจะอยู่แนวหลังเพื่อคอยสังเกตสถานการณ์แล้วออกคำสั่งมากกว่าแต่เขาก็ต้องบอกตัวเองว่าตอนนี้เขาคือลีโอและออกไปเข้าร่วมปฏิบัติการ

 

ในตอนนี้, ลูกเรือพึ่งจะดึงผู้รอดชีวิตที่อยู่รวมกลุ่มกันประมาณ 4-5 คนขึ้นมา พวกเขาทุกคนตัวสั่นด้วยความหนาวดังนั้นอัลจึงเอาผ้าห่มที่เตรียมไว้สำหรับผู้รอดชีวิตให้กับพวกเขา

 

“อดทนได้ดีมาก ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้วนะ”

 

“ขอบคุณครับ, ขอบคุณจริงๆ.....”

 

พอเห็นผู้รอดชีวิตที่กำลังร้องไห้ในขณะที่กล่าวขอบคุณ, ฉันก็ตระหนักได้ถึงความโหดร้ายและความน่ากลัวจากสิ่งที่พวกเขาพึ่งเผชิญมา

 

ในขณะเดียวกันนั้นเอง, ก็มีรายงานใหม่เข้ามา

 

“เจอผู้รอดชีวิตจำนวนมากอยู่ที่กราบซ้ายเรือครับ! จำนวนน่าจะมีประมาณห้าสิบคน!”

 

“ห้าสิบเลยหรอ! พวกเราไม่มีพื้นที่พอที่จะรองรับคนเยอะขนาดนั้นนะ!!”

 

พวกเราช่วยเหลือผู้รอดชีวิตมาได้เยอะพอสมควรแล้ว, ถ้าพวกเรารับเพิ่มอีกห้าสิบคน, พวกเราก็จะไม่มีที่พอสำหรับรองรับพวกเขา แต่เดิม, จำนวนลูกเรือของเรานั้นมีเกือบๆร้อยคน พวกเราอาจจะรับคนอีกห้าสิบคนขึ้นเรือลำนี้ไม่ไหว

 

และนี่เองก็เป็นสาเหตุที่บังคับให้อัลต้องตัดสินใจ

 

เขาต้องเลือกสิ่งที่จะเสียสละ

 

“จะเอายังไงต่อดีครับองค์ชาย? มันมีผู้รอดชีวิตเยอะกว่าที่พวกเราคาดเอาไว้”

 

“นั่นสินะ, ข้าก็ทำใจเอาไว้แล้วหล่ะ......พวกเขามีเรือสามลำในขณะที่พวกเรามีแค่ลำเดียว ถ้ามีคนโชคดีรอดมาได้เยอะผลลัพธ์แบบนี้มันก็ชัดเจนอยู่”

 

“แสดงว่าท่านมีมาตรการจัดการแล้วสินะครับ?”

 

อัศวินวัยกลางคนถามอย่างคาดหวัง

 

และเพื่อเป็นการตอบสนอง, อัลทำหน้าเหมือนกับเขาพึ่งกินหนอนเข้าไป

 

สำหรับอัล, มันถือเป็นการตัดสินใจที่แย่ที่สุด แต่เขาก็ยังต้องทำ

 

“ทิ้งทุกอย่างที่อยู่ในคลังของเรายกเว้นเสบียงอาหารกับน้ำ”

 

“.....รวมทั้งของขวัญที่จะเอาไปให้รอนดิเน่ด้วยหรอครับ?”

 

“ใช่, ทุกอย่างเลย”

 

ตามที่คาดเอาไว้, แม้กระทั่งอัศวินวัยกลางคนก็ยังถึงกับพูดไม่ออก

 

แต่เดิมเรือลำนี้เป็นของลีโอดังนั้นของที่เรือลำนี้ขนมาจึงมีค่ากว่าลำที่อัลนั่งมา ข้างใน, มีอาวุธรุ่นล่าสุดและสมบัติที่ทำจากทองกับเงินที่จัดเตรียมมาเพื่อส่งให้กับรอนดิเน่

 

สมบัติทั้งหมดนั้นมีมูลค่ามากพอที่จะทำให้คนๆนึงสามารถใช้ชีวิตอย่างเสเพลได้จนตาย, ซึ่งอัลก็ตัดสินใจโยนพวกมันทั้งหมดทิ้งลงทะเล

 

“จะไม่เป็นอะไรจริงๆหรอครับ? ให้ทำเรื่องแบบนั้นหน่ะ?”

 

“ไม่มีทางที่จะไม่เป็นอะไรอยู่แล้ว ด้วยจำนวนผู้รอดชีวิตมากมายขนาดนี้, พวกเราจึงไม่สามารถไปรอนดิเน่ได้ด้วยปริมาณเสบียงที่พวกเรามี เรามีไม่พอทั้งน้ำและอาหาร หรือพูดอีกอย่างก็คือ, พวกเราต้องไปที่อัลบราโทรเพื่อเติมเสบียง ณ จุดนี้, มันจะทำให้ภารกิจของเราล่าช้าอย่างมีนัยสำคัญ ยิ่งไปกว่านั้น, มังกรทะเลก็กำลังแอบซุ่มอยู่แถวนี้ด้วย ข้าไม่รู้ว่าพวกเราจะสามารถไปรอนดิเน่ได้เมื่อไหร่ แต่ไม่ว่ายังไงข้าก็ตัดสินใจจะช่วยพวกเขาแล้ว สิ่งเดียวที่ข้าเหลืออยู่ในตอนนี้ก็คือการปกป้องชื่อเสียงของลีโอ และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ไม่ว่าข้าจะต้องละทิ้งอะไรไป, ข้าก็ต้องช่วยเหลือผู้รอดชีวิตให้ได้ นี่เป็นคำขาด, ไม่ต้องคร่ำครวญเรื่องสมบัติพวก, จงช่วยชีวิตพวกเขาซะ ข้าจะไม่ปล่อยให้คนที่ยังรอดอยู่ต้องตายโดยเด็ดขาด เข้าใจใช่ไหม?”

 

“ขะ, เข้าใจแล้วครับ......”

 

พอเห็นสายตาที่มุ่งมั่นของอัล, อัศวินวัยกลางคนก็ชะงักไปชั่วขณะ

 

เขากำลังรู้สึกยำเกรง

 

ในขณะที่กำลังประหลาดใจอยู่นี้, อัศวินวัยกลางคนก็นึกถึงเรื่องในวันนั้นขึ้นมา

 

วันที่อัลทำลายกำไลเพื่อเอลน่า

 

ที่เอลน่าเข้าร่วมในเทศกาลล่าของอัศวินก็เพื่ออัล สำหรับเอลน่า, การทำสิ่งที่สามารถทำให้อัลหมดคุณสมบัติได้นั้นเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมอัลถึงทำมันด้วยตัวเองเพื่อให้เธอสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ

 

มันเป็นการกระทำที่ยิ่งใหญ่จริงๆ

 

มันไม่ใช่สิ่งที่จะมีใครคาดคิดจากคนที่เป็นที่รู้จักโดยทั่วกันในฐานะเจ้าชายไร้ค่า

 

และตอนนี้, การแสดงเป็นลีโอของเขามันก็ยิ่งกว่าคำว่าสมบูรณ์แบบ

 

นอกจากนี้คำแนะนำของเขายังถูกต้องด้วย

 

“ว่าแล้วเชียวจริงๆแล้วท่านเป็นเหยี่ยวที่มีความสามารถสินะครับ.....”

 

“เมื่อกี้พูดอะไรรึเปล่า?”

 

“ไม่มีอะไรหรอกครับ เรื่องโยนสัมภาระทิ้งเดี๋ยวปล่อยให้เป็นหน้าที่ของอัศวินหลวงเองครับ”

 

“โอเค, ฝากด้วยนะ ทุกคน, ทำการช่วยเหลือกันต่อไป! จงช่วยทุกคนที่สามารถช่วยได้! ถ้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นข้าจะรับผิดชอบทั้งหมดเอง!”

 

ในขณะที่ให้คำแนะนำ, อัลก็เหลือบไปเห็นผู้รอดชีวิตกลุ่มนึงกำลังเข้ามา

 

มีเรือลำเล็กที่บรรทุกคนเจ็บอยู่, และอัลก็เห็นเอวาอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย เขามองเห็นจูลิโอที่อยู่ข้างๆเช่นกัน

 

“เจ้าชายกับเจ้าหญิงยังปลอดภัยสินะ....เพียงเท่านี้เราก็มีตัวช่วยต่อรองกับพระราชาของอัลบราโทรเพิ่มขึ้นแล้ว”

 

ด้วยความคิดนี้, อัลก็โยนบันไดเชือกไปทางจูลิโอ อย่างไรก็ตาม, จูลิโอไม่ได้พยายามจะจับมัน

 

“องค์ชายจูลิโอ! รีบขึ้นมาเลยครับ!”

 

“ช่วยคนเจ็บก่อนได้ไหมครับ!?”

 

พอพูดจบ, จูลิโอก็ชี้ไปยังคนเจ็บที่อยู่บนเรือ

 

การช่วยคนเจ็บที่ไม่สามารถปีนขึ้นมาได้ด้วยตัวเองนั้นจะใช้เวลามากกว่า

 

มันจะทำให้การช่วยเหลือจูลิโอและลูกเรือของเขาช้าลงแต่พวกเขาก็ยังอยากให้พวกเราให้ความสำคัญกับคนเจ็บก่อน

 

“เข้าใจแล้วครับ! ช่วยรอสักพักนึงนะ!”

 

พวกเราเริ่มช่วยเหลือคนเจ็บด้วยความรวดเร็ว

 

ลูกเรือลงไปที่เรือลำเล็กแล้วหามคนเจ็บขึ้นไปทีละคน

 

ในขณะเดียวกันนั้นเอง, ผู้รอดชีวิตจากตำแหน่งอื่นก็ถูกช่วยเอาไว้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

 

หลังจากที่พวกเรารับตัวคนเจ็บมาครบรวมทั้งเอวา, อัลก็โยนเชือกไปทางจูลิโอ

 

มันอาจเป็นเพราะความโล่งใจ, ในตอนที่จูลิโอคว้าเชือกเอาไว้, เขาก็สูญเสียพละกำลังทั้งหมดที่อยู่ในร่าง

 

สติของเขาถึงขีดจำกัดแล้ว

 

“องค์ชายจูลิโอ!?”

 

หลังจากที่เห็นจูลิโอค่อยๆจมลงไปในขณะที่หมดสติ, อัลก็ทำการเคลื่อนไหวในทันที

 

มันเหมือนกับตอนที่เขาดิ่งลงไปช่วยฟิเน่ มันไม่ใช่การเคลื่อนไหวที่ผ่านการคำนวณมา, เขาทำไปตามสัญชาตญาณ

 

อัลกระโดดลงไปในทะเลที่อาจจะมีมังกรทะเลแอบซ่อนอยู่แล้วดึงตัวจูลิโอที่จมน้ำขึ้นมา

 

คนที่ตื่นตระหนกในครั้งนี้กลายเป็นฝ่ายจักรวรรดิ

 

“องค์ชาย!?”

 

“องค์ชายกระโดดลงไปแล้ว!”

 

แม้กระทั่งลูกเรือที่ลงไปยังเรือลำเล็กเพื่อช่วยเหลือคนเจ็บ, ก็ยังไม่มีใครกระโดดลงทะเลเลย ต่อให้พวกเขาถูกบอกมาว่าไม่มีมอนส์เตอร์ตัวอื่นนอกจากมังกรทะเล, พวกเขาก็ยังคงกลัวอยู่ดี

 

แต่ในขณะเดียวกันนั้น, เจ้าชายที่พวกเขาสมควรจะปกป้องมากที่สุดกลับกระโดดลงไป

 

หลังจากที่เห็นเช่นนี้, ลูกเรือของจักรวรรดิจึงฮึดขึ้นมาแล้วเริ่มกระโดดลงทะเลเพื่อทำการช่วยเหลือต่อ

 

“ส่งเชือกมา!!”

 

“นี่ครับ!!”

 

อัศวินวัยกลางคนเป็นคนที่โยนเชือกมาให้ฉัน

 

ฉันพันเชือกเอาไว้รอบร่างที่ไร้สติของจูลิโอแล้วให้เขาดึงขึ้นไป

 

หลังจากนั้น, ฉันก็ปีนขึ้นบันไดเชือก

 

พอปีนขึ้นไปสุดแล้ว, ก็มีมือข้างนึงยื่นมาหาฉัน

 

พอจับมัน, ฉันก็เห็นอัศวินวัยกลางคนที่มีสีหน้าประหลาดใจ

 

“ขอบใจ”

 

“ไม่เป็นไรครับ, ข้าชินกับการดึงท่านขึ้นจากน้ำแล้ว”

 

“?หมายความว่ายังไง?”

 

“ท่านจะจำไม่ได้ก็ไม่แปลกหรอกครับเพราะตอนนั้นท่านหมดสติอยู่”

 

“นี่เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไรเนี่ย?”

 

“ข้าเป็นคนที่ดึงท่านขึ้นมาในตอนที่ท่านเกือบจมน้ำตายที่บ้านผู้กล้าหาญ, แต่เดิมนั้นข้าเป็นอัศวินที่คอยรับใช้บ้านผู้กล้าหาญครับ”

 

“.....เอาจริงดิ?”

 

“ครับ, เนื่องจากหัวหน้ากลายเป็นอัศวินหลวง, ข้าก็เลยมาเข้าร่วมภาคีด้วย ข้าไม่เคยคิดเลยว่าจะได้มาดึงองค์ชายขึ้นจากน้ำอีกหลังจากที่ข้ากลายมาเป็นอัศวินหลวงแล้ว”

 

“ช่วยเลิกพูดเหมือนข้าตั้งใจทำจะได้ไหม? ครั้งแรกข้าถูกต่อยและครั้งที่สองข้าก็ทำเพื่อช่วยคน ข้าคิดว่ามันไม่น่าจะไปรบกวนเจ้ามากขนาดนั้นไม่ใช่หรอ?

 

“แน่นอนครับ, ท่านพูดถูกที่สุด”

 

พอเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา, อัลก็ถอนหายใจ

 

อันที่จริงเหตุผลที่อัลไม่ได้เผยความรู้สึกขอบคุณออกมานั้นก็เพราะเขาเป็นคนจากบ้านผู้กล้าหาญ

 

หลังจากพูดคุยกันช่วงสั้นๆ, อัลก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

 

“จะว่าไป, ข้ายังไม่รู้จักชื่อเจ้าเลยใช่ไหม? เจ้าชื่ออะไรนะ?”

 

“รองผู้บัญชาการหน่วยสาม, มาร์ค ไทเบอร์, จากนี้ไปก็ขอฝากตัวด้วยนะครับ, องค์ชาย”

 

“งั้นหรอ....ข้าหวังว่าพวกเราจะเก็บความสัมพันธ์นี้เอาไว้ให้สั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้นะ, มาร์ค”

 

“นั่นสินะครับ, เป็นแบบนั้นได้ก็ดีนะครับ”

 

ไม่ว่าฝั่งไหนต่างก็พูดเป็นนัยที่แสดงถึงความคาดหวัง

 

ถึงยังไง, ในสถานการณ์แบบนี้มันก็คงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะตัดความสัมพันธ์ให้สั้น

 

หลังจากนั้น, โดยไม่ทิ้งผู้รอดชีวิตคนไหนเอาไว้, อัลก็สั่งหยุดเรือเป็นพักๆเพื่อช่วยเหลือผู้รอดชีวิตที่ยังอยู่ในทะเล

 

หลังจากที่ช่วยเหลือผู้รอดชีวิตมาได้ทั้งหมดแปดสิบคน, เรือของพวกเขาก็มุ่งหน้าไปที่เมืองหลวงของอัลบราโทร, ซึ่งเป็นเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุด

 

รีวิวผู้อ่าน