px

เรื่อง : ปราณเทวะ เทพหยวน
ตอนที่ 5 ฉี เยว่ , หลิว ซี


“พอๆ งานแสดงจบแล้ว ทุกคนแยกย้ายได้” โจวหยวน โยนศิลาหยกในมือเล่น พร้อมกล่าวขึ้น ทำให้หญิงสาวที่ล้อมรอบนั้นต่างเกิดรอยยิ้มขึ้นมา

 

เมื่อผู้คนได้ยินเช่นนั้นก็มองไปยังโจวหยวน ด้วยความประหลาดใจ เป็นเพราะ โจวหยวน ไม่สามารถเบิกชีพจรได้ซึ่งนั่นทุกคนรู้ดี ดังนั้นหลายๆคนจึงคิดว่า องค์ชายผู้นี้แม้จะมียศฐา แต่ก็ไม่มีพลังแต่ประการใด

 

แต่อย่างไรก็ตามกรอบความคิดนั้นก็ได้พังทลาย

 

โจวหยวน นั้นแม้จะไม่ได้เบิกชีพจร แต่ก็มีพลังด้านอื่น ซึ่งมันก็คือรูปแบบก่อเกิด ด้วยรูปแบบก่อเกิดนี้ แม้เป็น สู่ หลิน ที่เบิกได้ 2 ชีพจรก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา

 

ในโลกนี้ สถานะคือพลังอย่างหนึ่ง และมันง่ายที่จะหยิบคว้า และพลังนั้นก็คือสิ่งที่ได้จากการฝึกฝนและด้วยพลังนี้มันสามารถเปลี่ยนสถานะของคนๆหนึ่งได้

 

“ อย่าทำหายอีกล่ะ” โจวหยวน โยนศิลาหยกในมือให้ ซู โหยวเหว่ยและด้วยกระแสลมเบาๆนั้นทำให้เสื้อของนางพลันปลิวไหวเล็กน้อย เผยให้เห็นส่วนโค้งเว้าเล็กน้อยที่ทำให้ผู้คนต่างตกอยู่ในภวังค์

 

ซูโหยวเหว่ยกัดริมฝีปากด้วยความเขินอายเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า: “ท่านเป็นอะไรมากหรือไม่”

 

เมื่อหญิงสาวสังเกตดีดีก็พบว่า มือของ โจวหยวนน กำลังสั่นเทา

 

“ฮ่า ฮ่า ถูกเจ้าเห็นแล้วสินะ” โจวหยวน กล่าวด้วยรอยยิ้ม แล้วเขาก็ยกมือขึ้น เมื่อเห็นมือเขาก็พบว่ามือเขานั้นแดงก่ำมันเป็นเพราะการใช้หมัดทำลายอันทรงพลังนั้นอย่างแน่นอน

 

“เพราะไม่ได้เบิกชีพจร ข้าเลยคำนวณพลาดไป” เขาถอนหายใจออกมา แม้ว่าจะมีการสนับสนุนจาก รูปแบบมังสาเหล็ก กายาแสง และกระทิงคลั่งที่ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่ง พลังทำลายและความเร็วให้กับร่างของเขา แต่ร่างกายมันก็ยังไม่พอที่จะหลีกเลี่ยงผลกระทบเล็กน้อยที่มาสู่ร่างของเขาได้ เรื่องนี้มันทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยดีนัก

 

“ได้ยินท่านอาจารย์กล่าวว่า รูปแบบก่อเกิดเหล่านั้นจะเพิ่มพลังให้กับร่างกายเป็นเวลาสั้นๆ หากท่านฝึกฝนบ่อยๆ มันอาจจะไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกาย” ซูโหยวเหว่ยกล่าว

 

โจวหยวนพยักหน้าพร้อมกล่าวว่า “ผลกระทบของรูปแบบก่อเกิดขั้นพื้นฐานนั้น ยังเบาๆอยู่”

 

เคยได้ยินว่ารูปแบบก่อเกิดนั้นมีด้วยกันถึง 9 ระดับ และโจวหยวน ในตอนนี้อาจจะยังไม่เข้าขั้นที่ 1 ด้วยซ้ำ นั่นเป็นเพราะรูปแบบก่อเกิด มิอาจเรียนรู้หยิบมาใช้ได้ในเวลาสั้นๆ

 

“ท่านต้องหมั่นฝึกฝนอีก เดือนกว่าๆจะถึงการทดสอบ ท่านต้องใช้รูปแบบก่อเกิดระดับ 1 ให้ได้ มิฉะนั้นการพิชิตสิบอันดับแรก จะเป็นเรื่องยาก ” ซู โหย่วเว่ยขบฟันกับริมฝีปากของนางเห็นได้ชัดว่านางเป็นกังวลมาก

 

การทดสอบของ โจวหยวน ครั้งก่อนนั้นไม่ดีสักเท่าไหร่ เกรงว่ามันจะทำให้เขาถูกนินทาและดูถูก

 

โจวหยวนลูบฝ่ามือของตนเบาๆ แล้วกล่าวว่า: “วางใจได้ ข้านั้นมีหนทางแล้ว.”

 

ดวงตาทั้ง 2 ของเขาเป็นประกายเขานั้นคาดหวัง ในวันที่เข้าไปยังดินแดนบรรพชน เขาหวังว่ามันจะช่วยแก้ปัญหาเรื่อง ชีพจร ทั้ง 8 ได้ หากทำไม่สำเร็จ บางทีเขาต้องทุ่มพลังไปที่การศึกษารูปแบบก่อเกิด

 

เพราะเขาทำได้เพียงต้องเชี่ยวชาญศาสตร์รูปแบบก่อเกิดเท่านั้น นั่นทำให้เขาไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่

 

ซู โหย่วเว่ยมองไปทาง โจวหยวนอย่างเงียบๆ แต่ดวงตาของนางนั้นก็แสดงให้เห็นถึงความปรารถนาดี จากนั้นนางก็ยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า: “ฝ่าบาท ข้าแบ่งยาให้ท่านบางส่วนเอาหรือไม่”

 

“ไม่ต้องหรอก ข้าเกรงว่ามันจะไม่ใช่ไปเรื่องที่ดีนัก” โจวหยวนยิ้ม เพราะเขารู้ดีว่า ซู โหยวเหว่ยนั้นโด่งดังในสำนักต้าโจวไม่น้อย

 

ซู โหยวเหว่ยได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ได้โกรธแต่อย่างใด นางกล่าวขึ้นว่า: “ท่านช่างขี้เกรงใจยิ่งนัก เช่นนั้นข้าจะไม่ยุ่งกับท่านแล้ว ข้าจะไปหอคัมภีร์เพื่อยืมหนังสือเสียหน่อย”

 

นี่คือสิ่งที่นางพอจะสามารถทำได้ เพราะนางนั้นแม้จะสูญเสียครอบครัว แต่ก็ยังมีปู่ของนางอยู่ ดังนั้นเมื่อนางได้มายังสำนักวังต้าโจว นางจึงมิอาจเกียจคร้าน

 

โจวหยวน ได้ยินเช่นนั้นก็ลังเลเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า: “เวลาทดสอบนั้นเหลือเพียงเดือนเดียว ข้าคิดว่าเจ้าควรเอาเวลาไปเปิดชีพจรดีกว่ามิฉะนั้น ข้า ...”

 

“องค์ชาย เพค่ะ!”

 

โจวหยวน ยังไม่ทันกล่าวจบ ก็มีเสียงแทรกขึ้นมา เขามองไปทาง ซู โหย่วเว่ยตอนนั้นเห็นได้ชัดว่านางกำลังเม้มปากอยู่ นางนั้นจ้องมองเขามาอย่างจริงจัง แม้นางจะสุภาพแต่ก็สัมผัสได้ว่านางนั้นกำลังปฎิเสธอยู่: “ท่านช่วยข้ามามาก ท่านเปลี่ยนแปลงชะตาของข้า ข้ารู้สึกขอบคุณท่านจากใจจริง และท่าน ... ก็บอกว่าเราเป็นสหายกันใช่หรือไม่”

 

โจวหยวน ตกใจมาก เขามองไปที่เด็กสาวคนนี้ ก็เห็นนัยน์ตาลึกๆของนางนั้นสั่นเครือเล็กน้อย มันจึงหลบจากการมองเห็นได้ และนี่คือความต้องการของตัวนาง

 

นางรู้ หากนางเปิดปากขอ โจวหยวน เขาจะช่วยเหลือนางทุกอย่าง และบางทีในตอนนั้นความสัมพันธ์ระหว่างนางกับ โจวหยวน จะถดถอยลง

 

นางนั้นอยากจะรักษาความสัมพันธ์นี้ไว้ แต่เนื่องด้วย โจวหยวนนั้นเป็นถึงองค์ชาย สถานะของเขาสูงส่งเทียมฟ้า และนางนั้นเป็นเพียงสามัญชนคนธรรมดา สถานะของ ทั้ง 2 นั้นต่างดุจเหวกับสวรรค์ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะนำไปสู่คำวิจารณ์

 

นางนั้นไม่กลัวคำวิจารณ์ และนางก็ไม่คิดจะให้ โจวหยวน เห็นดำเป็นขาว

 

ดังนั้น หลังจากนางเข้าสำนักต้าโจว นางจึงพยายามทำให้ตัวเองเป็นอิสระไม่พึ่งพาใคร ใช้ความสามารถที่มีเพื่อเปลี่ยนแปลงสถานะระหว่างนางกับเขา

 

แล้วนางก็ทำได้สำเร็จ ในตอนนี้ด้วยพรสวรรค์ของนางทำให้ผู้คนนั้นรู้จักนางในนาม อัจฉริยะที่เบิกชีพจรได้เร็วที่สุด แม้เป็นองค์เหนือหัว จักรพรรดิอย่าง โจวฉิง ก็รู้จักนาง

 

“ก็ได้ก็ได้” เมื่อเผชิญหน้ากับความดื้อรั้นของหญิงสาว โจวหยวน ก็กล่าวขึ้นพร้อมผายมือยอมรับความพ่ายแพ้แล้วกล่าวว่า: “ข้ายอมแล้ว”

 

เมื่อเห็นเช่นนั้น ปากของนางก็โค้งขึ้น ในใจของนางพลันผ่อนคลายลง นางรู้ดีกว่า หากโจวหยวนไม่ยอมนางก็มีทางปฎิเสธได้ เพียงแต่นางรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

 

ในตอนนี้ นางก็รู้ว่า โจวหยวน นั้นเพื่อรักษาความภาคภูมิใจของนาง เขาจึงให้นางจัดการด้วยตนเอง เรื่องนี้มันทำให้นางรู้สึกขอบคุณเขามาก

 

“ฝ่าบาท วางใจได้ข้าให้สัญญา ข้าจะไม่ขี้เกียจคร้านในการฝึกฝน ในการสอบข้านั้นจะทำให้ดีที่สุดและสำนักของเราต้องเป็นที่ 1 ให้ได้” ซู โหย่วเว่ยยิ้ม รอยยิ้มของนางนั้นงดงามและเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

 

ในตำหนักต้าโจวนั้น มีมากกว่าสิบสำนักแต่จะมีเพียง 1 สำนักที่จะขึ้นเป็นที่ 1

 

โจวหยวน พยักหน้า ทันใดนั้นเขาก็ได้หยิบ จี้หยกก่อเกิดรวมปราณ ออกมาพร้อมกับดึงมือของซู โหยวเหว่ยเข้ามาแล้ววางไว้บนมือของนาง

 

“เจ้าอาจจะเคยทุกข์ทรมาณจากการไม่มีครอบครัว สิ่งนี้ข้าไม่ได้ให้เจ้า แต่ให้เจ้ายืมไปก่อน ตอนนี้ข้ายังเปิดชีพจรไม่ได้ จึงไม่สามารถใช้มัน” เมื่อเห็นซูโหยวเหว่ยจะปฏิเสธ โจวหยวนก็รีบกล่าวขึ้นทันที

 

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซู โหยวเหว่ยก็ปิดปากเงียบ เพราะชายตรงหน้านางนั้นพูดด้วยสีหน้าขมขื่น

 

“ข้าไปละ” ซู โหยวเหว่ยรับจี้หยกก่อเกิดรวมปราณ จากนั้นก็กล่าวเสียงเบาและจากไปในทัน

 

“ช่างดื้อรั้นเสียจริง”

 

โจวหยวนมองไปที่แผ่นหลังของหญิงสาวพร้อมส่ายหน้าจากนั้นเขาก็เลือกที่จะเดินจากไป แต่เมื่อเดินได้ไม่กี่ก้าว เขาก็หยุดลงทันที จากนั้นก็หันขึ้นไปมอง ที่ศาลา ในศาลานั้นมีคนสวมชุดไว้ทุกข์มองลงมาด้วยสายตาที่คมราวกับคมดาบ

 

“ฉีเยว่” โจวหยวน นั้นมองไปที่เงาร่างในชุดไว้ทุกข์ ก็ขมวดคิ้วบางๆ

 

ชายในร่างชุดไว้ทุกข์ก็คือองค์ชายจากวังราชันย์ฉี ฉีเยว่

 

เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของ โจวหยวน ฉีเยว่ ก็ยิ้มขึ้นจากนั้นก็คารวะให้กับเขา

 

ในใจของ โจวหยวนพลันแสยะยิ้ม แต่ใบหน้าของเขากลับยิ้มออกมาบางๆ แล้วพยักหน้าให้ และเดินจากไป

 

ในศาลานั้น ฉีเยว่ก็ได้มองส่ง โจวหยวนเดินจากไป ต่อมาใบหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นจริงจังพร้อมกล่าวว่า: “ไม่คิดเลยว่าฝ่าบาท จะเข้าใจรูปแบบก่อเกิดได้ลึกซึ้งถึงเพียงนี้”

 

ด้านหลังของ ฉีเยว่ นั้นมีสาวงามยืนอยู่ รูปลักษณ์ของนางนั้นกล่าวได้ว่างดงามและน่าชัง แต่เมื่อเทียบกับ ซูโหยวเหว่ยแล้วก็นับว่าด้อยกว่าเล็กน้อย

 

ดวงตาของนางมองไปยัง โจวหยวน ด้วยสายตาดูถูกพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “รูปแบบก่อเกิดก็เป็นเพียงเส้นทางเล็กๆเท่านั้นแม้จะบรรลุลึกล้ำเพียงใด ก็มิอาจแปรผันชะตาของตนได้ และด้วยความสามารถที่มีจำกัดก็อาจจะถูกฆ่าโดยคนทั่วไป”

 

นามของนางคือ หลิวซี พ่อของนางนั้นเป็นอำมาตย์ของต้าโจว นาม หลิว โห่ว แน่นอนว่าเขาคือขุนนางระดับสูง อีกทั้งยังกล่าวได้ว่านางยังเกี่ยวดองกับ โจวหยวน อีกด้วย

 

เพราะเมื่อไม่กี่ปีก่อน เมื่อ โจวฉิงสัมผัสได้ถึง อำนาจของวังราชันย์ฉี เขานั้นก็คิดจะหาวิธีที่จะรักษาสมดุลเอาไว้ เขาจึงวางแผนไปที่ หลิว โห่ว โดยเสนองานแต่งงานระหว่าง โจวหยวน กับ บุตรสาวของเขา นาม หลิวซี

 

หลิว โห่วนั้น ลังเลอยู่บ้าง เพราะราชวงศต้าโจวนั้น ขาดแคลนผู้สืบทอดเนื่องจากโจวหยวนมิอาจเบิกชีพจรได้ และ หลิวซี ก็คือบุตรสาวที่เขารักมาก ซึ่งนางนั้นเป็นสตรีที่สูงส่ง และเขาก็คิดว่า โจวหยวนนั้นเป็นองค์ชายขยะ ดังนั้นเขาจึงเลือกปฎิเสธไป เพราะในตอนนั้นมีเรื่องที่กล่าวขานกันถึงองค์ชายคางคกที่ริอาจจะกินเนื้อหงส์

 

เขาจึงใช้เรื่องนี้ปฎิเสธคำขอของ โจวฉิง ไป

 

แม้ว่าเรื่องนี้จะผ่านไปแล้ว แต่เมื่อเห็น โจวหยวน มันก็ทำให้ หลิวซี รู้สึกอึดอัดมาก

 

ฉีเยว่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มกล่าวว่า: “การทดสอบครั้งนี้ ข้าได้จ้างคนมาด้วย หากองค์ชาย โจวหยวน นั้นใช้เพียงรูปแบบก่อเกิด ข้าจะทำให้เขาต้องเสียหน้าแน่นอน .

 

กล่าวจบดวงตาของเขา ก็เปิดกว้างแล้วกล่าวต่ออีกว่า: “แต่พรสวรรค์ ของ ซูโหยวเหว่ยนั้นน่าตกใจยิ่งนัก อนาคตของนางย่อมไร้ขีดจำกัด หากมีโอกาสเจ้าต้องเอาชนะให้ได้”

 

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของ หลิวซี ก็พลันเปลี่ยนเป็นจริงจังแล้วกล่าวว่า: “เบิก 3 ชีพจรหรือ หากมิอาจเอาชนะได้ ก็ต้องกำจัดให้พ้นทาง”

 

ภูมิหลังของ หลิวซี นั้นสูงส่งอีกทั้งยังมีพรสวรรค์มาด้วย ในอดีตนั้น นางคือไข่มุกของต้าโจวอย่าวไม่ต้องสงสัย แต่เมื่อ ซูโหยวเหว่ยปรากฏตัวขึ้น รัศมีของนางก็พลันจืดจางลง การที่ถูกคนธรรมดาก้าวข้ามไปนั้นมันทำให้นางไม่พอใจมาก

 

ฉีเยว่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มขึ้นไม่กล่าวอะไรมาก เขาเพียงมองไปยังทางที่ โจวหยวนหายไปเท่านั้น

 

“ดูเหมือนว่า โจวหยวนจะไม่มั่นใจในตนเอง ดังนั้นเขาจึงต้องหาอัจฉริยะมาช่วย”

 

“โจวหยวน มังกรเทวะแห่งราชวงศ์ โจว ได้กลายเป็นมังกรขยะ”

 

“ดูเหมือนว่าชะตาของราชวงศ์ โจว จะได้จบลงแล้ว ."

 

จบตอน 5

รีวิวผู้อ่าน