px

เรื่อง : ปราณเทวะ เทพหยวน
ตอนที่ 12 อาหารปราณ


 

ในพระราชวัง บรรยากาศค่อนข้างตึงเครียด แวว โจว ฉิว ดุดันเคลือบแฝงจิตสังหาร เห็นได้ชัดว่าการกระทำของ ราชันย์ฉี ได้ทำให้เขาเกิดโทสะ

 

อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุด โจว ฉิง ก็ต้องกัดฟัน พยายามระงับข่มจิตสังหาร เนื่องจากปัจจุบันราชันย์ฉี มีกำลังที่แกร่งกล้า ซ้ำยังมี ราชวงศ์ต้าอู่ให้การสนับสนุนอย่างลับๆ หากกระทำการซึ่งๆหน้า ตาต่อตา แม้ได้รับชัยชนะ แต่กองกำลังแผ่นดินต้าโจวที่พึ่งฟื้นคืนสภาพด้วยเวลาหลายปี ต้องได้รับความสูญเสีย เมื่อถึงยามที่ศัตรูบุก แผ่นดินจะต้องย่อยยับดับสูญ

 

แน่นอนราชันย์ฉีสมควรต้องกำจัด แต่ก็ต้องดำเนินการเป็นขั้นเป็นตอน ปัจจุบัน ต้าโจว ยังไม่สามารถฟื้นกองกำลังใหญ่


โจว ฉิง สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะค่อยๆเอ่ยว่า " การสอบสำนักวังจะมาถึง เหลือเวลา 6 เดือน ใครที่ดูมีโอกาสจะชนะมากที่สุด ? "

 

ชู เทียนหยาง เงียบก่อนจะกล่าว " ในสำนักวังต้าโจว อีกฝ่ายล้วนมีคนที่มีความสามารถโดดเด่น ในสำนักชั้นสอง ฉี เยว่ นั้นเบิกได้ 6 ชีพจร "


" ฉี เยว่ . . ." ใบหน้าของ โจว ฉิง ยามนี้ไม่อาจมองเห็นความปิติ มีเพียงโทสะ กล่าวด้วยเสียงต่ำว่า " บุตรชายคนที่ 2 ของ ราชันย์ฉี ผู้นี้ นับว่ามีความสามารถ "

 

ราชันย์ฉีนั้นมีบุตร 2 คน ซึ่ง ฉี เยว่ ก็คือบุตรคนที่ 2


" บางทีการสอบสำนักวังคราวนี้ อันดับ 1 อาจจะตกอยู่ในมือ ฉี เยว่ ? "

 

ชู เทียนหยาง ได้ยินเช่นนั้นก็ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยว่า " จริงๆก็อาจจะยังไม่แน่ ในสำนักวังต้าโจวยังมีอยู่อีก 1 คน ที่มีพรสวรรค์ ไม่ด้อยไปกว่า ฉี เยว่ หากนางสามารถเข้าสู่สำนักชั้นหนึ่ง ด้วยเวลา 6 เดือนต่อมา ไม่แน่ว่าอาจจะสู้กับ ฉี เยว่ ได้ "


" ใครรึ ? " โจว ฉิง ประหลาดใจมาก ในสำนักวังต้าโจว ยังมีศิษย์คนใดที่สามารถเทียบ ฉี เยว่ ได้


ชู เทียนหยาง ยิ้มขณะที่มองไปยัง โจว หยวน และกล่าว " ฝ่าบาทลืมแล้วหรอพะยะคะ นางก็คือ คนรัก ขององค์ชาย ซู โหย่วเว่ย ? "

 

ได้ยินคำกล่าวของ ชู เทียนหยาง เช่นนี้ โจว หยวน ก็กระอักกระอ่วน ใบหน้าแดงเล็กน้อย ขณะที่เอ่ยขึ้นว่า " โหย่วเว่ย เป็นสหายของเรา หาใช่คนรัก "

 

โจว ฉิง ก็พอจะนึกขึ้นได้ จึงเอ่ยว่า " คนที่เจ้าพูดถึงคงเป็นคนที่ หยวนเอ๋อ แนะนำให้กับสำนักวังต้าโจว ใช่หรือเปล่า ? ข้าได้ยินมาว่า นางเพียงเข้าสำนักวังต้าโจวได้ 1 เดือน ก็สามารถเบิกชีพจรได้ "


ชู เทียนหยาง พยักหน้าพร้อมเอ่ยขึ้นว่า " นางมีนามว่า ซู โหย่วเว่ย ปัจจุบัน นางสามารถเบิก 3 ชีพจร แม้ว่านางจะเข้าเรียนช้า แต่การสอบครั้งนี้ นางย่อมอยู่ชั้นแนวหน้า "

 

" เบิก 3 ชีพจร ? " โจว ฉิง อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ นี่ถือว่าเร็วมาก บางทีหากมีเวลาอีก 1 ปี นางอาจจะเบิก 8 ชีพจร ก้าวสู่ ดินแดนฝึกปราณ

 

สาวน้อยที่ชื่อ ซู โหย่วเว่ย ผู้นี้นับว่ามีความสามารถมาก ในอนาคตนางจะต้องประสบความสำเร็จอันไม่มีที่สิ้นสุด

 

" ดูเหมือนว่า หยวนเอ๋อ จะพาอัจฉริยะมาให้ต้าโจวเรา " โจว ฉิง กล่าวขณะที่ยิ้มให้ โจว หยวน

 

ชู เทียนหยาง ยังคงยิ้มขณะที่เอ่ยด้วยความกังวล " จากข่าวที่กระหม่อมได้รับมา ฉี เยว่ นั้นได้ทำการติดต่อ ซู โหย่วเว่ย มันที่หวังชัยชนะ บางที ซู โหย่วเว่ย หลังจากที่ผ่านการสอบ อาจจะเข้าร่วมกับสำนักชั้นสอง "

 

จากนั้นเขาก็มองไปยัง โจว หยวน พร้อมกับกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า " การที่กระหม่อมมาที่นี่ เพราะต้องการให้องค์ชายช่วย อย่างน้อยๆก็ช่วยให้ ซู โหย่วเว่ย เลือกสำนักชั้นหนึ่ง "

 

โจว หยวน ได้ยินเช่นนั้น แววตาก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจริงจัง เขาไม่คิดว่า ฉี เยว่ นั้นจะเข้าหา โหย่วเว่ย โดยมีความคิดเช่นนั้น เขารู้จัก ซู โหย่วเว่ย ดี ซึ่ง ฉี เยว่ มันคงไม่เชื่อว่าตนจะไม่ชนะ ทำให้เขากังวลว่า ฉี เยว่ นั้นจะหาทางขัดขวาง ซู โหย่วเว่ย

 

" องค์ชายวางพระทัย ตั้งแต่เช้ากระหม่อมได้จัดคนคอยอารักษ์ขา ซู โหย่วเว่ย อย่างลับๆ ไม่มีทางที่ใครจะทำอันตรายนางได้ " คล้ายกับ ชู เทียนหยาง รู้ว่า โจว หยวน กำลังคิดอะไรอยู่ เขาจึงกล่าวขึ้น


โจว หยวน ได้ยินก็วางใจ ขณะที่พยักหน้าและพูด " ท่านเจ้าสำนัก อย่าได้กังวล หลังจากที่สอบเสร็จสิ้น เรา และ โหย่วเว่ย จะเข้าร่วมกับสำนักชั้นหนึ่ง "


ชู เทียนหยาง พยักหน้ารับกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า " ตราบใดที่องค์ชายทำให้ ซู โหย่วเว่ย เข้าสำนักชั้นหนึ่ง กระหม่อมจะหาทาง ทำให้องค์ชายเข้าสู่สำนักชั้นหนึ่ง "

 

ตามกฏ การจะเข้าสำนักชั้นหนึ่งต้องผ่านการทดสอบ ซึ่งมีเพียง 10 สิทธิ์ แต่ โจว หยวน ที่ไม่สามารถเบิกชีพจรได้แม้แต่จุดเดียว ต่อให้สามารถใช้รูปแบบก่อเกิดได้เล็กๆน้อยๆ แต่ก็ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอจะอยู่ 10 อันดับบน ดังนั้น โจว หยวน ที่ต้องการเข้าสำนักชั้นหนึ่ง ชู เทียนหยาง ต้องใช้วิธีการพิเศษ

 

" ปกติเจ้ามักจะเคร่งครัดในเรื่องกฏ วันนี้กับยอมให้อภิสิทธิ์ ดูท่าเจ้าคงจะมีทัศนที่ดีต่อ ซู โหย่วเว่ย มากจริงๆ " โจว ฉิง อดไม่ได้ที่จะกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

โจว หยวน มอง ชู เทียนหยาง กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า " ท่านเจ้าสำนักนี่ถือเป็นเรื่องสำคัญ สำหรับโหย่วเว่ย นี่นับเป็นวาสนา แต่สำหรับเรา ท่านเจ้าสำนักไม่จำเป็นต้องลำบากพาเข้าประตูหลัง เราจะลองพยายามคว้า 10 สิทธิ์สอบ "

 

เมื่อก่อน เขานั้นยังไม่สามารถเบิกชีพจร แต่ละวันศึกษาอยู่กับเพียงรูปแบบก่อเกิด บางทีเขาอาจจะไม่มีวันได้ก้าวหน้า แต่ปัจจุบัน 8 ชีพจรเขาได้ปรากฏ และสามารถเริ่มบ่มเพาะชีพจร เขาจึงไม่กังวลว่าจะตามคนเหล่านั้นไม่ทัน

 

ชู เทียนหยาง ได้ยินคำพูดนั้น ก็ต้องพิจารณา โจว หยวน ด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน ขณะที่สีหน้าเหมือนเตรียมแผนที่จะชักชวนอีกครั้ง

 

" ฮ่าฮ่า ให้เขาลองพยายามดูเถอะ " โจว ฉิง ยกมือปราม ชู เทียนหยาง ขณะที่พูดต่อด้วยรอยยิ้มฉีกกว้าง " บัดนี้ 8 ชีพจรของหยวนเอ๋อ ปรากฏแล้ว จากนี้ไปเขาสามารเริ่มการบ่มเพาะได้ "

 

ชู เทียนหยาง ได้ยินเช่นนั้น ถึงกับต้องตกใจ ใบหน้าปรากฏความสุข พร้อมกับรีบกุมมือผสานแล้วกล่าวว่า " ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท ขอแสดงความยินดีกับองค์ชาย "

 

แล้วเขาก็เข้าใจว่าไฉน โจว ฉิง วันนี้ถึงได้ดูมีความสุขนัก เดิม โจว หยวน ประสบปัญหาไม่สามารถบ่มเพาะ บัดนี้ได้รับการแก้ไข

 

" สำนักชั้นหนึ่งของกระหม่อมจะเฝ้ารอต้อนรับการมาขององค์ชาย ฮ่าฮ่า กระหม่อมชักอดใจรอให้ถึงการสอบอีก 6 เดือนไม่ไหว องค์ชายอาจจะเป็นความหวังของสักนักชั้นหนึ่งของกระหม่อม " ชู เทียนหยาง กล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

แน่นอน ว่าคำพูดตีความได้หลากหลายความหมาย ซึ่งนั้นเป็นการยกยอ ในความคิดของ โจว หยวน ทั้งหมดทั้งมวล แม้ว่าตอนนี้เขาจะสามารถบ่มเพาะชีพจร แต่ก็ยังตามหลังคนอื่นๆ ดังนั้นในระยะเวลาสั้นๆเพียงแค่ 6 เดือน เกรงว่าเขาจะไม่สามารถขึ้นไปอยู่อันดับต้นๆของสำนักวังต้าโจว

 

แต่หลังจากได้กำหนดตัว ซู โหย่วเว่ย บรรลุสำเร็จ ชู เทียนหยาง ก็รู้สึกโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นก็ได้หาลือกับ โจว ฉิง อีกเล็กน้อย ต่อมา ก็ขอตัวอำลา

 

" ตอนนี้ 8 ชีพจรเจ้าก็ปรากฏแล้ว นับแต่พรุ่งนี้เริ่มเตรียมตัวบ่มเพาะ " มอง ชู เทียนหยาง เดินจากไป โจว ฉิง ก็มองมาที่ โจว หยวน แล้วกล่าว


„ตกลง! "

 

ใบหน้าละเมียดละไม โจว หยวน ค่อยๆพยัก แม้ว่าท่าทางของเขาจะดูสงบ แต่แววตาคู่นั้น เสมือนมีเปลวไฟลุกโชน ไม่อาจอดใจรอ

 

. . . . . . .


วันต่อมา

 

บนโต๊ะขนาดใหญ่ โจว หยวน เหยาเหยาที่อุ้มถุนถุน นั่งทางฝั่งขวา ถัดมาทางซ้าย มี โจว ฉิง และ ฉิน หยู่

 

บนโต๊ะ มีชามซุปขนาดใหญ่แทบเท่ากับอ่างล่างหน้า ถูกวางเบื้องหน้าของ โจว หยวน ในนั้นมีชุปสีน้ำตาลใส่อยู่ มีควันลอยออกมาเล็กน้อย ยิ่งเมื่อไฟถูกจุด ก็ทำให้ได้กลิ่นหอมลอยตลบ เพียงแค่สูดดม ก็ทำให้ผู้คนเคลิบเคลิ้มจนหน้าแดง

 

" นี่คือ ซุปเก้าอสูร ประกอบด้วย อสูรปราณระดับหนึ่ง 9 ชนิด เหมาะกับผู้ที่เริ่มบ่มเพาะ ในอดีตเจ้ายังไม่สามารถเบิกชีพจร จึงไม่สามารถกินเนื้อของอสูรปราณ เพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างภาระให้ร่างกาย แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว " โจว ฉิง กล่าวดับ โจว หยวน

 

โจว หยวน พยักหน้า เขารู้ดีว่า ซุปเก้าอสูร เป็นเมนูเฉพาะของเหล่าเชื้อพระวงศ์ ราคาของซุปชามเดียว ที่ไม่จำเป็นต้องขนาดเท่าอ่าง ครอบครัวคนธรรมดา ก็ต้องใช้ค่าใช้จ่ายในส่วนของครึ่งปี จึงจะได้ลิ้มรอง

 

แต่มันเป็นทรัพยากรบ่มเพาะ ดังนั้น จึงไม่แปลก

 

" นอกจากนี้ ข้าวธรรมดาเราจะไม่กิน " โจว ฉิง กวักมือ จากนั้นก็มีสาวใช้ยกชามเงิน ภายในชามสีเงินมีข้าวใส่

 

แต่ทว่าข้าวในชาม มันส่องประกายสะท้อนและโปร่งใส แต่ละเม็ดมีขนาดเท่ากัน แม้ว่าเม็ดข้าวจะมีขนาดเล็ก แต่ว่ามันกลับมี พลังปราณ กระจายผันผวน

 

" นี่คือข้าวผลึกลึกลับ! เป็น อาหารปราณระดับสอง มีพลังปราณบริสุทธิ์อัดแน่น เวลากินง่ายต่อการซึมซับพลัง ไม่นาน ก็จะทำให้เบิกชีพจรได้อย่างรวดเร็ว "

 

" นี่หรอ ข้าวผลึกลึกลับ . . . " โจว หยวน จ้องมองไปยังข้าวในชามด้วยความสงสัย สิ่งที่เรียกว่า ข้าวผลึกลึกลับ ธรรมดาเขารู้จัก เพราะมันเป็นทรัพยากรขึ้นชื่อของ ราชวงศ์โจว

 

ข้าวผลึกลึกลับ บางทีอาจจะมีประสิทธิภาพเหนือกว่า หากเทียบกับ ซุปเก้าอสูร เพราะข้าวผลึกลึกลับเป็นอาหารเบา และ ยังกินติดต่อได้เป็นเวลานาน ทั้งมันยังช่วยในการเบิกชีพจรได้เร็วขึ้น

 

ดังนั้น ข้าวผลึกลึกลับ จึงมักตกอยู่ในมือของเหล่าราชวงศ์ เมื่อมอบให้เป็นรางวัลแก่ผู้ที่สร้างผลงานมีความดีความชอบ

 

ฉะนั้น อย่าได้มองว่า ข้าวผลึกลึกลับ เป็นเพียง อาหารปราณ ระดับ 2 เพราะคุณสมบัติพิเศษและคุณค่าของมัน กล่าวได้ว่าเหนือคำบรรยาย

 

โจว ฉิง มอง โจว หยวน ที่ตาเป็นประกาย ก็พลันยิ้ม เขาไม่อาจรู้ล่วงหน้าว่า โจว หยวน ต้องการข้าวผลึกลึกลับ เนื่องจากตอนนั้น 8 ชีพจรเขายังไม่ปรากฏ จึงไม่มีโอกาสได้รับประทาน

 

" ในราชวงศ์ต้าโจวของเรา เมื่อก่อนมีอาหารปราณ ระดับ 4 ข้าวสาลีโลหิตมังกรฟ้า ประสิทธิภาพมันเป็นเลิศ ผลของมันช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย เสมือนเป็นเกล็ดมังกร มีพลังป้องกันที่น่ากลัว " โจว ฉิง กล่าวหลังจากถอนหายใจ

 

" อาหารปราณระดับ 4 ข้าวสาลีโลหิตมังกรฟ้า ? " โจว หยวน ถึงกับเลียริมฝีปาก เพียงแค่ข้าวผลึกลึกลับ อาหารปราณระดับ 2 ก็ให้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม ไม่รู้ว่า อาหารปราณระดับ 4 ข้าวสาลีโลหิตมังกรฟ้า จะสุดยอดแค่ไหน "

 

โจว ฉิง พยักหน้า ก่อนแววตาจะปรากฏความสลด ได้แต่เอ่ยขึ้นว่า " น่าเสียดาย ในช่วงที่แคว้นต้าโจวถูกต้าอู่ รุกราน ปัจจัยสมบัติ ถูกจักรพรรดิอู่ยึดไป "

 

โจว หยวน ถึงกับสะดุ้งเฮือก ขณะที่กัดฟันแน่น สารเลวจักรพรรดิอู่ กระทั้งทรัพย์สมบัติของต้าโจว มันก็กวาดไปซะเกลี้ยง

 

" เจ้าทานก่อน เมื่อทานเสร็จ ก็เตรียมไปฝึกฝน " โจว ฉิง พยายามข่มอารมณ์ ยามที่เอ่ยกับ โจว หยวน

 

สิ่งนี้มันทำให้ โจว หยวน มุ่งมั่นเพียรพยายาม แม้ว่า จักรพรรดิอู่ จะน่าชิงชังคั่งแค้น แต่ที่เขาทำได้ตอนนี้ก็คือกิน แล้วรีบไปฝึกฝนบ่มเพาะ เมื่อเขามีพลังที่น่ากลัว เขาจะเป็นผู้คว้าสิ่งที่ ต้าโจว เคยสูญเสียกลับมา

 

เบื้องหน้า เหยาเหยา เองก็มีชามใส่ซุปเก้าอสูร รวมถึงข้าวผลึกลึกลับเช่นกัน

 

" เหยาเหยา เจ้าเองก็ควรจะทาน หากชอบ ไว้จะทำให้เจ้าอีก " ฉิน หยู่ พูดพร้อมกับมองไปยัง เหยาเหยา ด้วยรอยยิ้ม

 

เหยาเหยา รับรู้ว่า ฉิน หยู่ นั้นมีเจตนาดี จึงพยักหน้าลงเบาๆ ก่อนจะดื่มซุปเก้าอสูร ดูเหมือนนางจะไม่เคยทานซุปอสูรเหล่านี้จึงสนใจเป็นอย่างมาก จากนั้นนางก็ตักข้าวผลึกลึกลับเข้าปากเล็กๆเพื่อลิ้มลอง

 

„ อื้ออื้อ ”

 

เวลานั้นถุนถุน มองมาที่นาง ขณะที่แกว่งหางดุกดิก ส่งเสียง อู้อี้ ดูน่าสงสาร

 

เหยาเหยา หันไปมองทีหนึ่ง ก็รู้ว่ามันต้องการ ซุปเก้าอสูร

 

" เหยาเหยา ซุปเก้าอสูรรุนแรงเกินไป สัตว์เลี้ยงไม่สามารถกิน . . . . " โจว ฉิง เห็นเช่นนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

ง้ำ!!!

 

แต่เขายังพูดไม่ทันจบ ก็พบว่า ถุนถุน อ้าปาก พร้อมกับเขมือบชามใส่ซุปเก้าอสูร เข้าไปในปากที่ใหญ่โต

 

เมื่อกลืนเขมือบซุปเก้าอสูรเข้าไป ถุนถุนก็ส่งเสียงเรอ ขณะที่ใช้อุ้งมือตบท้อง

 

มันทำตากลมโต คล้ายกับแสดงความรู้สึกเฉยเมยออกมาทางสีหน้า

 

โจว ฉิง มองถุนถุนที่ไม่แสดงความรู้สึก ขณะที่สีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

 

" เสด็จพ่อ ถุนถุน มันเป็นสัตว์พิลึกผิดปกติ " เห็นเช่นนั้น โจว หยวน ก็ไม่สามารถอดที่จะกล่าวขึ้นพร้อมกับหัวเราะแห้งๆ

 

เจ้า ถุนถุน ที่หมายถึงกลืนกินแล้วก็กลืนกิน อย่าว่าแต่ชามใส่ซุปเก้าอสูรเพียงชามเดียว กระทั้ง หินขนาดใหญ่มันก็เขมือบมาแล้ว

 

โจว ฉิง ได้แต่พยักหน้าด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น ขณะที่หยิบขวดหยก รินใส่จอกมรกต จากนั้น สุราก็ไหลออกมา

 

ขณะที่สุรา ถูกรินออกมาอย่างเงียบสงัด เหยาเหยา เลิกคิ้วหลังจากได้ลิ้มลองรสชาติข้าวผลึกลึกลับ ในพริบตานั้นนางถึงกับตาสว่างเมื่อมองไปยัง โจว ฉิง

 

" พอจะแบ่งให้ข้าบ้างได้หรือไม่ ? " โจว หยวน, ฉิน หยู่ ถึงกับจ้อง เหยาเหยา ด้วยความตะลึง ปกตินางมักจะเฉยชาสงวนท่าที แต่ในยามนี้ใบหน้ากลับปราฏความกระหายอย่างรุนแรง

 

โจว ฉิง เองก็จ้องมองด้วยความตะลึง โดยเฉพาะตอนที่เขามองไปยัง ฉิน หยู่ เนื่องจากเกรงว่าจะถูกบ่น ก่อนจะเปยตาไปยังหญิงสาว ด้วยความลำบากใจ ได้แต่กล่าวขึ้นว่า " นี่เป็นสุราบ่มมีฤทธิ์รุนแรง ไม่เหมาะที่แม่หนูจะดื่ม "

 

อย่างไรก็ตาม เหยาเหยา ยังคงยืนกรานเช่นเดิม ด้วยแววตาที่เป็นประกายทำให้ โจว ฉิง ได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น ก่อนที่จะหยิบขวดหยกที่ใส่สุราบ่ม ยื่นให้กับ เหยาเหยา

 

เหยาเหยา จับขวดสุรา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นลำคอที่เนียนประดุจดั่งหงส์ ก่อนที่จะยกขวดสุราเทเข้าปาก อึกใหญ่ จนขวดหยกว่างเปล่าหมดจรด ก่อนที่หน้าจะปรากฏสีแดง

 

" รสชาติเยี่ยม " เหยาเหยา กล่าวด้วยเสียงที่ไพเราะ

 

ฉิน หยู่ ค้อน โจว ฉิง ครั้งหนึ่ง โจว ฉิง ก็ได้แต่ถือจอกสุราค้าง เขาไม่รู้มาก่อนว่า หญิงสาวลึกลับ ที่มักจะไม่แยแสสิ่งใด กลับหลงใหลการดื่มสุรา

 

บริเวณใกล้เคียง โจว หยวน เองก็ได้ลิ้มลอง แต่เมื่อเห็น เหยาเหยา ดื่ม ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความตะลึงต้องปรากฏ

 

สุราบ่ม 1 ขวด เมื่อถูกซดซะเกลี้ยงเป็นที่เรียบร้อย เหยาเหยา ก็เตรียมที่จะลุกจาก ด้วยความซาบซึ้งขอบคุณนางจึงถกแขนเสื้อเบาๆ ก่อนที่จะมีแสงรำไรปรากฏอยู่เบื้องห้นา ฉิน หยู่

 

" ป้าฉิน ข้าเห็นว่ากลิ่นอายท่านนั้นดูอ่อนแอ แสดงว่าร่างกายของได้รับความเสียหายอย่างสาหัส สิ่งนี้คือเคล็ดลับของข้า " เหยาเหยา กล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

จากนั้นกลุ่มแสงที่ส่องสว่างก็ค่อยๆคลี่ออก ในที่สุดก็เปลี่ยนเป็นดอกบัวขนาดเท่าฝ่ามือ ภายในดอกบัว มีเมล็ดบัวสีฟ้า 8 เม็ด รอบๆส่องแสงสีฟ้าระยิบระยับ

 

" นี่คือ ? " ฉิน หยู่ มองดอกบัวสีฟ้า

 

สีหน้าท่าทางของ โจว ฉิง เวลานั้นถึงกับเปลี่ยนแปลง ขณะที่พูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ " นี่คือเมล็ดบัวหยกฟ้า เป็น พืชปราณหาได้ยากยิ่ง มันสามารถซ่อมแซมอวัยวะ ร่างกาย "

 

โจว ฉิง ยังคงกล่าวด้วยความซับซ้อน " สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก มันมีประโยชน์ต่อร่างกายเจ้าอย่างมหาศาล หากเจ้าใช้เมล็ดบัวหยกฟ้านี้ มันจะช่วยฟื้นฟูอวัยวะที่เสียหายให้เจ้า "

 

เมล็ดบัวหยกฟ้านี้หาได้ยากยิ่ง กระทั้งสมัยที่ราชวงศ์โจวยิ่งใหญ่ ก็ไม่ค่อยจะได้พบเห็น

 

ฉิน หยู่ ได้ยินเช่นนั้น ก็รีบส่ายหน้า " เหยาเหยา แค่สุราบ่ม 1 ขวด ไม่จำเป็นต้องตอบแทนขนาดนี้ "

 

เหยาเหยาเพียงแค่ยิ้ม ขณะที่อุ้ม ถุนถุน เดินจากไป ขณะที่ทั้ง 3 คนที่นั่งร่วมโต๊ะถึงกับพูดอะไรไม่ออก

 

โจว หยวน เกาหัวแล้วกล่าวขึ้นว่า " เสด็จแม่ รับไว้เถอะ หากมีโอกาสไว้ค่อยชดเชยให้ พี่สาวเหยาเหยา "

 

การกระทำของเหยาเหยา ทำให้ภายในใจเขารู้สึกซาบซึ้ง โดยเฉพาะหลังจากที่เขารู้ว่า ฉิน หยู่ อ่อนแอเช่นนี้ เพราะเขาเป็นตัวต้นเหตุ

 

ฉิน หยู่ และ โจว ฉิง ได้แต่มองหน้ากันไปมา ขณะที่เลือกจะพยักหน้า โดยที่ภายในใจรู้สึกรักใคร่เอ็นดู เหยาเหยา มากยิ่งขึ้น

 

โจว หยวน ยิ้มก่อนจะยกชามซุปเก้าอสูร เทใส่ปาก ดึงเอือกเอือก ราวกับร่ำสุรา โดยไม่คิดจะเหลือทิ้งไว้แม้แต่หยดเดียว

 

หลังจากดื่มซุปเก้าอสูรจนเกลี้ยง เขาก็หยิบชามใส่ ข้าวผลึกลึกลับ 2 - 3 ชาม ยัดลงไปในกระเพาะอหาร

 

" อร่อย! " โจว หยวน กล่าวชื่นชมความนุ่มนวลและมีกลิ่นหอมปลายๆของข้าวผลึกลึกลับ

 

* เอิ้ก *

 

ต่อมาอีกไม่กี่นาที โจว หยวน ก็เก็บกวาดสิ่งที่อยู่ในชามจนเกลี้ยง เวลาเดียวกันก็จะเห็นปราณสีขาว ลอยอบอวลรอบๆเขา เวลานี้ใบหน้าของเขากลายเป็นสีแดง เสมือนกับร่างกายเป็นเตาที่มีแต่ควันลอยรอบทิศทาง

 

ภายในร่างกายรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายพลัง โจว หยวน เลียริมฝีปาก ดวงตาเสมือนมีเปลวไฟลุกโชน และแล้วบัดนี้ ก็ได้เวลาเริ่มบ่มเพาะในที่สุด!

 

จบตอนที่ 12

 

รีวิวผู้อ่าน