ขอแก้ชื่อบริษัทจากไอจินเป็นอะจินครับพอดีผมสะกดผิด
....................................
เหมือนกับชื่อของมัน, บริษัทอะจินนั้นคือบริษัทที่บริหารโดยพวกกึ่งมนุษย์
สมาชิกทุกคนเป็นกึ่งมนุษย์ แม้ว่ามันจะดึงดูดความสนใจเพราะลักษณะที่พิเศษนี้, แต่เนื่องจากความหลากหลายของสมาชิก, คุณภาพชิ้นงานของพวกเขาจึงยอดเยี่ยมกว่าบริษัทอื่นมาก
งานแบกหามสัมภาระจะจัดสรรค์ให้กึ่งมนุษย์ที่มีร่างกายแข็งแรง งานจัดส่งสำหรับพวกที่มีฝีเท้าว่องไว้ งานเก็บเกี่ยวสำหรับพวกที่มีประสาทสัมผัสทางการรับกลิ่นดี
กึ่งมนุษย์แต่ละคนจะมีสาขาที่เชี่ยวชาญเป็นของตัวเองซึ่งพวกเขาจะสามารถปฏิบัติได้เก่งกว่ามนุษย์ ถ้าพวกเขาถูกจัดสรรค์ให้อยู่ในสาขางานที่เหมาะสม, มันก็เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ดีกว่าได้
ด้วยการทำแบบนี้, บริษัทอันแสนยอดเยี่ยมนี้จึงค่อยๆขยายอิทธิพลขึ้นโดยเริ่มจากฝั่งตะวันออกของทวีปและตอนนี้พวกเขาก็มาตั้งสาขาในเมืองหลวงของจักรวรรดิ นอกจากนี้ ,บริษัทนี้ยังมีผู้นำเป็นแวมไพร์ลึกลับที่ไม่เคยโผล่หน้ามาให้สาธารณะเห็นด้วย
ทั้งหมดนี้คือบริษัทอะจิน
ลินเฟียกับฟีเน่กำลังมุ่งหน้าไปที่สาขาเมืองหลวงจักรวรรดิ
“พวกเขาพึ่งจะตั้งสำนักงานสาขาขึ้นมาและกำลังจะเริ่มธุรกิจที่นี่แต่ว่าเหตุการณ์ทางฝั่งตะวันออกก็เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน นั่นจึงเป็นสาเหตุที่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ยังไม่ได้เปิด, และมันก็ยังไม่มีป้ายร้านที่สำนักงานของพวกเขาด้วย หัวหน้าของพวกเขาเป็นแวมไพร์และจักรพรรดิก็พึ่งจะถูกแวมไพร์โจมตี ดังนั้นมันก็เลยทำให้ตอนนี้จักรวรรดิอ่อนไหวกับพวกกึ่งมนุษย์มากขึ้น ข้าคิดว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดในส่วนของพวกเขา”
“งั้นหรอคะ? ข้าคิดว่าถ้าพวกเขาไม่ได้ทำเรื่องไม่ดีพวกเขาก็ไม่น่าจะถูกรังเกียจนะคะ พวกเขาดูไม่เหมือนกับพวกที่โจมตีจักรพรรดิเลยไม่ใช่หรอ......?”
“ถ้าทุกคนคิดแบบท่านฟีเน่ก็คงไม่มีปัญหาหรอกค่ะแต่ในโลกนี้ไม่ได้มีแค่คนดีๆแบบท่านนะคะ มีหลายคนที่ไม่ได้มองคนร้ายเป็นตัวบุคคลแต่พวกเขาจะเหมารวมกึ่งมนุษย์ทั้งหมด, ด้วยอคติที่ติดตัวพวกเขา”
ลินเฟียกำลังคิดว่าฟีเน่เป็นคนมีคุณธรรม
เธอไม่ได้เป็นแค่คนนอก, เธอคือหนึ่งในเหยื่อของเหตุการณ์นั้น แต่ว่า, เธอก็ยังไม่มีอคติกับพวกแวมไพร์หรือเผ่ากึ่งมนุษย์อื่นๆเลย
มันคือหลักฐานที่บ่งบอกว่าเธอไม่ได้ตัดสินคนจากฐานะหรือเผ่าพันธ์ของพวกเขา ในเมื่อเธอมองคนกระทำผิดเป็นตัวบุคคุล, เธอก็จะไม่เชื่อมโยงพวกเขากับสิ่งอื่นหรือคนอื่นเพื่อระบายความเกลีดชังของเธอ
อย่างไรก็ตาม, ลินเฟียคิดว่าฟีเน่ควรจะรู้เอาไว้ว่าแนวคิดของเธอนั้นถือว่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
และนี่ก็คือเหตุผลที่เธออยากเตือนสติฟีเน่ที่ดูเหมือนจะลืมความจริงนั้น
“ท่านฟีเน่คะ สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์นั้นล้วนมีความคิดเป็นของตัวเอง ท่านเข้าใจในเรื่องนี้ใช่ไหมคะ?”
“แน่นอนค่ะ”
“ถ้างั้นท่านก็น่าจะเข้าใจว่ามันมีกรณีที่ความคิดในเรื่องหนึ่งๆของท่านไม่ตรงกับความคิดของคนอื่นด้วย ข้าไม่ได้มีอคติอะไรกับพวกกึ่งมนุษย์แต่ถ้าท่านไปพูดกับคนที่อคติกับพวกกึ่งมนุษย์, คนผู้นั้นก็อาจจะมองว่าท่านสนับสนุนกึ่งมนุษย์ได้ และนั่นก็จะเป็นผลเสียกับท่านและขุมอำนาจของท่านด้วย ถ้าท่านนึกถึงพวกองค์ชายท่านก็ควรจะระวังในตอนที่ท่านอยากฝังความคิดแบบนั้นให้คนอื่นนะคะ”
“นะ, นั่นสินะ....ถูกที่สุดเลย มันเป็นความผิดของข้าเองแหล่ะ”
พอเห็นฟีเน่ตัวสั่น, ลินเฟียก็รู้สึกเหมือนกับเธอพึ่งทำเรื่องไม่ดีลงไป อย่างไรก็ตาม, ลินเฟียยังไม่ได้ทำอะไรเพื่อปลอบเธอ
ในเมื่ออัลขอให้เธอดูแลฟีเน่เพื่อแลกเปลี่ยนกับการช่วยหมู่บ้านของเธอ, ลินเฟียจึงรู้สึกว่าเธอจะต้องรับผิดชอบฟีเน่
ในฐานะนักผจญภัย, เธอต้องทำงานหนักเพื่อให้ได้รางวัล
อย่างน้อยเธอก็ต้องปกป้องขุมอำนาจนี้และทำให้ฟีเน่ได้เครดิตจากเรื่องบางอย่าง ถ้าแค่ปัจจัยขั้นต่ำสุดเธอยังทำไม่ได้เธอก็ไม่สามารถร้องขอรางวัลได้
ยิ่งไปกว่านั้น, อัลยังจ้างกลุ่มของอาเบลให้คอยปกป้องหมู่บ้านของเธอเอาไว้อีก
ไม่ว่าจะเป็นปริมาณงานที่มากแค่ไหนมันก็ถูกจำนวนเงินที่เขาจ่ายไปบดบังหมดแล้ว
ในฐานะซิลเวอร์, อัลมีเงินมากมายมหาศาลดังนั้นเขาจึงจ่ายให้กับมันได้โดยไม่ต้องหยุดคิดเลยแต่ในฐานะเจ้าชาย, นั่นคือจำนวนเงินที่ต้องใช้ความพยายามระดับนึงถึงจะได้มา
และนี่ก็คือสิ่งที่กระตุ้นความรู้สึกถึงหน้าที่รับผิดชอบของลินเฟีย
“ครั้งนี้อีกฝ่ายเป็นตัวแทนของบริษัทใหญ่ ถ้าท่านกล่าวอะไรออกไปโดยไม่ระมัดระวัง, มันก็มีโอกาสสูงที่ท่านจะถูกพวกเขาหลอกลวงด้วยวิธีการบางอย่าง เพราะฉะนั้นช่วยระมัดระวังด้วยนะคะ”
“ค, ค่ะ!”
ลินเฟียพยักหน้าให้ในขณะที่เธอเห็นสีหน้าที่จริงจังของฟีเน่
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง, รถม้าก็หยุดลง
พวกเขามาถึงบริษัทอะจินสาขาเมืองหลวงของจักรวรรดิแล้ว
.....
สำนักงานสาขานั้นตั้งอยู่ในทำเลที่เงียบสงบของเมืองหลวงจักรวรรดิ
มันแทบจะไม่มีใครอยู่แถวนี้
พอเข้ามาในสำนักงาน, พวกเขาก็ได้พบกับเอลฟ์ผมบลอนด์ที่ดูเหมือนจะเป็นเลขาของตัวแทน, เธอทำหน้าที่เป็นไกด์นำทางในสำนักงาน
ไม่มีใครพูดอะไร
พวกเธอเดินตามเลขาที่อยู่ข้างในอาคารสำนักงานใหญ่และมาหยุดลงที่หน้าประตูสีแดง
“เชิญค่ะ, ท่านตัวแทนกำลังรออยู่ข้างใน”
“ค่ะ”
พอพูดจบ, เลขาก็เปิดประตูให้
ทั้งสองคนเดินเข้าไปในห้องแต่ไม่มีใครอยู่ข้างในเลย
ในตอนที่พวกเธอรู้สึกตัวถึงเรื่องนี้, เลขาก็ออกจากห้องไปแล้ว
“พวกเรามาผิดห้องรึเปล่า?”
“ข้าไม่คิดว่าคนนำทางจะทำเรื่องผิดพลาดแบบนั้นหรอกนะคะ การให้แขกมารอที่ห้องรับรองก่อนถือเป็นเรื่องพื้นฐานที่ควรทำเพราะฉะนั้นมานั่งรอกันเถอะค่ะ”
ลินเฟียกระตุ้นให้ฟีเน่ไปนั่งบนโซฟาอย่างใจเย็น
หลังจากลังเลอยู่เล็กน้อย, ฟีเน่ก็เริ่มชงชาโดยใช้อุปกรณ์ที่อยู่บนโต๊ะ
“คุณลินเฟียจะรับชาด้วยไหมคะ?”
“ข้าทำหน้าที่เป็นคนอารักขาท่านอยู่เพราะฉะนั้นตอนนี้ไม่ต้องสนใจข้าหรอกค่ะ ในตอนที่พวกเราเสร็จจากที่นี้แล้วข้าค่อยขอรบกวนท่านใหม่”
“งั้นหรอ...แต่ดื่มชาคนเดียวมันไม่สนุกนี่หน่า.....”
ด้วยความเหงาหงอย, ฟีเน่ก็ดื่มชาคนเดียว
ทันใดนั้นเอง, ที่ข้างหลังฟีเน่จู่ๆก็มีมือข้างนึงยื่นออกมาจากฝั่งของลินเฟีย
แม้ว่าจะตกตะลึง, แต่ลินเฟียก็สามารถจับมันเอาไว้ได้ก่อนที่จะถึงตัวฟีเน่
อย่างไรก็ตาม
“อุ๊ยตาย, น่าเสียดายจัง ข้าอยากจะเพลิดเพลินกับความรู้สึกของเจ้าหญิงนกนางนวลสีน้ำเงินซักหน่อยแต่เอาเถอะ, คนอารักขาเองก็น่ารักเหมือนกันนะ”
พอพูดจบ, คนๆนั้นก็ปรากฎตัวขึ้นถัดจากลินเฟียโดยใช้ช่องว่างจากตอนที่ลินเฟียปกป้องฟีเน่เพื่อวนเข้าหลังของเธอแล้วเริ่มใช่มือทั้งสองข้างขยำหน้าอกของเธอจากด้านหลัง
“อ้าา!?”
“อุ๊ย, ข้าคิดว่าหน้าผิดหวังไปหน่อยนะ แต่มันยังโตได้อยู่! อดทนเอาไว้หล่ะ!”
“หา!”
ลินเฟียที่เพลี่ยงพล้ำพยายามจะชักดาบเวทมนตร์ออกมาแต่ถูกฟีเน่หยุดเอาไว้ได้
“คุณลินเฟีย ใจเย็นก่อนค่ะ”
“ท่านฟีเน่....?”
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ข้าฟีเน่ ฟ็อน ไคลเนลต์ ข้าคิดว่าท่านคงเป็นตัวแทนของบริษัทอะจินสินะคะ? แล้วก็กรุณาปล่อยผู้อารักขาของข้าด้วย ถ้าท่านยืนกรานที่จะเล่นเลยเถิดไปกว่านี้ข้าก็พร้อมที่จะเดินทางกลับเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า, อย่าทำหน้าตาน่ากลัวแบบนั้นสิ นี่มันก็แค่การสกินชิพกันเฉยๆ, แค่สกินชิพหน่ะ เอาหล่ะ, ข้าคือตัวแทนของบริษัทนี้เอง”
หญิงผมเงินพูดด้วยรอยยิ้มอ่านยาก
เธอมีผมสั้นหยักศกและมีม่านตาสีแดงอมม่วง
เธอมีบรรยากาศของผู้ใหญ่แต่ลักษณะภายนอกของเธอนั้นดูสาวมาก เธอดูเหมือนกับวัยรุ่นตอนปลายช่วงยี่สิบต้นๆ อย่างไรก็ตาม, อายุของแวมไพร์นั้นไม่สามารถคาดเดาจากรูปลักษณ์ของพวกเขาได้ดังนั้นฟีเน่จึงหยุดคิด”
ผู้หญิงที่มีผิวหนังสีขาวและความงดงามของแวมไพร์ รูปลักษณ์ภายนอกของเธอนั้นไม่ได้ด้อยกว่าเลยต่อให้เปรียบเทียบกับฟีเน่ก็ตาม ถ้ามีผู้ตัดสินเป็นผู้ชายร้อยคน, คะแนนเสียงก็คงจะถูกแบ่งเป็นครึ่งๆ
ผู้หญิงผมเงินคนนี้เผยรอยยิ้มอารมณ์ดีที่ทำให้บรรยากาศดูเป็นมิตรออกมาแล้วเดินไปที่โต๊ะของเธอ
เธอนั่งลงบนโต๊ะด้วยท่าไขว่ห้างแล้วมองตรงมาที่ลินเฟียกับฟีเน่
“ข้าคือตัวแทนของบริษัทอะจิน, ยูริยะ เจ้าอาจจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้วแต่ข้าเป็นแวมไพร์ ข้าชอบเด็กสาวน่ารักแล้วก็เงินด้วย สิ่งที่ข้าเพลิดเพลินก็คือการสัมผัสกับเด็กสาวน่ารักแล้วก็หาเงิน ยินดีที่ได้รู้จักนะ!”
พอได้ฟังคำแนะนำตัวที่ดูตรงจนเกินไปของยูริยะ, ลินเฟียก็ตระหนักได้ถึงความผิดพลาดของเธอ
นี่อาจจะเป็นสถานที่ที่เธอไม่ควรพาสาวงามแสนล้ำค่าอย่างฟีเน่มาก็ได้
อย่างไรก็ตาม, ฟีเน่นั้นยอมรับฟังการแนะนำตัวของยูริยะอย่างเยือกเย็นโดยไม่ต้องเตือนอะไรเลย
“ข้าเองก็ชอบผู้หญิงน่ารักเหมือนกันค่ะ, คุณยูริยะ”
“หรอ! ไม่นึกเลยนะเนี่ยว่าพวกเราจะคลื่นตรงกัน, พวกเราอาจจะสนิทกันขึ้นมาจริงๆก็ได้นะ, ฟีเน่”
ฟีเน่ไม่ได้ตกใจกับการที่จู่ๆก็ถูกเรียกชื่อโดยไม่มีคำนำหน้าดังนั้นลินเฟียจึงทำอะไรไม่ได้ และเธอก็รู้สึกตัวแล้วว่าการรับมือกับเธอคนนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย
พอเห็นลินเฟียในสภาพนี้, ยูริยะก็ยิ้ม
“ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้ ตอนนี้พวกเราอยู่ในโหมดคุยงานแล้ว ถ้าเจ้าสามารถสร้างผลกำไรให้ข้าได้ข้าก็จะมอบของขวัญให้เจ้าเป็นการตอบบแทน เจ้าอยากให้พวกเราเป็นพันธมิตรในสงครามผู้สืบทอดใช่ไหมหล่ะ? ถ้างั้นมาเริ่มเจรจากันเถอะ”
พอพูดจบ, ยูริยะก็กลายเป็นคนคุมการต่อรองในครั้งนี้แล้ว
และเมื่อเห็นแบบนี้, ลินเฟียก็เริ่มรู้สึกผิดกับการตัดสินใจของเธออีกครั้ง
ยูริยะไม่ใช่แค่แม่ค้าธรรมดา บางทีเธอน่าจะใช้ชีวิตมานานกว่าปู่ย่าของฟีเน่หรือลินเฟียซะอีก, เธอผ่านสงครามการค้ามาเป็นร้อยในขณะที่ถูกผูกรั้งด้วยชะนักที่เรียกกว่ากึ่งมนุษย์ เธอพัฒนาบริษัทขึ้นมาจากบริษัทเล็กๆสู่บริษัทยักษ์ใหญ่ในทุกวันนี้
ตอนแรกลินเฟียคิดว่าเธอจะสามารถดำเนินการเจรจานี้เพื่อสร้างความได้เปรียบให้พวกเขาได้แต่จากท่าทีของยูริยะนั้น เธอเหมือนกับตัวแทนแห่งความใจนิ่ง เธอครองกระแสของการเจรจานี้ได้อย่างสมบูรณ์
ตอนนี้จะเอายังไงต่อดีนะ?
ในขณะที่ลินเฟียคิดแบบนั้นอยู่เอง
ฟีเน่ก็ใช้ไพ่ที่แข็งแกร่งที่สุด, อย่างรวดเร็วสุดๆ
“ชิปต่อรองก็คือข้าเอง ข้าจะมอบสิทธิในการใช้ข้าเพื่อแลกเปลี่ยนกับการให้พวกเรายื่มอำนาจ”
ลินเฟียตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่ไวเกินเหตุนี้แต่สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือยูริยะเองก็ตกใจเหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม, เธอดึงสติกลับมาได้อย่างรวดเร็วแล้วเผยรอยยิ้มที่ไร้ซึ่งความกลัวออกมา
“ถ้าเจ้าให้สิทธินั้นข้าอาจจะทำอะไรบางอย่างที่ดูไม่เหมาะสมกับบุตรีจากบ้านดยุคก็ได้นะรู้ไหม?”
“เชิญเลยค่ะ”
ด้วยการตอบกลับอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้มันก็ถึงคราของยูริยะที่ถูกกดดันด้วยรอยยิ้มของฟีเน่