เมื่อดวงตาของโจว หยวน หดลง ซู โหยวเหว่ย ก็หันไปมองชายหนุ่มที่กล่าวแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า "เป็น นายน้อยหลิน นี่เอง แต่เกรงว่าข้าจะไม่ว่าง "
เมื่อถูกปฏิเสธ หลิง เฟิง มิได้มีท่าทีไม่พอใจ เพียงยิ้มแล้วกล่าวว่า: "หากเป็นเช่นนั้น ก็ต้องรอโอกาสหน้าแล้ว "
เขาไม่ได้เร้าหรือแต่อย่างใด ซึ่งเขาได้ตอบกลับออกไปอย่างมีมารยาท
อย่างไรกับด้วยท่าทีเช่นนี้ ทำให้ ซู โหยวเว่ยพลางถอนหายใจ เพราะคนประเภทนี้เป็นคนประเภทที่ยากจะรับมือด้วย
โจว หยวน ที่อยู่ด้านข้างนั้นไม่กล่าวอะไร เพียงยิ้มบางๆให้หลิน เฟิง และจากไปพร้อมกับ ซู โหยวเว่ย
เมื่อเห็นทั้ง 2 เดินจากไปนั้นสีหน้าของเขาก็พลันมืดมนลง
"หึหึ ความหวังของเจ้า ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีนะ " หลิน เฟิง หันไปมองทันทีเมื่อได้ยินเสียงนั้น แล้วเขาก็พบฉี เยว่ในชุดขาวมองมายังเขา
"องค์ชายน้อย " หลิน เฟิง มองไปที่ ฉี เยว่ พร้อมประสานมือก้มหัวเล็กน้อย
ฉี เยว่ ยืนด้านข้าง หลิน เฟิง พร้อมมองไปยัง ทางที่โจว หยวน จากไปแล้วยิ้มบางๆกล่าวว่า "ฝ่าบาทของพวกเราแม้ว่าจะไม่สามารถเบิกชีพจรได้ แต่ก็ยังมีสถานะอันสูงส่ง นอกจากนี้เขายังมีพระคุณต่อ ซู โหยวเว่ย เป็นล้นพ้น เกรงว่าเจ้าจะไร้โอกาสแล้ว "
ดวงตาของ หลิน เฟิง พลันปรากฏความเป็นกังวลขึ้นเล็กน้อย
"เจ้าคิดว่าจะเปลี่ยนใจ ซู โหยวเว่ยได้หรือไม่ " เมื่อเห็นว่าตนไม่สามารถช่วยได้ ฉี เยว่ก็ทำได้เพียงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
"ซู โหยวเว่ย แม้จะเป็นคนธรรมดา แต่นางกลับมีความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองได้ ในอนาคตนั้น นางต้องกระโจนขึ้นเหนือน้ำแน่นอน " หลิน เฟิง กล่าว
ฉี เยว่พยักหน้าแล้วกล่าวว่า: "เป็นเช่นนั้นจริงๆ ด้วยพรสวรรค์ ซู โหยวเว่ย อนาคตย่อมไม่มีปัญหาดูเหมือนว่าฝ่าบาทโจว หยวนนั้นมีโชคที่ดีนักที่สามารถจับคนธรรมดา และเปลี่ยนเป็นอัจฉริยะได้ "
หลิน เฟิง ได้ยินเช่นนั้นก็ดวงตาเป็นประกายราวไฟลุกกล่าวอย่างช้าๆว่า: "ดังนั้นข้าจะไม่ยอมแพ้ "
ฉี เยว่ยิ้มบางๆ กล่าวว่า: "ทั้งเจ้าและพวกเราล้วนแต่เหนือกว่าฝ่าบาทนัก หากเขาไม่มีสถานะองค์ชาย เกรงว่ากระทั่งจะให้เจ้าเหลือบชายตามอง ข้าว่าเขาก็ยังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ"
หลิน เฟิงไม่กล่าวอะไร แต่ในตอนนั้นความภาคภูมิใจของเขาพลันกลับมา เพราะในความคิดของเขา หาก โจว หยวนไม่ได้เป็นองค์ชาย บางทีเขาอาจไม่มีสิทธิ์ปรากฏตัวในสายตาของเขาด้วยซ้ำไป
"ข้าหวังว่า เจ้าจะชิงตัวนางมาได้ เพราะนางถือเป็นปัญหาอันยิ่งใหญ่สำหรับข้าเช่นกัน " ฉี เยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็กล่าวต่อว่า: "ก่อนหน้านี้ข้าเคยทาบทามนาง และเสนอข้อเสนอมากมายก็มิอาจทำให้นางเข้าร่วมสำนัก 2 หลังการทดสอบได้ ดูเหมือนว่าสำหรับนางแล้วฝ่าบาทนั้นมีผลต่อนางมากยิ่งนัก "
ใบหน้าของ หลิน เฟิงพลันบิดเบี้ยวทันทีที่ได้ยิน
"แต่ว่าข้ายังพอมีวิธี " ฉี เยว่กล่าวขึ้น: " 1 เดือนหลังจากนี้จะเป็นการทดสอบ โจว หยวนนั้นจะมีส่วนร่วมด้วย หากเขาพ่ายแพ้ ความนิยมของเขาจะสูญเสียไปไม่น้อย "
หลิน เฟิง ตาเป็นประกาย การฝึกฝนในต้าโจว นั้นนับเป็นเรื่องปกติ เพราะเป็นสิ่งที่วัดความแข็งแกร่ง และแม้จะเป็นโจว หยวน หากมิอาจประสบความสำเร็จ ก็จะนำพาเสียงโห่มาสู่ตัวเขา ในเวลานั้นชื่อเสียงของ ฝ่าบาทจะถดถอย และ ซู โหยวเว่ย ก็จะเสียความเชื่อถือในตัวโจว หยวนไป
"องค์ชายน้อยหมายความว่าอย่างไรกัน "
ฉี เยว่ ยิ้มบางๆแล้วกล่าวว่า "ในการทดสอบนั้น ข้าจะใช้วิธีบางอย่างจับให้ โจว หยวน มาเจอเจ้า และเมื่อถึงเวลานั้น เจ้าจะต้องเป็นคนจัดการเขา "
หลิน เฟิงได้ยินเช่นนั้นก็ลังเลกล่าวว่า: "เขาเป็นถึงองค์ชาย หากรุนแรงเกินไป ... "
"มือเท้าหามีตาไม่ ภายในการประลองไม่มีใครสามารถกล่าวอะไรได้หรอก " ฉี เยว่ส่ายหน้า จากนั้นก็กล่าวต่อว่า: "ตระกูล หลินของเจ้านั้นขึ้นตรงต่อ วังราชันย์ฉีของพวกเรา แม้จะมีเรื่องเราก็จะปกป้องเจ้า "
หลิน เฟิงกรอกตา หลังจากนั้นก็กัดฟันแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเบาๆว่า: "ตกลง ข้าเข้าใจแล้ว ในการทดสอบใหญ่นั้น หากข้าเจอเขา ข้าจะทำให้ ฝ่าบาทนั้นเสียหน้ามากที่สุด"
เขาเงยหน้าขึ้นพร้อมมองไปยังทางที่โจว หยวนจากไปด้วยสายตาดุร้าย องค์ชายขยะ หมายคิดจะชิงผู้หญิงที่ตนหมายปอง เพราะเหตุนี้เขาจะต้องทำให้อีกฝ่ายรู้ซึ้ง
ฉี เยว่ยิ้มบางๆ หากโจว หยวนมีมลทิน เขาจะไปหา ซู โหยวเหว่ยอีกครั้ง และหญิงสาวผู้นั้นย่อมรู้ดีเลวแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นนางจะต้องเลือกเขาสำนักชั้นสอง และเมื่อถึงเวลานั้น สำนักวังต้าโจว ต้องตกอยู่ในมือวังราชันย์ ฉีแน่นอน
และเหล่าศิษย์ในอนาคตที่จบจากสำนักวังต้าโจว จะต้องเลือกเข้ากับ วังราชันย์ ฉี เมื่อถึงตอนนั้นจะเป็นจุดจบของราชวงศ์ต้าโจว ก็เป็นได้
...
"หลิน เฟิง ผู้นี้เกรงว่าจะร่วมมือกับ ฉี เยว่แน่นอน" โจว หยวนกล่าวขึ้นระวังเดินทางกลับ จากนั้นเขาก็กล่าวต่อว่า: "ข้ามิอาจกล่าวได้เต็มปากว่า ฉี เยว่จะทำอย่างไรเพื่อจะชนะใจเจ้า แต่ดูเหมือนว่าจะใช้แผนเด็กหนุ่มผู้เจิดจรัส "
เมื่อได้ยินเช่นนั้นน ซู โหยวเหว่ย ก็ส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า: "ฝ่าบาททรงวางพระทัยได้ แผนเด็กหนุ่มผู้เจิดจรัส นั้นไม่มีผลต่อข้าแน่นอน "
แต่ตอนนั้น นางก็กล่าวด้วยน้ำเสียงกังวลว่า: "ฝ่าบาท ท่านต้องระวังตัว เพราะเด็กใหม่ที่โดดเด่นหลายคนถูกข้อเสนอ จาก ฉี เยว่ ชิงตัวไป ข้ากังวลว่าการทดสอบครั้งนี้พวกเขาจะเล็งเป้ามาที่ท่าน."
ด้วยพลังของ โจว หยวน หากจะเข้าสู่สิบอันดับแรก นั้นเป็นเรื่องยากมาก และหากมีบางคนมาขัดขวางจริงๆ มันก็ทำให้ยากขึ้นไปอีก.
โจว หยวนยิ้มแล้วกล่าวว่า: "วางใจได้ ข้าเตรียมตัวไว้แล้ว"
จากนั้นเขาก็ถอนหายใจเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า: "วังราชันย์ฉีนั้น มั่งคั่งจริงๆ "
ฉี เยว่ สามารถชนะใจผู้คนได้โดยใช้ ข้อเสนอที่ยากจะปฏิเสธ ด้วยทรัพยากรของพวกเขานั้นไม่แพ้เหล่าบรรดาราชวงศ์ผู้ครองแคว้น ดูเหมือนที่เสด็จพ่อของเขากล่าวไว้นั้นจะถูกต้อง วังราชันย์ฉี นั้นมีราชวงศ์ ต้าอู่ สนับสนุนอยู่
เมื่อคิดเช่นนั้น ดวงตาของโจว หยวนก็พลันเย็นชา วังราชันย์ฉี ถือเป็นเนื้อร้ายสำหรับราชวงศ์ต้าโจว ที่ควรขจัดทิ้ง
ในตอนนี้ พวกเขานั้นต้องการยึดครองสำนักวังต้าโจว หากสำนักวังต้าโจว ถูกครองโดยวังราชันย์ฉี มันจะกลายเป็นปัญหาขนาดใหญ่กับแคว้นของเขา ดังนั้นพวกเขาจึงมิอาจปล่อยเรื่องนี้ไปได้
เมื่อคิดถึงเรื่องนั้น เรื่องที่สำคัญที่สุดคือเขาต้องรีบเบิกชีพจรก่อนที่ การทดสอบใหญ่จะเริ่มขึ้น
...
หลายวันต่อว่า โจว หยวนเก็บตัวอยู่ในวังของเขา ในทุกเช้าเขาจะร่าย 98 ท่วงท่ากำหนดลมหายใจมังกร โดยทำการเบิกชีพจรอีก 4 ครั้ง ตกบ่ายเขาจะพุ่งเป้าไปฝึกฝน บัญญัติเจตจำนงเทพ
ในเวลาสั้นๆ ความก้าวหน้าของโจว หยวน นับว่าไม่น้อย ชีพจรจุดแรกนั้นเกือบจะถูกเบิกออก และมีความหวังที่จะสามารถเบิกได้ และจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาเองก็ก้าวไปในระดับเที่ยงเท็จอย่างมั่นคง ถือเป็นความสำเร็จเล็กน้อยเช่นกัน
ความคืบหน้าเช่นนี้ทำให้ โจว หยวนพลันตื่นเต้นและฝึกฝันอย่างขันแข็ง
และวันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่ง
เพล้ง!
โจว หยวน หยิบค้อนเหล็กขนาดเล็ก ฟาดไปที่ผลึกดวงจิตอสูร จากนั้นก็นำมันไปวางข้างพู่กันปฐมสวรรค์ เพื่อให้มันได้ดูดซับทันที
ฟุ่บบบ
แต่ในขณะที่ โจว หยวน จะทุบ ผลึกอันต่อไปนั้น พู่กันปฐมสวรรค์ก็พลันเกิดการสั่นสะเทือนขึ้นเล็กน้อย และในเวลาเดียวกันก็ได้มีแสงส่องประกายออกมาอย่างช้าๆๆ
เมื่อ โจว หยวนเห็นเช่นนั้นก็ดีใจมาก
เพราะเขาเห็นว่าบนพู่กันปฐมสวรรค์นั้น มีรูปแบบก่อเกิดบรรพกาล ปรากฏขึ้น อีกทั้งมันยังส่องแสงลึกลับขึ้นอีกด้วย
หลังจากการฟูมฟักผ่านไปหลายวัน พู่กันปฐมสวรรค์ก็เริ่มที่จะฟื้นคืนพลังได้เล็กน้อย
"ท่านอาจารย์และพี่สาว เหยาเหยากล่าวว่า เมื่อรูปแบบก่อเกิดตัวแรกบนพู่กันปฐมสวรรค์ส่องแสงขึ้น เราจะสามารถรู้ความลึกลับของมันได้หนึ่งอย่าง ข้าอยากจะรู้นักว่า พลังที่แท้จริงของศาสตราก่อเกิดศักดิ์ศิทธิ์ มันจะเป็นอย่างไร" โจว หยวน ดวงตาเป็นประกาย พร้อมจับจ้องไปที่พู่กันปฐมสวรรค์ในมือ
เพราะเรื่องเกี่ยวกับแปรงปฐมสวรรค์แล้ว เขานั้นรู้สงสัยอย่างมาก
มือของเขาถือแปรงปฐมสวรรค์ดวงตาพลันปิดลง และแสงบนแปรงปฐมสวรรค์นั้นก็ได้ถ่ายทอดข้อมูลเข้าไปในจิตใจของเขา
"แปรงปฐมสวรรค์ รูปแบบแรกก็คือ, คุณลักษณะเขียนและศาสตรา!"
จบตอนที่ 17