px

เรื่อง : Tales of Herding Gods
Chapter 1: อย่าออกไปข้างนอกในตอนที่มืด


Chapter 1: อย่าออกไปข้างนอกในตอนที่มืด

 

อย่าไปข้างนอกตอนกลางคืน

นี่คือคำพูดที่หมู่บ้านคนพิการพูดต่อกันมาเรื่อย ๆ หลายปี แต่มันเริ่มพูดกันเมื่อไหร่นั้นไม่มีใครรู้  ส่วนต้นตอของมันนั้นยังไม่มีใครรู้ได้

ในหมู่บ้านคนพิการนี้ ท่านย่าซีเริ่มกังวลพร้อมกับมองไปยังพระอาทิตย์ที่ค่อย ๆ ลับภูเขาไป  ในตอนที่พระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว ลำแสงสุดท้ายก็ได้หายไปทำให้ทั้งโลกตกอยู่ในความเงียบ  ไม่มีเสียงไหนดังขึ้นมาเลย สิ่งเดียวที่มีให้เห็นก็คือ  ความมืดที่ค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาทิศตะวันตกค่อย ๆ กลืนกินไปทั่วทั้งภูเขา, แม่น้ำ, และต้นไม้ตามทางก่อนจะเข้ามากลืนกินหมู่บ้านแห่งนี้ไป

มีรูปปั้น 4 อันที่ตั้งอยู่แต่ละมุมของหมู่บ้าน รูปปั้นพวกนี้นั้นทั้งเก่าและมีรอยกระดำกระด่าง ซึ่งแม้แต่ท่านย่าซียังไม่รู้ว่าใครแกะสลักมันขึ้นมาและมันตั้งอยู่ที่นี่ได้ตั้งแต่ตอนไหน

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปปั้นทั้งสี่นั้นได้ส่องแสงออกมานิด ๆ  เมื่อเห็นรูปปั้นนั้นส่องแสงออกมาอย่างเช่นเคย ย่าซีและผู้เฒ่าคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

ความมืดข้างนอกนั้นเริ่มมืดหม่นลงเรื่อย ๆ แต่แสงจากรูปปั้นนั้นทำให้หมู่บ้านนี้รู้สึกว่าปลอดภัยขึ้นมา

อยู่ ๆ หูของย่าซีก็กระดิกไปมาเพราะได้ยินเสียงร้องในความเงียบงันแบบนี้  “ ทุกคนฟัง ! มีเด็กร้องอยู่ข้างนอกนั่น ! ”

นอกจากเธอแล้ว เฒ่าหม่าก็ส่ายหน้าและตอบกลับ “ เป็นไปไม่ได้หรอก เจ้าคงได้ยินอย่างอื่นแทน........อ่า  นั่นไงมีเสียงเด็กร้องจริง ๆ ด้วย !

“ ข้าจะไปดู !

ย่าซีเริ่มตื่นเต้นและรีบวิ่งไปที่รูปปั้นตัวหนึ่งของหมู่บ้าน  เฒ่าหม่าเองก็รีบไปด้วยเช่นกัน  “ เจ้าจะบ้าไปแล้วเหรอ ยัยแก่ซี ? ออกจากหมู่บ้านตอนมืดนี่เท่ากับฆ่าตัวตายเลยนะ ! ”

“ สิ่งที่อยู่ในความมืดน่ะมันกลัวรูปปั้นหิน  ข้าไม่ตายง่าย ๆ ขนาดนั้นหรอก ถ้าข้าแบกรูปปั้นนี่ออกจากหมู่บ้านไปด้วย !

เฒ่าหม่าส่ายหน้า “ ให้ข้าทำเอง ข้าจะแบกรูปปั้นไปเอง !

มีผู้เฒ่าอีกคนเดินมาข้าง ๆ พร้อมกับตะเกียงและพูดขึ้น  “ เฒ่าหม่า แกแบกรูปปั้นนี้นาน ๆ ด้วยแขนที่เหลือแค่แขนเดียวไม่ได้หรอก  ให้คนแขนครบแบบข้าทำดีกว่า ”

เฒ่าหม่ามองไปที่อีกฝ่าย  “ แกจะเดินได้ด้วยขาลีบ ๆ น่ะเหรอ  ? ข้าอาจจะมีแค่แขนเดียวแต่ก็มีแรงเยอะอยู่แล้วน่า !

ด้วยขาสองข้างที่มีอยู่ทำให้เขาพอแบกรูปปั้นหินด้วยแขนข้างเดียวได้  “ ยัยเฒ่าซี ไปกันเถอะ ! ”

“ หยุดเรียกข้าแบบนั้นได้แล้ว ! ให้พวกพิการและคนใบ้มาเฝ้าระวังไว้ เพราะหมู่บ้านจะขาดรูปปั้นไป 1 อัน เราต้องมั่นใจว่าไม่มีอะไรหลุดรอดจากความมืดเข้ามาในหมู่บ้าน !

…...

ในตอนที่เฒ่าหม่าและย่าซีเดินออกจากหมู่บ้านก็ได้มีสิ่งแปลก ๆ และไม่รู้นั้นลอยจากความมืดเข้ามาล้อมรอบตัวพวกเขา  แต่ตอนที่รูปปั้นได้ส่องแสงออกมา สิ่งพวกนั้นก็ถอยกลับไปในความมืดทันที

หลังจากตามเสียงร้องเด็กไปกว่าร้อยก้าว   เฒ่าหม่าและย่าซีก็ได้มาถึงแม่น้ำสายใหญ่  ที่นี่คือที่ซึ่งเด็กร้องอยู่  แสงสลัวจากรูปปั้นนั้นส่องแสงได้ไม่ไกลเลยทำให้ทั้งคู่นั้นต้องตั้งใจฟังว่าเสียงนั้นมาจากไหนแล้วเดินทวนน้ำขึ้นไปเรื่อย ๆ หลังจากเดินมาอีกหลายสิบก้าว เสียงร้องนั้นก็เหมือนจะอยู่ใกล้ ๆ  ในเวลาเดียวกันแขนข้างเดียวของเฒ่าหม่าก็เริ่มหมดแรง  ย่าซีกวาดสายตาของเธอมองไปรอบ ๆ และพบกับแสงสว่างบางอันส่องออกมาจากที่ไกล ๆ  แสงนั้นมาจากตะกร้าซึ่งวางอยู่ที่แม่น้ำและมันยังเป็นที่ซึ่งเด็กนั่นร้องไห้อยู่

“ นั่นเด็กจริง ๆ ด้วย !

ย่าซีเดินเข้าไปข้างหน้าแล้วหยิบตะกร้าขึ้นมา แต่เธอก็ต้องตกใจเมื่อตระหนักว่าเธอยกมันขึ้นมาไม่ได้  ใต้ตะกร้านั้นมีมือซีด ๆ ลอยขึ้นมาข้าง ๆ แม่น้ำ มือคู่นี้ชูตะกร้าและเด็กขึ้นมา ผลักมันให้ขึ้นฝั่ง

“ ไม่ต้องกังวล เด็กปลอดภัยแล้ว “  ย่าซีพูดขึ้นเบา ๆ กับผู้หญิงที่จมอยู่

เหมือนกับศพนั่นจะได้ยินคำพูดของเธอ  มือนั้นค่อย ๆ ปล่อยตะกล้าออกแล้วหายไปในความมืด  ศพนั้นโดนกระแสน้ำพัดออกไป

ย่าซียกตะกร้าขึ้นมาและข้างในนั้นคือเด็กน้อยที่มีผ้าห่อตัวอยู่  จี้หยกที่วางอยู่บนผ้านั้นส่องแสงสีขาวออกมา  แสงที่หยกนี้และรูปปั้นส่องออกมานั้นเหมือนกันอย่างมากแต่แสงจากหยกนั้นดูจะอ่อนแรงกว่า   นี่คือหยกที่ปกป้องเด็กในตะกร้าไม่ให้เจอกับอันตรายกับสิ่งที่อยู่ในความมืด

เพราะแสงจากหยกนี่มันอ่อนแรง มันจึงทำได้แค่ปกป้องเด็กเอาไว้แต่ไม่ได้ปกป้องผู้หญิงคนนั้น

“ เด็กผู้ชายนี่ “

ทั้งคู่ได้กลับมาที่หมู่บ้าน คนในหมู่บ้านทุกคนที่มารวมตัวกันนั้นล้วนแต่เป็นผู้เฒ่า,อ่อนแอ, ป่วยและพิการ  ย่าซีถอดเอาผ้าที่ห่อตัวเด็กออกและยิ้มยิงฟันที่เหลือออกมาให้เห็น “ ในที่สุดก็มีคนสุขภาพดีมีทุกอย่างครบถ้วนในหมู่บ้านของเราแล้ว ! ”

ชายพิการซึ่งมีแค่ขาเดียวได้ถามออกมาด้วยความแปลกใจ “ นี่เจ้าคิดจะเลี้ยงเขาเหรอ ยัยแก่ซี ? เราน่ะยังดูแลตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ ! ข้าคิดว่าเราควรทิ้งเขาไปซะ .... “

ท่านย่าซีโกรธขึ้นมา “ ข้า หญิงชราคนนี้แหละ จะเลี้ยงดูเด็กนี่เอง ทำไมต้องทิ้งเขาด้วย ? ”

กลุ่มชาวบ้านต่างก็ไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก  ไม่นานผู้ใหญ่บ้านก็โดนหามเข้ามา  เขาดูแย่กว่าคนอื่นเล็กน้อย  อย่างน้อยคนอื่นก็ยังมีแขนขา  แต่เขาน่ะไม่มีเลยสักอย่างแต่ทุกคนก็ยังเคารพเขา แม้แต่คนดุอย่างย่าซีเองก็ไม่กล้าที่จะทำตัวหยาบคาย

“เพราะเราจะเลี้ยงดูเขา ไม่ใช่ว่าเราควรตั้งชื่อให้เขาเหรอ ? ”  เธอถามขึ้นมา

ผู้ใหญ่บ้าน ตอบกลับ  “ ยัยแก่ เจ้าเห็นอย่างอื่นในตะกร้าบ้างมั้ย ? ”

ย่าซีเดินเข้าไปที่ตะกร้าแล้วส่ายหน้า  “ ไม่มีของอย่างอื่นเลยนอกจากจี้หยกนี่  มีคำว่า ฉิน อยู่บนจี้นี้  ตัวหยกนี้ไม่ได้มีรอยแตกอะไรอีกและยังมีพลังแปลก ๆ อีกด้วย  แน่นอนว่ามันต้องไม่ใช่ของธรรมดาแน่...รึว่ามันจะมาจากครอบครัวที่ร่ำรวย ? 

“ งั้นเขาน่าจะชื่อว่า  ฉิน รึไม่ก็แซ่ ฉิน ?

ผู้ใหญ่บ้านตั้งคำถามขึ้นมาก่อนคิดสักพักแล้วพูดขึ้น “งั้นให้แซ่ว่า ฉิน ก็แล้วกัน ให้ชื่อว่า มู่ แทน   ฉินมู่  เมื่อเขาโตขึ้นมาให้เขาไปเลี้ยงแกะ  นั่นน่าจะทำให้เขาอยู่รอดต่อไปได้

“ ฉินมู่ ย่าซีมองไปที่เด็กตัวน้อยที่ซึ่งไม่ได้กลัวเธอและหัวเราะคิกคักโดยไม่สนอะไรเลย

...

เสียงของขลุ่ยดังก้องไปทั่วแม่น้ำ เด็กเลี้ยงแกะนั่งอยู่บนวัวกำลังเล่นเพลงจากขลุ่ยของเขา  เด็กนี่ดูอายุได้ 11-12 ปีและมีหน้าตาที่หล่อเหลาอย่างริมฝีปากสีแดงและฟันสีขาว  ด้วยการที่เปิดเสื้อออกครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นจี้หยกที่ห้อยอยู่ตรงกลางอกของเขา

เด็กหนุ่มนี้คือทารกที่ย่าซีเก็บมาจากแม่น้ำเมื่อ 11 ปีก่อน  ผู้ใหญ่ในหมู่บ้านนั้นคอยเลี้ยงดูเด็กนี้กันมาหลายปี ย่าซีเองก็ไปเจอวัวตัวหนึ่งในตอนที่ฉินมู่ยังเด็ก มันจะให้นมวัวทุกวันและอยู่ผ่านช่วงการหย่านมมาได้  แต่ไม่มีใครรู้ว่าย่าซีนั้นได้วัวนั้นมาจากไหน

แม้ว่าคนในหมู่บ้านนั้นจะเป็นคนโหดร้าย แต่ทุกคนก็ดีกับฉินมู่หมด ย่าซีนั้นเคยเป็นช่างทอผ้า  และส่วนมากในตอนกลางวัน ฉินมู่จะเรียนรู้วิธีทอผ้าจากเธอ เรียนรู้ชื่อสมุนไพรจากคนปรุงยา, วิธีใช้ทักษะขาจากท่านปู่แขนขาด, วิธีฟังตำแหน่งที่เกิดเสียงจากท่านปู่ตาบอด และวิธีปรับลมหายใจโดยเรียนรู้จากผู้ใหญ่บ้าน  ผลก็คือวันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวที่ได้มานั้นคอยให้นมตั้งแต่เขายังเด็ก  ย่าซีคิดที่จะขายมันทิ้งแต่ฉินมู่คัดค้านเอาไว้  ดังนั้นงานในการเลี้ยงดูวัวจึงตกเป็นของเขา

ฉินมู่นั้นมักจะพาวัวไปกินหญ้าข้าง ๆ แม่น้ำและคอยชื่นชมภูเขาสีเขียวและท้องฟ้าอันสดใส

“ ฉินมู่ ! ฉินมู่ ! ช่วยข้าที !

ทันใดนั้นวัวที่ฉินมู่นั่งอยู่บนหลัง มันก็เริ่มพูดออกมา  มันทำให้เขาช็อคอย่างมากก่อนที่จะกระโดดลง  เขาเห็นแค่ตาของวัวนั้นมีน้ำตาไหลอาบลงมาและมันพูดเป็นภาษามนุษย์ “ ฉินมู่  เจ้ากินนมข้าตั้งแต่เจ้ายังเด็ก  ข้านับว่าเป็นแม่ของเจ้าได้เลย ดังนั้นเจ้าต้องช่วยข้า ! ”

ฉินมู่ทำตาปริบ ๆ และถามออกมา  “ ข้าจะช่วยเจ้ายังไง ? ”

วัวได้พูดขึ้น  “เคียวที่อยู่ตรงเอวเจ้า ตัดผิวของข้าซะ จะได้ปลดกับดักออกจากตัวข้าได้ ”

ฉินมู่ลังเล

“ เจ้าลืมไปแล้วรึไงว่าข้าน่ะเลี้ยงเจ้ามา ? ” วัวถาม

ฉินมู่ยกเคียวขึ้นมาและค่อย ๆ ตัดที่ผิวของวัว มันแปลกแต่ตอนที่ผิวของมันถูกลอกออก มันก็ไม่ได้มีแม้แต่เลือดสักหยดเดียวไหลออกมา  ด้านหลังผิวนั้นก็ยังว่างเปล่าอีกด้วย - ไม่มีเนื้อรึกระดูกให้เห็นเลย

เขาลอกหนังวัวมาได้ครึ่งหนึ่งก็ได้มีผู้หญิงอายุประมาณ 20-30 ปีกลิ้งออกมา  ขาทั้งสองข้างนั้นยังคงห่อกันอยู่ในตัววัว  ผิวของเธอและผิวของวัวนั้นเชื่อมต่อกันแต่ร่างกายส่วนบนนั้นถูกลอกออกจากผิวเรียบร้อยแล้ว

เธอสะบัดผมแล้วคว้าเอาเคียวจากมือของเขาไปและตัดผิววัวที่ติดกับขาของเธอออก ด้วยการสะบัด 2-3 ครั้ง   เธอหันมามองฉินมู่ด้วยท่าทีโหดร้ายและชี้เคียวมาที่เขาแล้วหัวเราะอย่างเย็นชา “ สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ ตัวจ้อย ! ข้าได้เปลี่ยนเป็นวัวเพราะเจ้าเป็นเวลาถึง 11 ปี  ข้ากินได้แค่หญ้าและทำได้แค่ต้องให้นมเจ้า ! ข้าเพิ่งให้กำเนิดลูกน้อยของข้าก่อนที่นั่งแม่มดจะสาปข้าให้เป็นวัวเพื่อมาให้นมเจ้า ! ตอนนี้ข้าเป็นอิสระแล้ว ! ข้าจะฆ่าเจ้า จากนั้นก็จะฆ่าทุกคนในหมู่บ้านซะ ! ”

ฉินมู่อึ้งและไม่รู้ว่าผู้หญิงที่ออกมาจากตัววัวนี้พูดอะไร

ในตอนที่เธอกำลังจะฟันเขานั้น อยู่ ๆ เธอก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาจากตรงกลางหลัง  เธอมองลงไปและพบว่ามีมีดทะลุออกมาจากอกของเธอ

“ มู่เอ๋อ   ย่าหมออยากให้เจ้ากลับบ้านเพื่อไปทำยา ” ศพผู้หญิงนั้นล้มลงไปกองกับพื้น  ด้านหลังเธอนั้นมีรอยยิ้มส่งมาให้ฉินมู่ และจับมีดนั้นอยู่นั่นคือปู่ที่แขนขาดข้างหนึ่งจากหมู่บ้าน

“ ปู่... ” ตัวของฉินมู่รู้สึกชาขึ้นมาในตอนที่มองไปที่หนังวัวและศพของผู้หญิงคนนั้น

“ กลับไปเดี๋ยวนี้ ” ปู่นั้นตบไหล่เขาและหัวเราะออกมา

ในตอนที่ฉินมู่เดินกลับหมู่บ้านนั้น เขาได้หันหลังกลับมามองดูและพบว่าปู่คนนั้นกำลังโยนศพผู้หญิงนั้นลงไปที่แม่น้ำ

ฉากนั้นส่งผลกับเขาอย่างมากโดยที่เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากลับมาถึงหมู่บ้านนี้เมื่อไหร่

“ ฉินมู่ ! เด็กบ้า ข้าบอกเจ้าว่ายังไง ? อย่าไปข้างนอกตอนมืด ! ”

เพราะความมืดเริ่มครอบงำ รูปปั้นหินทั้งสี่มุมของหมู่บ้านก็เริ่มส่องแสงออกมาอีกครั้ง  ย่าซีหยุดฉินมู่ที่ซึ่งคิดจะแอบหนีออกจากหมู่บ้านเพื่อไปดูหนังวัวและเธอก็ได้ลากเขากลับมา

“ ย่า ทำไมเราถึงออกไปตอนมืดไม่ได้ ? ” ฉินมู่ถามและเงยหน้าขึ้น

“ ในตอนที่ท้องฟ้ามืดนั้นจะมีบางอย่างที่น่ากลัวอยู่รอบ ๆ ในความมืดมิดนั้น  การออกไปข้างนอกนั้นหมายถึงความตาย ” ย่าซีพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ รูปปั้นหินของหมู่บ้านนั้นปกป้องเราอยู่และสิ่งที่อยู่ในความมืดนั้นไม่กล้าที่จะเข้ามาในหมู่บ้าน ”

“ หมู่บ้านอื่นมีรูปปั้นหินแบบนี้ด้วยรึเปล่า ? ” ฉินมู่ถามด้วยความสงสัย

ท่านย่าซีพยักหน้าแต่เธอมองไปข้างนอกหมู่บ้านด้วยสีหน้ากังวลและพึมพำกับตัวเอง  “ ไอ้แขนด้วนน่าจะกลับมาแล้วนิ....ข้าไม่ควรให้เขาไปเลย  เขาน่ะมีแค่แขนเดียวแท้ ๆ....”

“ ย่า มีบางอย่างแปลกเกิดขึ้นวันนี้ .... ”

ฉินมู่ลังเลสักพักก่อนจะบอกเรื่องผู้หญิงที่โผล่ออกมาจากท้องวัวให้ย่าซีฟัง   ย่าซีตอบด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ “ เจ้าพูดถึงผู้หญิงคนนั้นหรอกเหรอ ? ไอ้ด้วนบอกข้าแล้ว เขาน่ะจัดการเรียบร้อยแล้ว  ในตอนที่เจ้าอายุได้ 4 ปี  ข้าต้องการจะขายวัวนั่นทิ้งแต่เจ้าห้ามเอง  ข้าเลยให้เจ้าดูแลมัน  เจ้าเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นมั้ยล่ะ ? ข้าบอกแล้วว่าเจ้าต้องรู้สึกกับวัวนั่น ถ้าเจ้าดื่มนมของมันไปจนเจ้าอายุได้ 4 ปี ”

ฉินมู่หน้าแดงขึ้นมา  4 ขวบแน่นอนว่าควรเป็นวัยที่ควรหย่านมไปนานแล้ว แต่มันคงไม่สำคัญหรอก ถูกมั้ย ?

“ ย่า ปู่ฆ่าผู้หญิงคนนั้นไปแล้ว...”

 “ ก็ดีแล้ว ” ย่าซีหัวเราะออกมา  “ นางได้ทำการต่อรอง นางต้องตายเมื่อ 11 ปีก่อนแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าต้องการนม นางจะมีชีวิตมาจนถึงวันนี้รึ ? “

ฉินมู่ไม่รู้ว่าย่านั้นพูดถึงอะไร

ย่าซีมองมาที่เขาและพูดขึ้น “ผู้หญิงคนนั้นคือเมียของเจ้าเมืองพรมแดนมังกรซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่ไปหลายพันไมล์  เมืองพรมแดนมังกรนั้นเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยตัณหาและผู้หญิงคนนั้นก็มีความอิจฉาที่เกิดได้ง่าย  เจ้าเมืองชอบที่จะออกไปพบสาว ๆ และมักจะลักพาตัวหญิงจากชนชั้นสูง  และทุกครั้งเจ้าเมืองทำให้สาวเหล่านั้นมีมลทิน เมียของเขาจะส่งคนไปจัดการพวกนั้นจนตาย  ข้าได้แอบเข้าไปในเมืองเพื่อลอบจัดการนางแต่ในตอนที่ข้าเห็นว่านางนั้นเพิ่งคลอดลูกที่อายุได้ 3 เดือนและพบว่านางมีนมที่เจ้าต้องการอยู่  ข้าเลยเปลี่ยนให้นางเป็นวัว  ข้าไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะหลุดออกจากผนึกได้และยังพูดได้อีก อีกทั้งยังเกือบทำอันตรายเจ้าด้วย”

เขาอึ้ง ฉินมู่ได้ร้องออกมา  “ ย่า ท่านเปลี่ยนมนุษย์เป็นวัวได้ยังไง ? “

ย่าซีหัวเราะคิกคักและเผยรอยยิ้มออกมา “ เจ้าอยากเรียนมันงั้นเหรอ ? ข้าจะสอนเจ้า...โอ้ เจ้าด้วนกลับมาแล้ว !

ฉินมู่มองออกไปและพบว่าปู่นั้นได้กลับมาแล้ว พร้อมกับใช้มือข้างหนึ่งจับเข้าที่ท้องและมืออีกข้างแบกสัตว์อสูรที่หลัง  ความมืดนั้นไหลเข้ามาในหมู่บ้านอย่างกับคลื่นที่โกรธเกรี้ยว ทำให้ย่าซีตะโกนออกมาด้วยความกังวล  “ รีบเร็วเข้า ! เจ้าด้วน ! เร็วอีก !

“ รีบไปไหนกัน ? ”

ปู่คนนั้นเดินเข้ามาที่หมู่บ้านด้วยความเร็วที่คงที่และในตอนที่เขาเข้ามาในหมู่บ้านแล้วความมืดนั้นก็ทะลักเข้ามา  สัตว์อสูรอยู่บนหลังเขานั้นคือเสือหลากสี มันยังมีชีวิตอยู่  ความมืดพุ่งเข้าไปที่หางของมันและทำให้มันร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด  ฉินมู่รีบวิ่งไปด้านหลังเพื่อดูและพบว่าสิ่งที่เหลือตรงหางของมันมีแค่กระดูกเท่านั้น  ผิว, ขนและเนื้อนั้นได้หายไปราวกับมีบางอย่างกัดพวกมันออกไปหมด

ฉินมู่มองไปที่ความมืดนอกหมู่บ้านด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่อาจมองเห็นอะไรได้จากความมืดเหมือนกับหลุมดำแบบนี้

“ มีอะไรอยู่ในความมืดนั้นกันแน่ ? ” เขาคิด

รีวิวผู้อ่าน