Chapter 1: อย่าออกไปข้างนอกในตอนที่มืด
‘ อย่าไปข้างนอกตอนกลางคืน ’
นี่คือคำพูดที่หมู่บ้านคนพิการพูดต่อกันมาเรื่อย ๆ หลายปี แต่มันเริ่มพูดกันเมื่อไหร่นั้นไม่มีใครรู้ ส่วนต้นตอของมันนั้นยังไม่มีใครรู้ได้
ในหมู่บ้านคนพิการนี้ ท่านย่าซีเริ่มกังวลพร้อมกับมองไปยังพระอาทิตย์ที่ค่อย ๆ ลับภูเขาไป ในตอนที่พระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว ลำแสงสุดท้ายก็ได้หายไปทำให้ทั้งโลกตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีเสียงไหนดังขึ้นมาเลย สิ่งเดียวที่มีให้เห็นก็คือ ความมืดที่ค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาทิศตะวันตกค่อย ๆ กลืนกินไปทั่วทั้งภูเขา, แม่น้ำ, และต้นไม้ตามทางก่อนจะเข้ามากลืนกินหมู่บ้านแห่งนี้ไป
มีรูปปั้น 4 อันที่ตั้งอยู่แต่ละมุมของหมู่บ้าน รูปปั้นพวกนี้นั้นทั้งเก่าและมีรอยกระดำกระด่าง ซึ่งแม้แต่ท่านย่าซียังไม่รู้ว่าใครแกะสลักมันขึ้นมาและมันตั้งอยู่ที่นี่ได้ตั้งแต่ตอนไหน
เมื่อความมืดครอบคลุม รูปปั้นทั้งสี่นั้นได้ส่องแสงออกมานิด ๆ เมื่อเห็นรูปปั้นนั้นส่องแสงออกมาอย่างเช่นเคย ย่าซีและผู้เฒ่าคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ความมืดข้างนอกนั้นเริ่มมืดหม่นลงเรื่อย ๆ แต่แสงจากรูปปั้นนั้นทำให้หมู่บ้านนี้รู้สึกว่าปลอดภัยขึ้นมา
อยู่ ๆ หูของย่าซีก็กระดิกไปมาเพราะได้ยินเสียงร้องในความเงียบงันแบบนี้ “ ทุกคนฟัง ! มีเด็กร้องอยู่ข้างนอกนั่น ! ”
นอกจากเธอแล้ว เฒ่าหม่าก็ส่ายหน้าและตอบกลับ “ เป็นไปไม่ได้หรอก เจ้าคงได้ยินอย่างอื่นแทน........อ่า นั่นไงมีเสียงเด็กร้องจริง ๆ ด้วย ! ”
“ ข้าจะไปดู ! ”
ย่าซีเริ่มตื่นเต้นและรีบวิ่งไปที่รูปปั้นตัวหนึ่งของหมู่บ้าน เฒ่าหม่าเองก็รีบไปด้วยเช่นกัน “ เจ้าจะบ้าไปแล้วเหรอ ยัยแก่ซี ? ออกจากหมู่บ้านตอนมืดนี่เท่ากับฆ่าตัวตายเลยนะ ! ”
“ สิ่งที่อยู่ในความมืดน่ะมันกลัวรูปปั้นหิน ข้าไม่ตายง่าย ๆ ขนาดนั้นหรอก ถ้าข้าแบกรูปปั้นนี่ออกจากหมู่บ้านไปด้วย ! “
เฒ่าหม่าส่ายหน้า “ ให้ข้าทำเอง ข้าจะแบกรูปปั้นไปเอง ! “
มีผู้เฒ่าอีกคนเดินมาข้าง ๆ พร้อมกับตะเกียงและพูดขึ้น “ เฒ่าหม่า แกแบกรูปปั้นนี้นาน ๆ ด้วยแขนที่เหลือแค่แขนเดียวไม่ได้หรอก ให้คนแขนครบแบบข้าทำดีกว่า ”
เฒ่าหม่ามองไปที่อีกฝ่าย “ แกจะเดินได้ด้วยขาลีบ ๆ น่ะเหรอ ? ข้าอาจจะมีแค่แขนเดียวแต่ก็มีแรงเยอะอยู่แล้วน่า ! “
ด้วยขาสองข้างที่มีอยู่ทำให้เขาพอแบกรูปปั้นหินด้วยแขนข้างเดียวได้ “ ยัยเฒ่าซี ไปกันเถอะ ! ”
“ หยุดเรียกข้าแบบนั้นได้แล้ว ! ให้พวกพิการและคนใบ้มาเฝ้าระวังไว้ เพราะหมู่บ้านจะขาดรูปปั้นไป 1 อัน เราต้องมั่นใจว่าไม่มีอะไรหลุดรอดจากความมืดเข้ามาในหมู่บ้าน ! ”
…...
ในตอนที่เฒ่าหม่าและย่าซีเดินออกจากหมู่บ้านก็ได้มีสิ่งแปลก ๆ และไม่รู้นั้นลอยจากความมืดเข้ามาล้อมรอบตัวพวกเขา แต่ตอนที่รูปปั้นได้ส่องแสงออกมา สิ่งพวกนั้นก็ถอยกลับไปในความมืดทันที
หลังจากตามเสียงร้องเด็กไปกว่าร้อยก้าว เฒ่าหม่าและย่าซีก็ได้มาถึงแม่น้ำสายใหญ่ ที่นี่คือที่ซึ่งเด็กร้องอยู่ แสงสลัวจากรูปปั้นนั้นส่องแสงได้ไม่ไกลเลยทำให้ทั้งคู่นั้นต้องตั้งใจฟังว่าเสียงนั้นมาจากไหนแล้วเดินทวนน้ำขึ้นไปเรื่อย ๆ หลังจากเดินมาอีกหลายสิบก้าว เสียงร้องนั้นก็เหมือนจะอยู่ใกล้ ๆ ในเวลาเดียวกันแขนข้างเดียวของเฒ่าหม่าก็เริ่มหมดแรง ย่าซีกวาดสายตาของเธอมองไปรอบ ๆ และพบกับแสงสว่างบางอันส่องออกมาจากที่ไกล ๆ แสงนั้นมาจากตะกร้าซึ่งวางอยู่ที่แม่น้ำและมันยังเป็นที่ซึ่งเด็กนั่นร้องไห้อยู่
“ นั่นเด็กจริง ๆ ด้วย ! “
ย่าซีเดินเข้าไปข้างหน้าแล้วหยิบตะกร้าขึ้นมา แต่เธอก็ต้องตกใจเมื่อตระหนักว่าเธอยกมันขึ้นมาไม่ได้ ใต้ตะกร้านั้นมีมือซีด ๆ ลอยขึ้นมาข้าง ๆ แม่น้ำ มือคู่นี้ชูตะกร้าและเด็กขึ้นมา ผลักมันให้ขึ้นฝั่ง
“ ไม่ต้องกังวล เด็กปลอดภัยแล้ว “ ย่าซีพูดขึ้นเบา ๆ กับผู้หญิงที่จมอยู่
เหมือนกับศพนั่นจะได้ยินคำพูดของเธอ มือนั้นค่อย ๆ ปล่อยตะกล้าออกแล้วหายไปในความมืด ศพนั้นโดนกระแสน้ำพัดออกไป
ย่าซียกตะกร้าขึ้นมาและข้างในนั้นคือเด็กน้อยที่มีผ้าห่อตัวอยู่ จี้หยกที่วางอยู่บนผ้านั้นส่องแสงสีขาวออกมา แสงที่หยกนี้และรูปปั้นส่องออกมานั้นเหมือนกันอย่างมากแต่แสงจากหยกนั้นดูจะอ่อนแรงกว่า นี่คือหยกที่ปกป้องเด็กในตะกร้าไม่ให้เจอกับอันตรายกับสิ่งที่อยู่ในความมืด
เพราะแสงจากหยกนี่มันอ่อนแรง มันจึงทำได้แค่ปกป้องเด็กเอาไว้แต่ไม่ได้ปกป้องผู้หญิงคนนั้น
“ เด็กผู้ชายนี่ “
ทั้งคู่ได้กลับมาที่หมู่บ้าน คนในหมู่บ้านทุกคนที่มารวมตัวกันนั้นล้วนแต่เป็นผู้เฒ่า,อ่อนแอ, ป่วยและพิการ ย่าซีถอดเอาผ้าที่ห่อตัวเด็กออกและยิ้มยิงฟันที่เหลือออกมาให้เห็น “ ในที่สุดก็มีคนสุขภาพดีมีทุกอย่างครบถ้วนในหมู่บ้านของเราแล้ว ! ”
ชายพิการซึ่งมีแค่ขาเดียวได้ถามออกมาด้วยความแปลกใจ “ นี่เจ้าคิดจะเลี้ยงเขาเหรอ ยัยแก่ซี ? เราน่ะยังดูแลตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ ! ข้าคิดว่าเราควรทิ้งเขาไปซะ .... “
ท่านย่าซีโกรธขึ้นมา “ ข้า หญิงชราคนนี้แหละ จะเลี้ยงดูเด็กนี่เอง ทำไมต้องทิ้งเขาด้วย ? ”
กลุ่มชาวบ้านต่างก็ไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก ไม่นานผู้ใหญ่บ้านก็โดนหามเข้ามา เขาดูแย่กว่าคนอื่นเล็กน้อย อย่างน้อยคนอื่นก็ยังมีแขนขา แต่เขาน่ะไม่มีเลยสักอย่างแต่ทุกคนก็ยังเคารพเขา แม้แต่คนดุอย่างย่าซีเองก็ไม่กล้าที่จะทำตัวหยาบคาย
“เพราะเราจะเลี้ยงดูเขา ไม่ใช่ว่าเราควรตั้งชื่อให้เขาเหรอ ? ” เธอถามขึ้นมา
ผู้ใหญ่บ้าน ตอบกลับ “ ยัยแก่ เจ้าเห็นอย่างอื่นในตะกร้าบ้างมั้ย ? ”
ย่าซีเดินเข้าไปที่ตะกร้าแล้วส่ายหน้า “ ไม่มีของอย่างอื่นเลยนอกจากจี้หยกนี่ มีคำว่า ‘ ฉิน ’ อยู่บนจี้นี้ ตัวหยกนี้ไม่ได้มีรอยแตกอะไรอีกและยังมีพลังแปลก ๆ อีกด้วย แน่นอนว่ามันต้องไม่ใช่ของธรรมดาแน่...รึว่ามันจะมาจากครอบครัวที่ร่ำรวย ? ”
“ งั้นเขาน่าจะชื่อว่า ฉิน รึไม่ก็แซ่ ฉิน ? ”
ผู้ใหญ่บ้านตั้งคำถามขึ้นมาก่อนคิดสักพักแล้วพูดขึ้น “งั้นให้แซ่ว่า ฉิน ก็แล้วกัน ให้ชื่อว่า มู่ แทน ฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้นมาให้เขาไปเลี้ยงแกะ นั่นน่าจะทำให้เขาอยู่รอดต่อไปได้ ”
“ ฉินมู่ ” ย่าซีมองไปที่เด็กตัวน้อยที่ซึ่งไม่ได้กลัวเธอและหัวเราะคิกคักโดยไม่สนอะไรเลย
...
เสียงของขลุ่ยดังก้องไปทั่วแม่น้ำ เด็กเลี้ยงแกะนั่งอยู่บนวัวกำลังเล่นเพลงจากขลุ่ยของเขา เด็กนี่ดูอายุได้ 11-12 ปีและมีหน้าตาที่หล่อเหลาอย่างริมฝีปากสีแดงและฟันสีขาว ด้วยการที่เปิดเสื้อออกครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นจี้หยกที่ห้อยอยู่ตรงกลางอกของเขา
เด็กหนุ่มนี้คือทารกที่ย่าซีเก็บมาจากแม่น้ำเมื่อ 11 ปีก่อน ผู้ใหญ่ในหมู่บ้านนั้นคอยเลี้ยงดูเด็กนี้กันมาหลายปี ย่าซีเองก็ไปเจอวัวตัวหนึ่งในตอนที่ฉินมู่ยังเด็ก มันจะให้นมวัวทุกวันและอยู่ผ่านช่วงการหย่านมมาได้ แต่ไม่มีใครรู้ว่าย่าซีนั้นได้วัวนั้นมาจากไหน
แม้ว่าคนในหมู่บ้านนั้นจะเป็นคนโหดร้าย แต่ทุกคนก็ดีกับฉินมู่หมด ย่าซีนั้นเคยเป็นช่างทอผ้า และส่วนมากในตอนกลางวัน ฉินมู่จะเรียนรู้วิธีทอผ้าจากเธอ เรียนรู้ชื่อสมุนไพรจากคนปรุงยา, วิธีใช้ทักษะขาจากท่านปู่แขนขาด, วิธีฟังตำแหน่งที่เกิดเสียงจากท่านปู่ตาบอด และวิธีปรับลมหายใจโดยเรียนรู้จากผู้ใหญ่บ้าน ผลก็คือวันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
วัวที่ได้มานั้นคอยให้นมตั้งแต่เขายังเด็ก ย่าซีคิดที่จะขายมันทิ้งแต่ฉินมู่คัดค้านเอาไว้ ดังนั้นงานในการเลี้ยงดูวัวจึงตกเป็นของเขา
ฉินมู่นั้นมักจะพาวัวไปกินหญ้าข้าง ๆ แม่น้ำและคอยชื่นชมภูเขาสีเขียวและท้องฟ้าอันสดใส
“ ฉินมู่ ! ฉินมู่ ! ช่วยข้าที ! “
ทันใดนั้นวัวที่ฉินมู่นั่งอยู่บนหลัง มันก็เริ่มพูดออกมา มันทำให้เขาช็อคอย่างมากก่อนที่จะกระโดดลง เขาเห็นแค่ตาของวัวนั้นมีน้ำตาไหลอาบลงมาและมันพูดเป็นภาษามนุษย์ “ ฉินมู่ เจ้ากินนมข้าตั้งแต่เจ้ายังเด็ก ข้านับว่าเป็นแม่ของเจ้าได้เลย ดังนั้นเจ้าต้องช่วยข้า ! ”
ฉินมู่ทำตาปริบ ๆ และถามออกมา “ ข้าจะช่วยเจ้ายังไง ? ”
วัวได้พูดขึ้น “เคียวที่อยู่ตรงเอวเจ้า ตัดผิวของข้าซะ จะได้ปลดกับดักออกจากตัวข้าได้ ”
ฉินมู่ลังเล
“ เจ้าลืมไปแล้วรึไงว่าข้าน่ะเลี้ยงเจ้ามา ? ” วัวถาม
ฉินมู่ยกเคียวขึ้นมาและค่อย ๆ ตัดที่ผิวของวัว มันแปลกแต่ตอนที่ผิวของมันถูกลอกออก มันก็ไม่ได้มีแม้แต่เลือดสักหยดเดียวไหลออกมา ด้านหลังผิวนั้นก็ยังว่างเปล่าอีกด้วย - ไม่มีเนื้อรึกระดูกให้เห็นเลย
เขาลอกหนังวัวมาได้ครึ่งหนึ่งก็ได้มีผู้หญิงอายุประมาณ 20-30 ปีกลิ้งออกมา ขาทั้งสองข้างนั้นยังคงห่อกันอยู่ในตัววัว ผิวของเธอและผิวของวัวนั้นเชื่อมต่อกันแต่ร่างกายส่วนบนนั้นถูกลอกออกจากผิวเรียบร้อยแล้ว
เธอสะบัดผมแล้วคว้าเอาเคียวจากมือของเขาไปและตัดผิววัวที่ติดกับขาของเธอออก ด้วยการสะบัด 2-3 ครั้ง เธอหันมามองฉินมู่ด้วยท่าทีโหดร้ายและชี้เคียวมาที่เขาแล้วหัวเราะอย่างเย็นชา “ สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ ตัวจ้อย ! ข้าได้เปลี่ยนเป็นวัวเพราะเจ้าเป็นเวลาถึง 11 ปี ข้ากินได้แค่หญ้าและทำได้แค่ต้องให้นมเจ้า ! ข้าเพิ่งให้กำเนิดลูกน้อยของข้าก่อนที่นั่งแม่มดจะสาปข้าให้เป็นวัวเพื่อมาให้นมเจ้า ! ตอนนี้ข้าเป็นอิสระแล้ว ! ข้าจะฆ่าเจ้า จากนั้นก็จะฆ่าทุกคนในหมู่บ้านซะ ! ”
ฉินมู่อึ้งและไม่รู้ว่าผู้หญิงที่ออกมาจากตัววัวนี้พูดอะไร
ในตอนที่เธอกำลังจะฟันเขานั้น อยู่ ๆ เธอก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาจากตรงกลางหลัง เธอมองลงไปและพบว่ามีมีดทะลุออกมาจากอกของเธอ
“ มู่เอ๋อ ย่าหมออยากให้เจ้ากลับบ้านเพื่อไปทำยา ” ศพผู้หญิงนั้นล้มลงไปกองกับพื้น ด้านหลังเธอนั้นมีรอยยิ้มส่งมาให้ฉินมู่ และจับมีดนั้นอยู่นั่นคือปู่ที่แขนขาดข้างหนึ่งจากหมู่บ้าน
“ ปู่... ” ตัวของฉินมู่รู้สึกชาขึ้นมาในตอนที่มองไปที่หนังวัวและศพของผู้หญิงคนนั้น
“ กลับไปเดี๋ยวนี้ ” ปู่นั้นตบไหล่เขาและหัวเราะออกมา
ในตอนที่ฉินมู่เดินกลับหมู่บ้านนั้น เขาได้หันหลังกลับมามองดูและพบว่าปู่คนนั้นกำลังโยนศพผู้หญิงนั้นลงไปที่แม่น้ำ
ฉากนั้นส่งผลกับเขาอย่างมากโดยที่เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากลับมาถึงหมู่บ้านนี้เมื่อไหร่
“ ฉินมู่ ! เด็กบ้า ข้าบอกเจ้าว่ายังไง ? อย่าไปข้างนอกตอนมืด ! ”
เพราะความมืดเริ่มครอบงำ รูปปั้นหินทั้งสี่มุมของหมู่บ้านก็เริ่มส่องแสงออกมาอีกครั้ง ย่าซีหยุดฉินมู่ที่ซึ่งคิดจะแอบหนีออกจากหมู่บ้านเพื่อไปดูหนังวัวและเธอก็ได้ลากเขากลับมา
“ ย่า ทำไมเราถึงออกไปตอนมืดไม่ได้ ? ” ฉินมู่ถามและเงยหน้าขึ้น
“ ในตอนที่ท้องฟ้ามืดนั้นจะมีบางอย่างที่น่ากลัวอยู่รอบ ๆ ในความมืดมิดนั้น การออกไปข้างนอกนั้นหมายถึงความตาย ” ย่าซีพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ รูปปั้นหินของหมู่บ้านนั้นปกป้องเราอยู่และสิ่งที่อยู่ในความมืดนั้นไม่กล้าที่จะเข้ามาในหมู่บ้าน ”
“ หมู่บ้านอื่นมีรูปปั้นหินแบบนี้ด้วยรึเปล่า ? ” ฉินมู่ถามด้วยความสงสัย
ท่านย่าซีพยักหน้าแต่เธอมองไปข้างนอกหมู่บ้านด้วยสีหน้ากังวลและพึมพำกับตัวเอง “ ไอ้แขนด้วนน่าจะกลับมาแล้วนิ....ข้าไม่ควรให้เขาไปเลย เขาน่ะมีแค่แขนเดียวแท้ ๆ....”
“ ย่า มีบางอย่างแปลกเกิดขึ้นวันนี้ .... ”
ฉินมู่ลังเลสักพักก่อนจะบอกเรื่องผู้หญิงที่โผล่ออกมาจากท้องวัวให้ย่าซีฟัง ย่าซีตอบด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ “ เจ้าพูดถึงผู้หญิงคนนั้นหรอกเหรอ ? ไอ้ด้วนบอกข้าแล้ว เขาน่ะจัดการเรียบร้อยแล้ว ในตอนที่เจ้าอายุได้ 4 ปี ข้าต้องการจะขายวัวนั่นทิ้งแต่เจ้าห้ามเอง ข้าเลยให้เจ้าดูแลมัน เจ้าเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นมั้ยล่ะ ? ข้าบอกแล้วว่าเจ้าต้องรู้สึกกับวัวนั่น ถ้าเจ้าดื่มนมของมันไปจนเจ้าอายุได้ 4 ปี ”
ฉินมู่หน้าแดงขึ้นมา 4 ขวบแน่นอนว่าควรเป็นวัยที่ควรหย่านมไปนานแล้ว แต่มันคงไม่สำคัญหรอก ถูกมั้ย ?
“ ย่า ปู่ฆ่าผู้หญิงคนนั้นไปแล้ว...”
“ ก็ดีแล้ว ” ย่าซีหัวเราะออกมา “ นางได้ทำการต่อรอง นางต้องตายเมื่อ 11 ปีก่อนแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าต้องการนม นางจะมีชีวิตมาจนถึงวันนี้รึ ? “
ฉินมู่ไม่รู้ว่าย่านั้นพูดถึงอะไร
ย่าซีมองมาที่เขาและพูดขึ้น “ผู้หญิงคนนั้นคือเมียของเจ้าเมืองพรมแดนมังกรซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่ไปหลายพันไมล์ เมืองพรมแดนมังกรนั้นเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยตัณหาและผู้หญิงคนนั้นก็มีความอิจฉาที่เกิดได้ง่าย เจ้าเมืองชอบที่จะออกไปพบสาว ๆ และมักจะลักพาตัวหญิงจากชนชั้นสูง และทุกครั้งเจ้าเมืองทำให้สาวเหล่านั้นมีมลทิน เมียของเขาจะส่งคนไปจัดการพวกนั้นจนตาย ข้าได้แอบเข้าไปในเมืองเพื่อลอบจัดการนางแต่ในตอนที่ข้าเห็นว่านางนั้นเพิ่งคลอดลูกที่อายุได้ 3 เดือนและพบว่านางมีนมที่เจ้าต้องการอยู่ ข้าเลยเปลี่ยนให้นางเป็นวัว ข้าไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะหลุดออกจากผนึกได้และยังพูดได้อีก อีกทั้งยังเกือบทำอันตรายเจ้าด้วย”
เขาอึ้ง ฉินมู่ได้ร้องออกมา “ ย่า ท่านเปลี่ยนมนุษย์เป็นวัวได้ยังไง ? “
ย่าซีหัวเราะคิกคักและเผยรอยยิ้มออกมา “ เจ้าอยากเรียนมันงั้นเหรอ ? ข้าจะสอนเจ้า...โอ้ เจ้าด้วนกลับมาแล้ว ! ”
ฉินมู่มองออกไปและพบว่าปู่นั้นได้กลับมาแล้ว พร้อมกับใช้มือข้างหนึ่งจับเข้าที่ท้องและมืออีกข้างแบกสัตว์อสูรที่หลัง ความมืดนั้นไหลเข้ามาในหมู่บ้านอย่างกับคลื่นที่โกรธเกรี้ยว ทำให้ย่าซีตะโกนออกมาด้วยความกังวล “ รีบเร็วเข้า ! เจ้าด้วน ! เร็วอีก ! ”
“ รีบไปไหนกัน ? ”
ปู่คนนั้นเดินเข้ามาที่หมู่บ้านด้วยความเร็วที่คงที่และในตอนที่เขาเข้ามาในหมู่บ้านแล้วความมืดนั้นก็ทะลักเข้ามา สัตว์อสูรอยู่บนหลังเขานั้นคือเสือหลากสี มันยังมีชีวิตอยู่ ความมืดพุ่งเข้าไปที่หางของมันและทำให้มันร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ฉินมู่รีบวิ่งไปด้านหลังเพื่อดูและพบว่าสิ่งที่เหลือตรงหางของมันมีแค่กระดูกเท่านั้น ผิว, ขนและเนื้อนั้นได้หายไปราวกับมีบางอย่างกัดพวกมันออกไปหมด
ฉินมู่มองไปที่ความมืดนอกหมู่บ้านด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่อาจมองเห็นอะไรได้จากความมืดเหมือนกับหลุมดำแบบนี้
“ มีอะไรอยู่ในความมืดนั้นกันแน่ ? ” เขาคิด