px

เรื่อง : Tales of Herding Gods
Chapter 7: กำแพงแก่นวิญญาณ


Chapter 7: กำแพงแก่นวิญญาณ

 

ลิงปิศาจหงุดหงิดขึ้นมาทันทีและเริ่มไล่ตามฉินมู่ แต่หลังจากที่วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว มันก็ตะหนักได้ถึงความเร็วที่น่ากลัวของฉินมู่ เพราะขนาดอันใหญ่โตของมัน  นี่เหมือนกับการดูถูกมันอย่างมาก  มันเริ่มถอนต้นไม้ออกทีละต้น ๆ และเริ่มใช้มันเขวี้ยงออกไปเหมือนกับหอก

“ ตายซะ เด็กน้อย !

ท่อนไม้พุ่งผ่านอากาศออกไปด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อซึ่งแสดงให้เห็นแล้วว่ามันรุนแรงแค่ไหน แต่การเขวี้ยงของลิงนั้นไม่ได้แม่นยำเท่าไหร่นัก  ดังนั้นท่อนไม้พวกนั้นจึงพลาดเป้าออกไปหลายหลา

ลิงปิศาจโกรธยิ่งกว่าเดิมและอยากโยนหอกต้นไม้ออกไปอีก แต่ฉินมู่นั้นได้วิ่งออกไปไกลแล้ว ไม่ว่ามันจะโกรธเพียงใด มันก็ไม่อาจปาออกไปโดนเขาได้  ดังนั้นที่มันทำได้ตอนนี้คือตีอกตัวเองด้วยความหงุดหงิดเท่านั้น

ศิษย์พี่กู่นั้นเรียกคนอื่นออกมาเบา ๆ “ การบ่มเพาะของเด็กปิศาจนั่นแน่นอนว่าน่ากลัวสำหรับเราและการบาดเจ็บของเขาต้องร้ายแรงกว่าข้าแน่  ไม่มีทางที่เขาจะหนีไปได้ไกลได้ ”

เขาผลักตัวเองให้กลับมายืน  เขาอดกลั้นความเจ็บปวดปะทุขึ้นมาที่อกตัวเอง  เขากลัวว่าซี่โครงเขาคงหักหลายซี่จากการโดนลิงปิศาจนั่นโจมตีเข้ามา แต่เขาเชื่อว่าถ้าฉินมู่ นั้นทนได้ เขาก็ต้องทนได้ด้วย

เขาไม่คิดว่าฉินมู่จะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้

การบ่มเพาะของฉินมู่นั้นแน่นอนว่าไม่ได้อ่อนแอ  พลังฉีภายในของเขานั้นขาดคุณสมบัติของร่างวิญญาณ นั่นเป็นเหตุผลเดียวที่เขาไม่สามารถแสดงพลังออกมาได้อย่างเต็มที่

แม้ว่าจะยังเด็กแต่ก็ถ้ามาเปรียบเทียบเรื่องการบ่มเพาะกันแล้ว แน่นอนว่าฉินมู่นั้นไม่ได้อ่อนแอกว่าใครเลย ....รวมถึงศิษย์พี่กู่ด้วย !

พวกเด็ก ๆ เดินอ้อมเขตของลิงปิศาจเพื่อตามหาร่องรอยของฉินมู่อีกครั้ง  ก็อย่างที่ศิษย์พี่กู่ได้พูดไว้  ฉินมู่นั้นคงได้รับบาดเจ็บร้ายแรงเช่นกัน ทำให้อีกฝ่ายไม่มีตัวเลือกนอกจากลดความเร็วลงจนพวกเขาตามมาทัน

แต่แม้ว่าพวกนั้นจะไล่ตามต่อ แต่พวกนั้นก็พบว่าความเร็วของฉินมู่นั้นเพิ่มขึ้นราวกับว่าอาการบาดเจ็บนั้นไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องเลย

“ ปิศาจน้อยนี่คงมียารักษาที่อัศจรรย์เป็นแน่ !

เด็ก ๆ ทั้งสี่คนใจหล่นวูบ   ศิษย์พี่กู่นั้นได้กินยาที่สำนักของพวกเขาให้มา แต่ชัดเจนแล้วว่ามันไม่ได้ผลเท่ากับยา ของฉินมู่   เมื่อเห็นว่าความเร็วของฉินมู่นั้นเพิ่มขึ้น พวกนั้นจึงเดาว่าอาการบาดเจ็บของเขานั้นแน่นอนว่าต้องฟื้นฟูได้ระดับที่เห็นด้วยตาเปล่าได้

ยาแบบนี้ทำให้พวกนั้นเกิดความโลภขึ้นมา

“ ยาในสำนักของเรานั้นไม่ได้มีคุณภาพสูงที่สุด ถ้าเราจัดการจับปิศาจน้อยนั้นมาและเอายาจากเขามาได้ อาจารย์ของเราต้องยินดีและให้รางวัลเราอย่างงามแน่ !

แต่กลับกันกับที่พวกเขาคิด  ฉินมู่นั้นไม่ได้กินยาใด ๆ เลย  เขาแค่ปรับลมหายใจเข้าออกในตอนที่วิ่งทำเทคนิคร่างราชันสามชีวิตไปเรื่อย ๆ ตามที่ผู้ใหญ่บ้านได้สอนเขามา  เทคนิคที่เขาไม่รู้ว่าคนทั่วไปนั้นเรียกสิ่งนี้ว่าทักษะเตาหยิน

การบ่มเพาะด้วยการใช้ทักษะร่างราชันย์สามชีวิตในตอนที่วิ่งนั้น ทำให้เขาค้นพบสิ่งใหม่  เขาตระหนักได้ว่าพลังฉีภายในของเขานั้นทำงานมากกว่าเดิมในตอนที่เขาวิ่ง  ความเร็วในการปรับลมหายใจเองก็เร็วขึ้นเช่นกัน

นี่คือสิ่งแตกต่างจากที่เขาเรียนมา  ทักษะร่างราชันย์สามวิญญาณที่ผู้ใหญ่บ้านได้สอนเขานั้นต้องให้เขาเข้าสมาธิและควบคุมลมหายใจ  ฉินมู่เรียนรู้วิธีโคจรพลังฉีภายในและปรับตัวให้เข้ากับมันโดยใช้มันในการปรับสภาพร่างกาย

เขาทำตามสิ่งที่ผู้ใหญ่บ้านสอนมากว่าสิบปีในการบ่มเพาะทักษะนี้ ตอนนี้เขาได้ค้นพบว่าทักษะนี้จะใช้ได้ดีกว่าเดิมในการบ่มเพาะมันในตอนที่วิ่ง

ฉินมู่วิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้และโคจรทักษะได้เร็วขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งมันได้ปรับตัวและพัฒนาทั้งความเร็วและสภาพร่างกายของเขา !

อีกอย่างเขาได้โคจรพลังฉีภายในผ่าอวัยวะภายใน, แขนขา, กระดูกและแม้แต่เส้นเอ็นระหว่างกล้ามเนื้อและกระดูกอยู่หลายรอบเพื่อชำระล้างพวกมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า

อวัยวะภายในและกระดูกที่ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีของลิงปิศาจนั้นได้ฟื้นฟูขึ้นมาทีละนิด ๆ ด้วยการชำระล้างของพลังฉีที่โคจรในตัวเขา

ศิษย์พี่กู่และคนอื่น ๆ คิดว่าเขาคงพึ่งยาระดับสูง แต่ไม่คิดว่าเขาจะพึ่งแค่ทักษะอันน่าเหลือเชื่ออย่างร่างราชันย์สามชีวิต

ฉินมู่ตระหนักได้ว่าพลังฉีภายในเขายังไม่ได้ไปถึงจุดสำคัญจุดหนึ่ง – จุดตรงหว่างคิ้วของเขา

ตรงหว่างคิ้วนั้นมีพื้นที่ขาดพอ ๆ กับนิ้วหนึ่ง

พลังฉีภายในนั้นยังไม่สามารถไปถึงจุดนั้นได้  แม้ว่าพลังฉีภายในเขาจะผ่านไปทั่วทั้งกะโหลกและชำระล้าง และทำให้มันแข็งแกร่งขึ้นแล้ว แต่มันก็หยุดทุกครั้งที่มาถึงหน้าผากของเขา  มันราวกับว่ามีกำแพงที่มองไม่เห็นกันพลังฉีไม่ให้ไหลผ่านเข้าไป

ในตอนที่เขาส่งพลังฉีไปตรงกำแพงนั้นก็ได้มีบางอย่างแปลก ๆ เกิดขึ้น

ฉินมู่ ได้ยินเสียงลึกลับดังขึ้นมา

เสียงนี้เหมือนกับเสียงที่มาจากท้องฟ้าไกลไปถึงสวรรรค์  เสียงมันดูศักดิ์สิทธิ์และน่าเคารพ เหมือนกับเสียงของพรเจ้าที่ส่องลงมาจากสวรรค์

ทุกครั้งที่เสียงนั้นดังขึ้นมา พลังฉีภายในของเขาจะถอยกลับไปราวกับคลื่นที่ควบคุมไม่ได้และผ่านจุดตรงหว่างคิ้วเขาไป

“ รึว่ามันคือกำแพงแก่นวิญญาณ ? ฉินมู่พูดกับตัวเอง

ฉินมู่สับสน   ผู้ใหญ่บ้านและคนอื่น ๆ นั้นได้อธิบายเรื่องกำแพงและวิธีทลายกำแพงให้เขาฟัง  กำแพงนั้นคือสิ่งที่ผนึกจุดต่างบนร่างกายนักรบ  ในตอนที่กำแพงได้พังทลายแล้วจะได้พบกับจุดสวรรค์ด้านใน

แต่พวกนั้นไม่ได้บอกเขาว่ากำแพงแก่นวิญญาณนั้นอยู่ส่วนไหนของร่างกายและวิธีที่จะทลายกำแพงนั่นด้วย

ที่ฉินมู่ไม่รู้คือไม่ใช่ว่าผู้ใหญ่บ้านและคนอื่น ๆ จะไม่อยากบอกเขาเรื่องนี้  จริง ๆ แล้วมันไม่มีเทคนิคพิเศษอะไรในการทำลายกำแพงแก่นวิญญาณอยู่บนโลก

คนที่มีร่างกายธรรมาและคนที่มีร่างวิญญาณนั้นมีสิ่งที่อยู่ภายในสองอย่างต่างกัน

คนที่มีร่างวิญญาณนั้นเกิดมาพร้อมกับกำแพงแก่นวิญญาณตั้งแต่กำเนิด ทำให้ตัวของพวกเขานั้นเหนือกว่าคนอื่น ๆ   กำแพงแก่นวิญญาณของคนธรรมดานั้นกลับกัน  กำแพงพวกนั้นจะถูกผนึกไปตลอด  คนที่มีร่างวิญญาณจึงไม่ได้สนใจเรื่องคนธรรมดามากเท่าไหร่

แม้ว่าจะมีผู้ฝึกทักษะต่อสู้จากคนธรรมดาอยู่บ้าง แต่ผู้ใหญ่บ้านและคนอื่น ๆ ไม่เคยได้ยินว่าพวกนั้นจะทำลายกำแพงแก่นวิญญาณได้  ผลก็คือพวกเขานั้นไม่รู้ว่าคนธรรมดานั้นจะทำลายกำแพงนั้นได้อย่างไร

ในตอนที่เขาใช้พลังฉีภายในแผ่เข้าไปตรงหว่างคิ้ว ฉินมู่ก็ยังคงทำการหลบหนีต่อไปด้วย  ทุกครั้งที่เสียงลึกลับดังขึ้นมา พลังฉีภายในของเขาจะถอยออกมาจากกำแพงนั่น  แม้ว่าตอนนี้เขาจะทลายกำแพงไม่ได้ แต่ฉินมู่ก็ยังอดทนและเชื่อว่าเขาจะทำมันได้สำเร็จ

ฉินมู่นั้นไม่ได้คิดจะบอกเรื่องนี้กับผู้ใหญ่ในหมู่บ้าน  เขาตัดสินใจว่าจะทำให้พวกนั้นแปลกใจหลังจากทลายกำแพงได้แล้ว

มันยากที่จะบอกว่าพวกนั้นจะแปลกใจ...รึช็อค

เพราะศิษย์พี่กู่และอีกสี่คนนั้นไล่ตามฉินมู่อยู่ พวกนั้นจึงเริ่มกังวลเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ปิศาจน้อยนี่ไม่ใช่แค่ฟื้นฟูอาการบาดเจ็บแต่ความเร็วยังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อีก !

ตอนนี้แหละคือสิ่งที่น่ากลัว  มันหมายความว่าแม้ฉินมู่จะทำการวิ่งหนีอยู่ การบ่มเพาะของเขาก็ยังพัฒนาขึ้นไปด้วย !

แม้ว่าการเพิ่มความเร็วจะช้าลงและเริ่มคงที่แต่มันก็ยังคงน่ากลัวอยู่ดี !

การบ่มเพาะนั้นมีกฎที่ทุกคนต้องทำตาม  แม้แต่คนที่ประสบผลสำเร็จก็ยังต้องทำการบ่มเพาะไปช้า ๆ ไม่ใช่ในครั้งเดียว  ทุกคนนั้นต้องบ่มเพาะหลายวัน รึหลายเดือนเพื่อที่จะพัฒนาการบ่มเพาะขึ้นเล็กน้อย

ด้วยกฎข้อนั้น ทำให้พวกเขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าการบ่มเพาะของปิศาจน้อยนี้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งมันน่ากลัวสำหรับพวกเขา !

โชคดีที่ฉินมู่นั้นยังด้อยกว่าทั้งห้าคน  แม้ว่าการบ่มเพาะของเขาจะพัฒนา แต่ก็ยังมีช่องว่างระหว่างเขากับพวกนั้นอยู่

แต่การที่พวกนั้นจะตามเขาทันนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย   เนื่องจากเขาได้รับบาดเจ็บเพราะปิศาจลิง  ฉินมู่นั้นต้องระวังตัวมากกว่าเดิมและหลบเลี่ยงเขตของพวกสัตว์อสูรแปลก ๆ

เมื่อไหร่ก็ตาม ตอนที่หมอพาฉินมู่ออกมาเก็บสมุนไพร  ปู่หมอมักจะบอกเขาว่าสัตว์อสูรพวกนี้นั้นฉลาดอย่างมาก  พวกมันมีเขตของตัวเองและจะทิ้งเครื่องหมายบ่งบอกเอาไว้  เครื่องหมายเหล่านั้นก็รวมไปถึงต้นไม้ที่มีกองกระดูกฝังอยู่ที่พื้น, กองกะโหลกของสัตว์อสูรเป็นกอง ๆ รึแม้แต่เยี่ยวของมัน  ตราบใดที่เห็นเครื่องหมายเหล่านั้น เขาก็จะหลบเลี่ยงอาณาเขตของมันได้

ในตอนที่ฉินมู่ไปพบกับปิศาจลิง มันได้มีเครื่องหมายของรอยกำปั้นบ่งบอกว่านี่คืออาณาเขตของมัน  ฉินมู่นั้นบังเอิญวิ่งเข้าไปในอาณาเขตมันเพราะเขาไม่เห็นเครื่องหมาย  เนื่องจากตอนนี้เขาระวังตัวมากกว่าเดิม ทำให้เขาจะไม่ทำผิดพลาดแบบเดิมซ้ำอีก

แต่แม้ว่าเขาจะไม่ได้บังเอิญเข้าไปในเขตของสัตว์อสูรพวกนั้น แต่ก็ยังมีพวกที่ออกมาหาอาหารนอกเขตของมันอยู่ ทำให้ดินแดนแห่งนี้นั้นเต็มไปด้วยอันตราย

ฉินมู่วิ่งไปที่บ่อที่ซึ่งเขาเห็นสัตว์อสูรสองตัวกำลังสู้เพื่อแย่งอาณาเขตกันอยู่  สัตว์อสูรที่สู้กันนั้นคือแร้งหิมะหัวงูและมังกรงูพิษ  ตัวแรกนั้นได้สร้างเกล็ดลมขึ้นมาทั่วทั้งปีก  ร่างกายขนาดใหญ่ของมันทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า  ตัวหลังนั้นพุ่งลงไปในบ่อด้านล่างทำให้เกิดแรงระเบิดมหาศาลเพราะร่างกายอันยาวเหยียดของมัน

ก่อนที่ฉินมู่จะได้เข้าไปในบ่อ ก็เกิดพายุที่ซึ่งสัตว์สองตัวนั้นสร้างขึ้นมาพัดเขากระเด็นออกมา  เมื่อกลับมายืนที่พื้นแล้ว เขาก็พบกับกระทิงที่เกือบจะกระทืบเขาตาย

“ ข้าเริ่มไกลจากหมู่บ้านขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว... ”

เมื่อเขารู้แบบนั้น เขาก็ใจหล่นวูบ

คนห้าคนยังคงไล่ตามเขาอยู่ ทำให้เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะกลับหมู่บ้านไปได้ แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือ ....

พระอาทิตย์กำลังจะตกดินแล้ว !

ฉินมู่และท่านย่าซีได้ออกจากหมู่บ้านมาตอนบ่าย  ตอนนี้พระอาทิตย์นั้นกำลังจะตกดินและความมืดนั้นจะมาเยือน   ถ้าเขากลับหมู่บ้านก่อนความมืดครอบคลุมไม่ได้แล้ว เขาคงต้องเผชิญหน้ากับอันตรายที่หนักหนาเป็นแน่ !

“ ท้องฟ้ากำลังจะมืดแล้ว ศิษย์พี่กู่ !

ห่างไปด้านหลัง ฉินมู่   ศิษย์พี่กู่และพวกเองก็เห็นว่าพระอาทิตย์กำลังจะตกดินแล้วเช่นกัน

เด็กคนที่ฉินมู่เตะใส่นั้นแสดงสีหน้าอึดอัด  “ อาจารย์บอกว่าดินแดนแห่งนี้นั้นโดนสาป  พวกมันคือเขตหวงห้ามในตอนกลางคืน  เราต้องกลับไปที่หมู่บ้านซึ่งมีรูปปั้นหินคอยปกป้องอยู่ ! ไม่งั้นแล้ว....ทางเดียวที่เหลืออยู่คือความตาย ! ”

ศิษย์พี่กู่ส่ายหน้า  “ มันสายเกินไปที่จะหันหลังกลับตอนนี้  ด้วยระยะทางที่เรามาได้ เราคงกลับไปที่หมู่บ้านก่อนพระอาทิตย์ตกดินไม่ได้แน่   ความมืดเองก็เป็นอันตรายต่อปิศาจน้อยพอ ๆ กับเรา   เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหาว่าปิศาจน้อยนั้นเขาจะไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน !

รีวิวผู้อ่าน