Chapter 8: ผิวหนังของย่าซี
“ ย่าเคยบอกว่าถ้าข้าหลงในดินแดนนี้และกลับหมู่บ้านไม่ได้ ข้าไม่ควรตื่นตระหนก ” ฉินมู่คิดกับตัวเอง “ มีที่พักที่รกร้างในดินแดนแห่งนี้อยู่ ถ้าข้าหาที่นั่นเจอแล้วไปซ่อนตัว ข้าอาจจะรอดไปได้ สองเงื่อนไขที่ข้าต้องมีเพื่อให้หาที่เหล่านั้นเจอโดยคิดถึงความปลอดภัยนั้น อย่างแรกคือมันต้องมีรูปปั้นหินที่คล้ายกับของหมู่บ้าน อย่างที่สองข้าจำเป็นต้องตรวจสอบว่าที่นั่นมีสัตว์อสูรตัวใหญ่ ๆ อยู่หรือไม่ ยิ่งมันฉลาดมากเท่าไหร่ มันยิ่งรู้ว่าควรจะหนีจากความมืดมิดยังไง....”
มีซากที่พักอยู่หลายที่ในดินแดนแห่งนี้ ฉินมู่ มันเคยผ่านซากเมืองเหล่านั้นก่อนหน้านี้มาแล้ว คิดจากรั้วที่พังและกำแพงที่ทลายลงมาแล้ว พวกมันเป็นที่ที่เก่าอย่างมาก แต่เขานั้นไม่ได้มีเวลาหยุดเพื่อตรวจสอบว่าที่นั่นมีรูปปั้นหินหรือไม่
อยู่ ๆ ทั้งโลกก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด เงียบซะจนอาจทำให้คนกลายเป็นบ้าได้
พระอาทิตย์เริ่มตกดินที่เส้นขอบฟ้า มันฉายแสงแค่เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
หลังจากที่พระอาทิตย์ตกดินลงไป ความเงียบก็ครอบคลุมเข้ามาทันที มีเสียงกระพือปีกดังขึ้นมา เมื่อมองขึ้นไปด้านบน ฉินมู่เห็นนกยักษ์กำลังบินอยู่เหนือหัวของเขาสร้างแรงลมมหาศาลซะจนพื้นดินสั่นสะเทือน และต้นไม้รอบ ๆ เขาก็เริ่มที่จะล้มลงไป เริ่มมีสัตว์อสูรดิ้นออกมาจากหลุมที่พวกนั้นขุดเอาไว้และเริ่มกรีดร้องออกมาด้วยความหงุดหงิด
ฉินมู่ยังได้ยินเสียงน้ำกระเซ็นจากบ่อ เมื่อมองไปเขาก็พบกับปลาตัวใหญ่ที่กระโดดขึ้นมาจากผิวน้ำและใช้ครีบของมันตีไปที่พื้นอย่างกับมันมีขา !
สิ่งที่เห็นนั้นทำให้ฉินมู่สับสน ปลาพวกนี้จะถือว่าเป็นปลาอยู่หรือถ้าพวกมันวิ่งบนดินได้ ?
“ สัตว์อสูรพวกนี้กำลังมุ่งหน้าไปทิศทางเดียวกัน แน่นอนว่าข้าคงสามารถหลบความมืดได้ ถ้าไปที่นั่นด้วย ! “
เมื่อคิดได้ดังนั้น ฉินมู่จึงรีบวิ่งตามสัตว์อสูรไปทันที
เพราะท้องฟ้าเริ่มหม่นลงเรื่อย ๆ ความมืดมิดก็เริ่มแห่ทะลักเข้ามาอย่างกับคลื่น มันเหมือนกับคลื่นยักษ์ที่ท่วมท้นเข้ามาที่ภูเขา, หุบเขาและทุกอย่างที่ขวางกั้นมันอยู่ แม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเห็นความมืดมิดที่แห่งเข้ามา แต่ฉินมู่ก็ยังถือว่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้เขาตะลึงอยู่ดี
ความมืดมิดนั้นไหลมาหาฉินมู่และกลุ่มของสัตว์อสูรเหมือนกระแสน้ำที่เชี่ยวกราด แต่สัตว์ทุกตัวก็ยังคงวิ่งไปยังทิศทางเดิมอยู่
ฉินมู่ลังเลไปสักพัก
มันมีที่ปลอดภัยจริง ๆ หรือ ที่ซึ่งเขาสามารถใช้เป็นที่หลบซ่อนจากความมืดได้
ไม่ใช่ว่าเขาจะตกอยู่ในอันตรายหรอกหรือถ้ามันไม่ใช่ที่แบบที่เขาคิด ?
“ ความมืดนั้นเข้ามาอย่างรวดเร็ว แม้ว่าข้าจะหันหลังกลับตอนนี้ ข้าคงไม่สามารถกลับหมู่บ้านได้ ข้าไม่มีทางที่จะหนีความมืดมิดได้แน่ “
เขากัดฟันแน่นแล้ววิ่งไปข้างหน้าต่อ
“ ไม่จำเป็นต้องกังวล ข้าทำได้แค่วิ่งตามสัตว์พวกนี้ไปเท่านั้น ! “
3 ไมล์ขนาบแม่น้ำข้าง ๆ หมู่บ้าน การต่อสู้ระหว่างย่าซีกับผู้อาวุโสทั้งห้านั้นได้มาถึงจุดแตกหัก ตอนแรกมีผู้อาวุโสเพียงสี่คนเท่านั้นที่เข้าโจมตีย่าซี แต่เนื่องจากพวกนั้นยังไม่สามารถเอาชนะเธอได้ ผู้อาวุโสที่ห้าที่ยืนดูการต่อสู้อยู่บนผา ฉีหยานบิงก็เข้ามาร่วมการต่อสู้ด้วย เมื่อมีเขาเพิ่มเข้ามา พวกเขาจึงจัดรูปแบบการยืนเป็นรูปแบบหยินหยาง
เมื่อมาถึงตอนนี้ ย่าซีทำได้แค่พอรับมือจากการโจมตีของผู้อาวุโสทั้งสี่ แต่ความแข็งแกร่งของเธอกลับเพิ่มขึ้นอย่างน่าแปลกใจเมื่อฉีหยานบิงเข้ามาต่อสู้ด้วย แม้แต่รูปแบบหยินหยางเองก็ทำอะไรหญิงแก่คนนี้ไม่ได้
สิ่งนี้ทำให้ผู้อาวุโสทั้งห้าตะลึงและไม่นานพวกนั้นก็เริ่มหงุดหงิด ตอนนั้นเองพวกเขาก็รู้ว่าหญิงแก่คนนี้ต้องการจัดการพวกเขาในครั้งเดียว เพื่อให้จบการต่อสู้ เธอตั้งใจแสดงท่าทีว่าอ่อนแอเพื่อล่อให้ฉีหยานบิง เข้ามาต่อสู้ด้วยเพื่อกันไม่ให้เขาหลบหนีไป
มีแสงส่องออกมาจากเท้าของเธอ ย่าซีกระดิกเท้าตัวเองผ่านพื้นที่ตรงนั้นอย่างกับเงา เข็มเงินจากตะกร้าของเธอนั้นเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วราวกับมันมีความคิดเป็นของตัวเองและได้แทงเข้าไปที่บาดแผลของผู้อาวุโสทั้งห้า ด้ายนั้นถูกร้อยไว้ที่เข็มแล้วและพุ่งผ่านผู้อาวุโสทั้งห้าไปผูกมัดวิญญาณและร่างกายของพวกเขาไม่ให้พวกเขาขยับได้
ย่าซีเดินไปหาพวกนั้นพร้อมกับกรรไกรและรอยยิ้มอันสดใส “ ย่าคนนี้ไม่ได้จัดการกับผิวหนังของมนุษย์มานาน...ข้าสงสัยจริง ๆ ว่าจะหลงลืมทักษะนี้ไปแล้วรึยัง..”
ทันทีที่เธอมายืนอยู่ต่อหน้าฉีหยานบิง เขาก็อ้าปากออกมา มีลูกปรายเงินพุ่งออกมาจากปากของเข้า พุ่งเข้าใส่หน้าของย่าซี
ในตอนที่ลูกปรายเงินนั้นพุ่งชนอากาศ มันก็ขยายขนาดขึ้น ลูกปรายนั้นใหญ่กว่าเดิมเป็นร้อยเท่าขยายตัวเป็นก้อนที่สร้างขึ้นจากดาบแสงนับหมื่น !
การเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นตอนที่ย่าซีไม่ทันได้ระวังตัวและเธอได้ถอยกลับออกมาทันที ร่างกายของเธอนั้นดูแปลกไปคล้ายกับหนอนดินที่ดิ้นไปมา เธอหลบดาบแสงเหล่านั้น ในเวลาเดียวกันเธอก็ได้โยนกรรไกรในมือออกมา กรรไกรซึ่งคล้ายกับมังกรเงินสองตัวพุ่งผ่านอากาศ ตัดเข้าไปที่ดาบแสงเหล่านั้น
แม้ว่าเธอจะรวดเร็วแต่เธอก็ยังคงทำการป้องกันไว้อยู่
หนึ่งในดาบแสงนั้นได้เข้าแทงเธอที่ด้านหลังและเนื่องจากเธอนั้นหลังค่อม ทำให้ดาบนั้นแทงเข้าไปที่จุดบอดของเธอ
ไม่นานดาบแสงที่บินว่อนอยู่ทั่วท้องฟ้าก็ได้หายเป็นแตกออกเป็นชิ้น ๆ ก่อนจะร่วงมาที่พื้น
ดาบนั้นได้เปลี่ยนเป็นลูกปลายตามเดิมและหดตัวจนมีขนาดเท่ากับตอนที่มันออกมาพร้อมกับร่วงลงไปที่พื้นพร้อมกับรอยแตก
ย่าซีเองก็กลับลงมาที่พื้นด้วย เธอดึงดาบที่ปักอยู่ที่หลังพร้อมกับคิ้วขมวด
“ เจ้ายังคงหลบมันได้ ... ” ฉีหยานบิน ผู้นำของผู้อาวุโสทั้งห้าพูดขึ้นมา สีหน้าของเขาแสดงความสิ้นหวังออกมาพร้อมกับร้องขึ้น “ ดาบ 6,840 เล่มที่ซ่อนอยู่ในลูกปลายเงินนั้น แต่...ใกล้ขนาดนี้...แต่เจ้าก็ยังคงหลบมันได้ ! เจ้าไม่ใช่ปีศาจธรรมดาแล้ว..แต่หญิงแก่อย่างเจ้าเป็นตัวตนที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เจ้าเป็นใครกันแน่... ? ”
ในตอนที่เขาถามคำถามนั้นเขาก็เห็นว่ามีบางอย่างแปลกไปที่หลังของย่าซี แม้ว่าหลังค่อมของเธอนั้นจะมีบาดแผลที่เกิดจากดาบ แต่มันไม่ได้มีเลือดไหลออกมา แต่กลับกัน มันมีแสงส่องออกมาเผยให้เห็นว่าข้างในนั้นว่างเปล่า
“ นี่ไม่ใช่รูปลักษณ์ที่แท้จริงของเจ้า ” เมื่อตระหนักได้ดังนั้น ทำให้ฉีหยินบิงขนลุก “ เจ้า....เจ้าใส่ผิวหนังของคนอื่นอยู่ .. ”
“ เจ้าทำผิวหนังข้าขาด ” ย่าซีขมวดคิ้ว
เสียงที่เธอพูดออกมานั้นไม่เหมือนเสียงของคนแก่ แต่กลับเป็นเสียงหวาน ๆ และนุ่มนวล ใครก็ตามที่ได้ยินเสียงนี้คงคิดว่าเจ้าของเสียงคงเป็นหญิงสาวที่งามสง่าไม่ใช่คนที่ใกล้ตายแบบนี้
“ อ่า อากาศกำลังเข้ามาแล้ว ” ย่าซีพึมพำพร้อมกับถอนหายใจและเอามือกดที่ลำคอของตัวเอง
เธอหยิบเอาเข็มและด้ายออกมาจากตะกร้าและเย็บไปที่หลังของเธอพร้อมกับทดสอบน้ำเสียงซึ่งกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
แต่เสียงแปลก ๆ ที่พูดออกมาตะกี้ได้ทำให้ฉีหยานบิงตกใจ เขาแสดงสีหน้าราวกับเห็นผี
“ ข้าเคยได้ยินเสียงนี้มาก่อน... ” เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นกลัว “ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นใคร ! เจ้าคือผู้หญิงคนนั้น..ลัทธิปีศาจสวรรค์ ”
ในตอนที่ฉีหยานบิงพูดขึ้นมา สีหน้าของย่าซีก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอเย็บด้ายที่มัดทุกคนเข้าด้วยกันและก่อนที่เขาจะพูดจบ ผู้อาวุโสทั้งห้าก็ถูกสับเป็นชิ้น ๆ พร้อมกับเลือดที่กระเซ็นไปทั่วพื้น
น่าแปลกใจที่ด้ายนั้นไม่ได้มีเลือดเปรอะอยู่เลย จากนั้นมันก็ได้ขดตัวกลับเข้ามาเป็นลูกบอลราวกับมีชีวิตและกลับเข้าไปตะกร้าด้วยตัวเอง
ย่าซึฮึดฮัดออกมาด้วยความพอใจและหัวเราะกับตัวเอง
“ นานแค่ไหนแล้วที่เจ้ามาที่นี่ ไอ้ด้วน ? “
ไม่ไกลจากด้านหลังของเธอ ปู่ด้วนได้กระเผลกออกมาโดยใช้ไม้เท้าพยุง เขายิ้มกว้างออกมา “ ข้าเพิ่งมาถึง น้องสาวของข้า ข้าไม่เห็นรึไม่ได้ยินอะไรเลยสักอย่าง ”
ย่าซีหันกลับไปมองจากนั้นก็ยิ้มออกมา – “ ตราบใดที่เจ้านั้นไม่ได้ยินอะไรรึเห็นอะไรก็ดีแล้ว กลับหมู่บ้านกันเถอะ “
แทนที่จะเห็นด้วยแต่ปู่ด้วนกลับลังเล
“ ตลอดชีวิตข้านั้น เจ้าสำนักหลี่เทียนซิงของลัทธิปีศาจสวรรค์นั้นฉลาดและทรงพลัง แต่ในช่วงสิบปีต่อมาเขากลับทำเรื่องผิดพลาดโง่ ๆ เขาไปหลงใหลปีศาจที่สวยที่สุดซึ่งอายุน้อยกว่าเขา เขาทิ้งเมียคนเดิมและเอานางคนนั้นมาเป็นเมียใหม่และนั่นทำให้ลัทธิตกอยู่ในความโกลาหล ” ปู่ด้วนพูดขึ้นแล้วนึกถึงเรื่องในอดีต “ แต่ระหว่างคืนแรกของการเป็นสามีภรรยา ในตอนที่พวกเขากำลังจะดื่มด่ำชีวิตคู่ เมียคนใหม่ของเขาก็ฆ่าเขาและขโมยคัมภีร์ปีศาจของลัทธิไป ผู้อาวุโสทุกคนในลัทธิได้ออกมาจากการเก็บตัวเพื่อไล่ตามนางแต่นางก็ยังคงหลบหนีไปได้ ”
“ เกิดเรื่องแบบนั้นด้วยหรือ ? ” ย่าซีถามด้วยท่าทีใสซื่อ
“ แม้แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีวี่แววของนาง ” ปู่ด้วนตอบกลับ
“ ในอดีตนั้น หญิงแก่ผู้นี้ได้ยินเรื่องชายที่ฝึกทักษะขาตัวเองจนถึงขั้นระดับพระเจ้า เขามาถึงระดับที่ผู้คนเรียกขาของเขาว่าขาสวรรค์ ไม่มีใครในโลกเทียบความเร็วกับเขาได้ ” ย่าซีพูดพร้อมกับหัวเราะ “ แต่ชายคนนั้นตระหนักได้ว่าเขาสามารถใช้ความเร็วของเขาเพื่อทำการขโมยได้ การกระทำนั้นทำให้เขาตื่นเต้นและเขาก็เริ่มชอบมัน จนในที่สุดเขาก็สร้างชื่อขึ้นมาว่าคือโจรเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ซึ่งไม่มีใครจับเขาได้ เนื่องจากเขาไม่ใช่เทพจริง ๆ ฉายาของเขาที่มีคำว่า ‘ เทพ ‘ นั้นทำให้ใครบางคนที่เป็นเทพจริง ๆ นั้นโกรธ ราวกับว่าเขาได้คำประกาศิตจากเหล่าทวยเทพ ในตอนที่เขาเข้าไปยังอาณาจักรนิรันดร์เพื่อขโมยแผ่นบันทึกของจักรพรรดิ เขาถูกผู้คุ้มกฎเจอตัว แม้ว่าเขาจะเสียขาข้างหนึ่งไปในการต่อสู้ แต่ชายคนนั้นก็ยังหนีมาได้ เขาเอาแผ่นบันทึกออกมาและได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย...แม้ว่าชื่อเสียงของเขานั้นของเขาจะต่ำกว่าเทพ แต่ผู้คุ้มกฎก็ยังไม่อาจจะแย่งชิงของที่เขานำมาได้ อันที่จริง....เขายังมีขาสวรรค์เหลืออีกขาหนึ่งและยังคงรอคอยโอกาสที่จะกลับไปเอาสิทธิเดิมของตน ”
ย่าซีมองไปที่ปู่ด้วนด้วยท่าทีขบคิดและทั้งสองคนก็ได้หัวเราะออกมา
“ ย่า เราน่ะล้วนแต่เป็นคนพิการจากหมู่บ้านเดียวกัน ” ปู่ด้วนพูดขึ้นพร้อมกับยิ้มกว้างขึ้นเรื่อย ๆ “ เราก็ล้วนแต่มีความลับของตัวเองและสัญญากันกว่าจะไม่ถามความลับคนอื่น ”
“ จากนี้เป็นต้นไป....ข้าคงหูหนวกตาบอด ” เขาสาบาน “ ข้าจะไม่พูดอะไรทั้งนั้น ”
ย่าซีฮึดฮัดออกมาอีกรอบ จากนั้นก็เดินไปทางหมู่บ้านพร้อมกับตะกร้า “ มู่เอ๋อ ไปบอกเจ้าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและขอให้เจ้ามาที่นี่อย่างนั้นหรือ ? ”
ปู่ด้วนส่ายหน้า “ เจ้าและผู้อาวุโสห้าคนนั้นเกิดการต่อสู้กัน พวกเราทุกคนในหมู่บ้านนั้นรู้สึกได้ถึงคลื่นพลังงานจากการต่อสู้ของเจ้า ผู้ใหญ่บ้านจึงของให้ข้ามาตรวจสอบดู ”
สีหน้าของย่าซีเปลี่ยนไปและเธอได้ถามออกมาด้วยความกังวล “ มู่เอ๋อ กลับไปที่หมู่บ้านรึยัง ? ”
“ ข้ายังไม่เห็นเขาเลย...”
“ แย่แล้ว ! ”
ทั้งสองคนรีบกลับไปที่หมู่บ้านและก่อนที่พวกเขาจะไปถึงที่นั่น พระอาทิตย์ก็ได้ตกดินไปแล้วและความมืดก็ได้ทะลักเข้ามา ความมืดนั้นค่อย ๆ แผ่จากท้องฟ้ามากขึ้นเรื่อย ๆ จนครอบคลุมทุกอย่างบนเส้นทาง !
ย่าซีวิ่งกลับไปที่หมู่บ้านพร้อมกับออกตามหาฉินมู่
“ มู่เอ๋อ ยังไม่กลับมารึ ? ” เธอถามออกมาด้วยความหงุดหงิด
จากนั้นความมืดก็เริ่มเข้าครอบคลุมหมู่บ้านนี้ด้วย
“ ไม่จำเป็นต้องกังวล ”
ผู้ใหญ่บ้านที่ปู่ด้วนและปู่หมอแบกออกมาพูดขึ้นเพื่อหยุดไม่ให้ย่าซีเอารูปปั้นหินออกไปตามหาฉินมู่ เขาพูดขึ้นมา “ เราสอนเขาทุกอย่างที่เขาจำเป็นต้องรู้แล้ว ตราบใดที่เขาเรียนรู้มัน ฉินมู่น่าจะรอดในดินแดนแห่งนี้ได้ ท้องฟ้าตอนนี้มืดแล้ว ดังนั้นมันจึงไร้ประโยชน์ที่เจ้าจะออกไปตอนนี้ ”
คำพูดของผู้ใหญ่บ้านนั้นทำให้ย่าซีเสียใจ แต่เธอรู้ว่าสิ่งที่เขาบอกนั้นเป็นความจริง ความมืดนี้ได้ครอบคลุมดินแดนแห่งนี้หมดแล้ว ตราบใดที่ฉินมู่ยังคงมีชีวิตอยู่ เขาก็จะไม่ให้เธออกไปช่วยฉินมู่ ฉินมู่นั้นคงสามารถรอดค่ำคืนนี้ไปได้ ถ้าเขาตายมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่เธอจะแบกรูปปั้นหินนี่ออกไปตามหาเขา
“ เขายังมีจี้หยกนั่นอยู่กับตัว ... ” ย่าซีคิดกับตัวเอง
แต่แม้ว่าจะคิดถึงจี้หยก แต่เธอก็รู้ว่ามันมีระยะป้องกันที่จำกัดซึ่งทำได้แค่ปกป้องทารกตัวน้อย ๆ ตอนนี้ ฉินมู่โตแล้ว แสงปกป้องจากหยกนั้นใหญ่พอแค่ครอบคลุมช่วงอกเขาเท่านั้น
“ ทำตัวให้ฉลาด ๆ มู่เอ๋อ ” ย่าซีพึมพำกับตัวเอง “ เจ้าต้องรอดมาได้แน่นอน ”