px

เรื่อง : ปราณเทวะ เทพหยวน
ตอนที่ 28 เข้าสำนักชั้นหนึ่ง



ณ พระราชวังหลวง

 

" วิเศษ วิเศษจริงๆ หยวนเอ๋อ สมแล้วที่เป็นมังกรแห่งราชวงศ์โจวของข้า! "

 

บนโต๊ะอาหาร โจว ฉิง มีใบหน้าสีแดงระเรื่อ ท่วมท้นไปด้วยความยินดีจนยากที่จะปกปิด เขายิ้มขณะที่มอง โจว หยวน แล้วกล่าวอีกครั้งว่า " เจ้าคงไม่รู้ว่า ชู เทียนหยาง วิ่งตาเหลือกมายังพระราชวัง ชื่นชมเจ้าเป็นการใหญ่ "

 

เป็นที่ชัดเจนว่าเขาล่วงรู้ ฝีมือของ โจว หยวน ที่แสดงออกมาในวันสอบใหญ่ของสำนักวังต้าโจว

 

ใกล้ๆ ฉิน หยู่ เองก็มีใบหน้าที่ฉาบไว้ด้วยความสุข แววตาเต็มไปด้วยความปลาบปลื้มมองมายัง โจว หยวน

 

โจว หยวน ที่กำลังรับประทานอาการ พอได้ยินคำชื่นชมจาก โจว ฉิง และ ฉิน หยู่ เขาก็ยิ้มและกล่าวว่า " นี่เป็นเพียงการสอบใหญ่ แต่การสอบที่สำคัญคือการสอบสำนักประจำปี "

 

โจว ฉิง ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ " ชนะ แต่ก็ไม่หลงลืมตน หลายปีที่ถูกความเจ็บปวดกัดกิน เหมือนว่าจะไม่ได้กินด้านขาว "

 

" การสอบสำนักวังสิ้นปี นับว่าสำคัญมากจริงๆ "

 

โจว ฉิง ค่อยเอ่ยขึ้นว่า " วังราชันย์ฉี จ้องฮุบสำนักวังต้าโจว จึงได้ดำเนินแผนการนี้ขึ้นมาเป็นเวลานาน หากการสอบสำนักสิ้นปีพวกเขาครองตำแหน่งชนะเลิศอีกครั้งเดียว บางทีพวกนั้นคงจะเริ่มเปิดฉากโจมตี "

 

สายตาของโจว ฉิง ค่อยๆขมึงตึงและเย็นชา เห็นได้ถึงความเกลียดชังที่มีต่อวังราชันย์ฉี

 

" แต่ ฉี เยว่ ตอนนี้เบิกถึง 6 ชีพจร การสอบสำนักสิ้นปี เห็นได้ชัดว่า หยวนเอ๋อ เทียบกับเขาแล้ว . . . . " ฉิน หยู่ ที่เป็นกังวลแทน โจว หยวน มองเขาด้วยแววตาอึดอัด

 

เพื่อลดระยะห่างตรงจุดนี้ โจว หยวน มีแต่ต้องใช้ความพยายามให้มากขึ้น

 

โจว หยวน ยังคงมีท่าทีสงบ ยิ้มให้กับ ฉิน หยู่ แล้วกล่าวว่า " เสด็จพ่อ เสด็จแม่ โปรดวางพระทัย ลูกจะไมปล่อยให้พวกเขาได้ชัยเด็ดขาด "

 

ที่ผ่านมา เป็นเพราะชีพจรเขายังไม่เบิก จึงได้แต่หลบอยู่ใต้เงาปีกของบิดา เขายามนี้เขาสามารถเบิกชีพจรบ่มเพาะ แน่นอนว่าเขาย่อมทำให้ดีที่สุด นั้นก็คือ การทุ่มสุดกำลัง

 

เพราะเขาล่วงรู้ดีว่า สถานการณ์ของ ต้าโจว ตอนนี้ตกอยู่ในอันตราย

 

เมื่อมองเห็นท่าทางของ โจว หยวน โจว ฉิง และ ฉิน หยู่ ล้วนต่างก็ปลาบปลื้มปิติ พวกเขามักจะตำหนิโทษตัวเอง ที่อดีตปล่อยให้จักรพรรดิอู่ ทำให้แคว้นต้าโจวตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ซ้ำยังต้องมาทำให้ โจว หยวน ที่มีอายุเพียงแค่นี้ ต้องแบกรับแรงกดดัน

 

โจว หยวน ตระหนักถึงความรู้สึกของ โจว ฉิง และ ฉิน หยุ่ จึงค่อนข้างหดหู่ จึงรีบเปลี่ยนประเด็น " การที่ข้าเอาชนะและผ่านสอบในปีนี้ กล่าวได้ว่า เป็นเพราะพี่สาวเหยาเหยา "

 

บริเวณใกล้ๆ เหยาเหยาที่กำลังอุ้มถุนถุน รับประทานอาหาร คอยฟังอย่างเงียบๆ เมื่อได้ยินคำพูดนั้น นางก็ค้อน โจว หยวนเบาๆ ราวกับว่านางไม่พอใจที่เขาพูดเรื่องนี้

 

โจว ฉิง ได้ยิน ก็พลันพยักหน้า เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า " เหยาเหยา เรารู้สึกขอบคุณจริงๆ เพื่อเป็นการแสดงความนับถือ ข้าจะยกสุราให้เจ้าขวดนึง "

 

เมื่อคำพูดนั้นหลุดจากปาก ฉิน หยู่ ก็เกิดความไม่พอใจ รีบมองไปยัง เหยาเหยา ในความคิดของนางคิดว่าอีกฝ่ายยังเป็นเพียงแค่เด็กสาวที่ยังไม่เติบโตสมบูรณ์พร้อม โจว ฉิง ให้สิ่งมึนเมาเช่นนี้ อาจเป็นผลเสีย

 

แต่นางยังไม่ทันได้เอ่ยวาจา แววตาของ เหยาเหยา ก็เกิดประกายสดใจไม่พูดพล่ำทำเพลง รีบยื่นมือขาวๆออกไปรับสุราชั้นเลิศ ก่อนที่จะเทกระดก

 

โจว ฉิง หันไปมอง ฉิน หยู่ ที่กำลังแสดงสีหน้าที่พอใจอีกครั้งด้วยรอยยิ้มกระอักกระอ่วน รีบดื่มสุราในจอกทั้งหมด ไม่กล้าเอ่ยถึงเรื่องแสดงความนับถือใดๆอีก

 

. . . . . . .

 

วังราชันย์ฉี

 

ในห้องทรงอักษร มีแสงจากไฟจากเตาอบถูกจุด กลายเป็นควันจางๆลอยอบอวล

 

นอกจากนี้ยังมีชายวัยกลางคน สวมชุดคลุมแพรเหลือง นั่งเปิดดูตำรา ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม บรรยากาศรอบๆเยือนยะเยือก แฝงด้วยความกดทัน ทำให้ผู้พบเห็นไม่กล้าสบตาดูแคลน

 

หน้า เก้าอี้ประทับของเขา ฉี เยว่ กำลังกุมมือผสานเป็นการเคารพ

 

" เจ้าบอกว่าองค์ชายขยะ ตอนนี้เบิกชีพจรได้แล้วงั้นรึ ? " หลังจากที่เงียบเอาแต่ดูตำรามานานสองนาน ชายวัยกลางคนสวมชุดแพรก็เปิดปากกล่าว

 

" ขอรับ เสด็จพ่อ เขาที่เบิก 2 ชีพจร แต่ทำให้ หลิน เฟิง ที่เบิก 4 ชีพจร พ่ายแพ้ " ฉี เยว่ รีบตอบทันที

 

แท้จริงชายวัยกลางในชุดแพร ก็คือ ราชันฉีผู้ต้องการต้าโจว ฉี โหยว

 

ราชันฉี ม่านตาหดแคบ ราวกับตาของอสรพิษ บรรยากาศรอบๆน่าสะพึง ค่อยๆกล่าวขึ้นว่า " คนที่เคยมีชะตามังกรเทวะ แต่ถูกทำลาย เพียงแค่ยังมีชีวิตอยู่มาได้ก็นับว่ายาก "

 

ในตอนนั้นแววตา ฉี เยว่ เกิดจิตสังหารแล่นผ่านก่อนจะรีบพูดว่า " เสด็จพ่อ เราต้องแจ้งเรื่องนี้แก่ราชวงศ์ อู่ หรือไม่ ? "

 

ราชันย์ฉีลังเลครู่นึง ก่อนส่ายศีรษะ " ราชวงศ์อู่ กำลังทำสงครามกับอีกสองแคว้นใหญ่ในระแวกซึ่งถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย อีกทั้งองค์ชายขยะของราชวงศ์โจว ได้ถูกพรากชะตามังกรเทวะ จนถูกพิษมังกรพิโรธกัดกิน การที่จะรักษาให้กลับมาฟื้นคืนสภาพมันไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้น ข้าจึงยังไม่อาจรีบด่วนสรุปได้ "

 

ฉี เยว่ ได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าลงเล็กน้อย โจว หยวน ที่ผ่านมาเหมือนถูกสวรรค์ทอดทิ้ง หากคิดจะลุกขึ้นมาย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน

 

" นอกจากนี้ ต่อให้เรื่องที่มันสามารถลุกขึ้นมานั้นจริงหรือไม่ ข้า ฉี หยวน ก็มิได้กลัวเจ้าเด็กนั้น " ฉี หยวน แสยะยิ้มกล่าวต่ออีกว่า " ข้าเตรียมการมาหลายปี กระทั้งตอนนี้ โจว ฉิง ยังไม่กล้าเผชิญกับข้า ลำพังเด็กที่สามารถเบิกได้ 2 ชีพจร มันจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์อะไรได้ ?

 

" แทนที่จะแจ้งเรื่ององค์ชายขยะกับ ต้าอู่ เราควรจะจัดการแทนพวกเขา เผื่อในอนาคตเราอาจจะได้รับการผลักดันให้เป็นผู้ปกครอง ต้าโจว "

 

ฉี หยวน กระแทกตำราลงบนโต๊ะข้างๆ และกล่าวว่า " ตราบใดที่ครอบครองอันดับ 1 ในการสอบสำนักปีนี้ สำนักวังต้าโจวก็จะต้องตกอยู่ในมือข้า นี้คือเรื่องที่สำคัญที่สุก "

 

" ดังนั้นการสอบสำนักสิ้นปีเจ้าต้องคว้าตำแหน่งชนะเลิศ "

 

ได้ยินที่ ฉี หยวน กล่าว ฉี เยว่ ก็รีบพยักหน้าอย่างไม่ลังเล พร้อมกับพูดด้วยความมั่นใจว่า " พระบิดา ทรงวางพระทัย การสอบสำนักสิ้นปี ภายในสำนักวังต้าโจวนี้ย่อมไม่มีใครสามารถเทียบเคียงข้า "

 

" ส่วน โจว หยวน หากมันตัดสินใจโง่ๆ พอเวลานั้นมาถึงข้าจะทำให้มันกลับไปเป็นขยะ ดูสิว่ามันยังจะลุกขึ้นได้อีกมั้ย! "

 

ทันใดนั้นมุมปากของ ฉี เยว่ ก็พลันแสยะยิ้มออกมา

 

. . . . . . .

 

ในวันถัดมา

 

รุ่งอรุณยามเช้า โจว หยวน ยังคงฝึก 98 ท่วงท่ากำหนดลมหายใจมังกร วันแล้ววันเล่า ทุกๆครั้งจะทำการปลุกชีพจร

 

หลังเสร็จสิ้นการฝึกฝน เขาก็ได้ทำความสะอาดชำระกาย ก่อนจะออกจากพระราชวังหลวง มุ่งหน้าไปยัง สำนักวังต้าโจว

 

หลังจากที่เข้าเป็นศิษย์สำนัก เขาจะไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนเช่นในอดีตที่มักจะมุ่งเป็นยังชั้นเรียน

 

สำนักวังต้าโจว สำนักชั้นหนึ่ง(สำนักแรก)

 

พื้นที่สำนักที่ใช้สอน นั้นกว้างขวางเปิดโล่ง ปรากฏร่างหลายสิบคนล้วนมีชีวิตชีวา

 

โจว หยวน ซู โหยวเหว่ยและศิษย์ใหม่คนอื่นๆ นับแต่นี้ไปต้องเรียนภายในสำนักร่วมกับหลายสิบคน ในตอนนั้นแววตาท่าทางของคนรอบๆเต็มไปด้วยความสนอกสนใจ อยากรู้อยากเห็น และ คาดหวัง

 

เมื่อกลายเป็นจุดสนใจเช่นนี้ โจว หยวน ทั้ง 3 คน ก็ประหลาดใจ

 

ขณะที่พวกเขากำลังประหลาดใจ ในสำนักก็มีเงาสองร่างเดินเข้ามา เป็นชายและหญิง บุรุษมีผิวคล้ำใบหน้าหยาบกร้านและรูปร่างสูงสง่า ปรากฏยิ้มขณะที่เดินตรงเข้ามา

 

สตรีก็หน้าตางดงาม แต่ก็ไม่อาจเทียบเคียงกับ ซู โหยวเหว่ย แต่เรียวขาคู่นั้นของนาง สามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่าขาวดั่งหยก

 

" ฮ่าฮ่า ขอแสดงความยินดีกับทั้งสามด้วย ข้าเป็นหัวหน้าศิษย์สำนักแรก หยาง จ้าย "บุรุษผิวคล้ำเดินตรงไปที่พวกโจว หยวน ทั้ง 3 คน พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

" ข้า ซ่ง ชิวซุ่ย " สาวงามขยิบตาให้กับทั้งสาม พร้อมกับเอ่ยด้วยรอยยิ้มอีกว่า " เมื่อวาน พอทราบว่าองค์ชาย โจว หยวน เลือกเข้าสำนักแรก ทุกคนล้วนพากันเฝ้ารอ "

 

แววตาคู่งามของนาง หันไปใกล้ๆ ซู โหยวเหว่ย ก่อนจะเปิดปากกล่าวว่า " แน่นอนว่าการมีสาวงามเข้าร่วมสำนักแรก นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีของพวกเรา "

 

ได้ยินที่นางเอ่ย ซู โหยวเหว่ย ก็หน้าแดงเล็กน้อย ใบหน้าอันงดงามนั้นทำให้ ศิษย์ในสำนักหลายๆคนต่างก็ตาเป็นประกายลุ่มหลง

 

หยาง จ้าย ยังคงยิ้มมองไปที่ โจว หยวน " องค์ชายโจว หยวน เรื่องฝีมือท่านที่แสดงในการสอบที่ผ่านมาแพร่กระจายไปทั่วทั้งสำนักวังต้าโจว การที่ได้ท่านมาเข้าร่วมทำให้เราได้โอกาสเพิ่มชื่อเสียง "

 

มุมปาก โจว หยวน ยกเป็นเส้นโค้ง ก่อนจะยกมือผสานที่อก พูดด้วยรอยยิ้ม " ที่นี่หาได้มีองค์ชาย ได้โปรดเรียกข้าว่า โจว หยวน "

 

เมื่อ หยาง ไจ้ ได้เห็นความสุภาพถ่อมตนของ โจว หยวน ก็ถึงกับตาเป็นประกาย ก่อนจะหัวเราะอย่างคนโง่ พร้อมกับพยักหน้า " เมื่อองค์ชายกล่าวเช่นนี้ งั้นข้าก็ไม่เกรงใจ "

 

ศิษย์ทุกคนเริ่มทำความรู้จักกัน แม้ศิษย์สำนักแรกที่เข้ามาก่อนมีศักดิ์เป็นศิษย์พี่ แต่ส่วนใหญ่ล้วนมีท่าทีเป็นมิตรหาได้วางอำนาจใดๆ จริงๆแล้วคนส่วนใหญ่ก็รู้จักกันมาก่อนแล้ว จึงสนิทกันอย่างรวดเร็ว

 

ในช่วงเวลานี้ โจว หยวน ทราบแล้วว่า หยาง จ้าย เป็นผู้ที่เข้ามาคนแรก ดังนั้นเขาจึงได้เป็นหัวหน้าศิษย์สำนักแรก เบิก 5 ชีพจร ส่วนซ่ง ชิวซุ่ย ก็เบิก 5 ชีพจรเช่นกัน

 

ด้วยพลังระดับนี้มันย่อมด้อยกว่าหากเทียบกับ. . . จึงไม่น่าแปลกใจว่าเหตุใด ชู เทียนหยาง จึงเป็นกังวลเรื่องการสอบสำนักประจำปี

 

ในยามนั้น ชู เทียนหยาง เดินตรงออกมาจากตำหนัก ก่อนจะส่งเสียงกระแอมเบาๆ ทำให้เหล่าบรรดาหนุ่มสาวที่ได้ยิน รีบสำรวม " คารวะ เจ้าสำนัก "

 

ชู เทียนหยาง พยักหน้าและกล่าวว่า " ตั้งแต่วันนี้ สำนักแรกเรามีสมาชิกเพิ่มอีก 3 คน พวกเจ้าคงรู้จักกันแล้ว ? "

 

เหล่าบรรดาหนุ่มสาวต่างก็อยู่ในความเงียบ

 

" ดี งั้นนับแต่วันนี้ พวกเจ้าต้องเพิ่มการฝึกเป็น 2 เท่า " ชู เทียนหยาง นำมือทั้งสองไขว้หลังกล่าวขึ้นโดยไม่แยแส

 

เมื่อได้ยินคำดังกล่าว ก็เริ่มเกิดเสียงสนทนา

 

ชู เทียนหยาง แค่นเสียง ก่อนจะตะโกนเพื่อเรียกความสงบ " การสอบสำนักสิ้นปีเหลือเวลาอีกไม่มาก เจ้าและก็เจ้าล้วนไม่ได้ตั้งใจฝึกฝนจริงจัง หากไม่มีใครสามารถเบิก 6 ชีพจรให้ทันช่วงสอบสิ้นปี ศีรษะก็จะถูกช่วงชิงไป เมื่อถึงเวลานั้นตำแหน่งของสำนักชั้นสองย่อมมีการเปลี่ยนแปลง เจ้าลองนึกดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต ?! "

 

ศิษย์มากมายที่ได้ยินคำตำหนิก้มหน้าลงด้วยความละอาย กระทั้ง หยาง ไจ้ และ ซ่ง ซิวซุ่ย ที่แข็งแกร่งสุดก็ต้องยิ้มอย่างขมขื่น สำนักชั้นสองนำไปไกลแล้ว ต่อให้พวกเขาใช้ความพยายามที่จะไล่ตาม แต่นั้น . . ก็เท่ากับเป็นการฝืนดันทุรัง

 

เห็นผู้คนไม่กล้าพูด ชู เทียนหยาง ก็ค่อยๆเอ่ยว่า " เตรียมตัวให้พร้อม วันนี้เราจะไป น้ำตกหยกวิญญาณ พวกเจ้าอย่าได้มัวชักช้า "

 

ได้ยินเช่นนั้น ศิษย์สำนักมากมายก็ถึงกับตาสุกสกาวสดใส ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้น

 

" น้ำตกหยกวิญญาณ . . . . "

 

โจว หยวน ได้ยินคำนั้น จิตใจถึงกับเต้นแรง ในแววตาเปี่ยมไปด้วยความอยากรู้ ความสงสัย

 

เขาได้ยินมาจากบิดาที่เคยเล่าให้ฟังว่าในสำนักวังต้าโจว มีสมบัติที่เป็นสถานที่บ่มเพาะ ซึ่งก็คือสมบัติแห่งปฐพี " น้ำตกหยกวิญญาณ " ที่ ชู เทียนหยาง เอ่ยถึง

 

และนี่ก็เป็นเหตุผลข้อนึงที่ โจว หยวน คิดหลังจากเข้าร่วมสำนักแรก และยังเป็นเหตุผลที่เขาไม่ยอมพลาดการเข้าเรียน

 

จบตอน 28

 

รีวิวผู้อ่าน