Chapter 13: อัดจนตาย
สุดท้ายศิษย์พี่กู่ก็ต้องกลัว “ ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป เขาต้องอัดข้าจนตายด้วยกิ่งไม้นั้นแน่ ๆ ! ”
เขาหวังจริง ๆ ว่า ฉินมู่ จะถือมีดแทน ถ้าเป็นแบบนั้นเขาคงไปสบาย !
ท่อนไม้เล็ก ๆ นั้นมีพลังน้อยนิด แต่เมื่อเขาโดนอัดเรื่อย ๆ ก็ทำให้ใบหน้าบวมเป่งเป็นหัวหมู แม้แต่ตาของเขาก็ยังแทบปิด มองทุกอย่างเบลอไปหมด
มีรอยแผลทั้งสีดำและเขียวเต็มตัวเขาไปหมด ส่วนกล้ามเนื้อของเขาก็ยังเริ่มฉีกขาดจากการโดนฟาด แม้แต่ข้อต่อของเขาก็ยังได้รับผลไปด้วย
ฉินมู่นั้นจงใจเล็งไปที่เส้นเอ็นไม่ใช่กระดูก ด้วยการฉีกกระชากเส้นเอ็นออก จะทำให้การเคลื่อนที่แค่เพียงนิดเดียวนั้นจะได้รับความเจ็บปวดมหาศาล
การโดนท่อนไม้นี้เฆี่ยนเอาจนตายนั้นเป็นเรื่องที่น่ากลัวเกินไป เนื่องจากคน ๆ นั้นจะไม่ตายทันที แต่ความเจ็บปวดและความกลัวนั้นจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกครั้งที่โดนฟาด
กลุ่มสัตว์อสูรที่วิ่งอยู่บนหัวพวกเขาก่อนหน้านี้ก็ได้หายไปแล้ว
ความแข็งแกร่งของฉินมู่นั้นน่าทึ่ง กู่นั้นไม่รู้ว่าฉินมู่เหวี่ยง ‘ มีด ’ ของเขามานานแค่ไหน แต่กู่มั่นใจว่าเขาคงทำแบบนี้ไม่ได้ ยังไงซะไม่ใช่แค่ฉินมู่จะต้องหลบดาบของเขาแต่ยังต้องหลบกีบเท้าและกรงเล็บของสัตว์ในขณะที่สู้อยู่ด้วย ขาของตัวเขาเองก็เริ่มล้าและมีบาดแผลจากการวิ่งไปมาแบบนี้
ฉินมู่นั้นไม่เหลือแรงที่จะเหวี่ยงมีดของตัวเองต่อไปและอาศัยแค่เพียงแรงใจเท่านั้นที่เข้าโจมตีต่อได้
เขารู้ว่าตราบใดที่กู่นั้นเหลือพลังฉีภายในแม้เพียงแค่เล็กน้อย หัวของเขาจะได้หลุดออกมาจากบ่าแน่ !
ตึก !
กู่ล้มลงกับพื้นไม่สามารถทนการโดนฟาดได้อีกต่อไป ดาบของเขาเองก็ตกลงมาที่พื้นด้วย
ฉินมู่โยนท่อนไม้ของตัวเองทิ้งและรีบไปจับดาบเล่มนั้น แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะยกมันขึ้นมาได้ ตอนนี้แขนของเขาไม่มีแรงเหลืออยู่แล้ว
ฉินมู่เดินเซไปข้างหน้าและเตะไปที่ด้ามดาบแทน ปลายของมันค่อยเงยขึ้นมาชี้เข้าหา กู่ที่ซึ่งแทบจะไม่รู้สึกถึงสิ่งรอบข้างและพยายามคลานหนีด้วยแรงที่ตัวเองมี
แต่เขาก็ทำไมได้ เส้นเอ็นของเขานั้นฉีกขาดไปแล้ว เขาไม่สามารถแม้แต่กระดิกกล้ามเนื้อได้เลยด้วยซ้ำ
กู่ทำได้แค่มองฉินมู่ที่พยายามปรับทิศทางของดาบและเตะดาบเล่มนั้นเข้ามาที่คอของเขา
มันลากไปกับพื้นดินพร้อมกับเกิดฝุ่นคลุ้งขึ้นมาในตอนที่มันพุ่งเข้าหากู่ จนกระทั่งในการเตะครั้งสุดท้าย มันได้แทงทะลุคอของเขาไป
เลือดได้ไหลออกมาจากบาดแผลตรงคอพร้อมกับที่เขาต้องดิ้นรนเพื่อสูดอากาศและพยายามปิดบาดแผลตรงคอของเขา
เมื่อเห็นดังนั้น ฉินมู่ก็โล่งใจ ขาแขนของเขาเริ่มหมดแรงและล้มลงไปที่พื้น เขาไม่เคยเหนื่อยขนาดนี้มาก่อนเลย
เขานอนอยู่ข้าง ๆ ศพและรู้สึกรังเกียจขึ้นมา ดังนั้นฉินมู่จึงพยายามขยับออกห่าง แต่เขาก็ทำไม่ได้เพราะร่างกายของเขาไม่กระดิกเลยสักนิดเดียว
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉินมู่นั้นเห็นศพ ผู้หญิงที่โผล่ออกมาจากหนังวัวและศิษย์น้องของกู่เองก็ได้กลายเป็นศพต่อหน้าเขาด้วย
ครั้งหนึ่ง ย่าซีเคยพาเขาไปที่หมู่บ้านใกล้ ๆ เพื่อช่วยคนที่นั่นคลอดลูก นอกจากเป็นช่างทอผ้าแล้ว ย่าซีเองก็ยังเป็นหมอตำแยที่ช่วยสตรีหลายคนในการคลอดลูกด้วย
แต่เมื่อพวกเขาไปถึง หมู่บ้านนั้นก็ได้กลายเป็นสุสานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหญิง, ชาย, เด็กรึแก่ ทุกคนรวมถึงสตรีที่ยังท้องอยู่ต่างก็ตาย
ในหัวของฉินมู่นั้นว่างเปล่าราวกับเขาลอยละล่องอยู่บนท้องฟ้า ย่าซีได้สะกิดเขาให้เขารู้ตัวและบอกว่าฉากอันน่าสยองขวัญนี้ทำให้เขากลัวจนบังคับให้วิญญาณเขาออกจากร่าง เขาต้องดึงวิญญาณเขากลับมาเข้าร่างใหม่
ย่านั้นไม่ได้บอกเขาว่าใครเป็นคนทำเรื่องแบบนี้ แต่เธอกลับบอกเขาว่าเรื่องแบบนี้นั้นเป็นเรื่องธรรมดาในดินแดนหายนะ อันที่จริงนี่เป็นคำเตือนที่เธอส่งถึงเขา....
“ อย่าเปิดโอกาสให้คู่ต่อสู้ “
ศพของกู่นั้นทำให้ฉินมู่รู้สึกอึดอัด แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรในดินแดนแห่งนี้ ที่นี่ผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอด การได้อาศัยอยู่ในดินแดนหายนะมาตั้งแต่เด็กนั้น ทำให้ฉินมู่นั้นได้ต่อสู้กับสัตว์อสูรจำนวนมาก สำหรับเขาแล้ว ศพของกู่นั้นไม่ต่างอะไรจากศพของพวกสัตว์อสูร
ในตอนที่เขานอนอยู่ที่พื้นพยายามปรับตัวให้เข้ากับสิ่งรอบข้าง ฉินมู่ก็ได้ยินเสียงเท้าเดินเข้ามา เขาพยายามหันหน้ากลับไปยังทิศทางที่เสียงดังขึ้นเพื่อดูว่าใครกันที่เดินเข้ามา
และนั่นก็ต้องทำให้เขาช็อค ฉิงเดินเข้ามาหาเขา ใบหน้าของเธอบวมเป่งจนยากที่จะจำได้ เธอเดินเซเข้ามาหาเขาทีละก้าว ๆ โดยใช้ดาบของเธอเป็นเหมือนไม้เท้า
ฉินมู่พยายามที่จะยืนขึ้นแต่แขนขาของเขานั้นเจ็บปวดซะเหลือเกิน เขาทำได้แค่รออยู่เฉย ๆ และแอบบ่มเพาะทักษะร่างราชันย์สามชีวิต
พลังฉีภายในของเขาค่อย ๆ ทำงานและไหลไปทุกส่วนของกล้ามเนื้อเขา ที่ไหนก็ตามที่พลังฉีไหลเวียนไปจะทำให้ความเจ็บปวดนั้นลดน้อยลง ความรู้สึกของเขาเริ่มเฉียบคมขึ้น
ฉิงนั้นเดินเซเขามาหาเขาทีละก้าว ๆ การสู้กับฉินมู่นั้นทำให้เธอเสียขาซ้ายไป หน้าของเธอก็โดนเตะนับครั้งไม่ถ้วน โดยอย่างหลังนี่คือสิ่งที่โหดเหี้ยมที่สุดสำหรับผู้หญิง
ฉินมู่ได้ใช้แรงทั้งหมดลงในการเตะพวกนั้นอัดเข้าใส่หน้าที่สวยงามของเธอ ตอนนี้หน้าของเธอได้บวมเป่งจนดูเหมือนบะหมี่ที่เส้นอืดเพราะทิ้งไว้ทั้งคืน
ฟันของเธอได้หายไปหมด เลือดและน้ำลายนั้นหยดลงมาจากมุมปากและกระจายกันอยู่ตามพื้น
มือของเธอนั้นน่าแปลกใจที่มันกำแน่น แสดงให้เห็นถึงความเกลียดชังและความต้องการที่จะฉีกฉินมู่เป็นพัน ๆ ชิ้น
ฉินมู่พยายามที่จะบ่มเพาะให้เร็วขึ้นโดยเร่งทักษะร่างราชันย์สามชีวิตให้โคจรเร็วขึ้นไปอีก เขาต้องการฟื้นฟูแรงของตัวเองให้เร็วกว่านี้ แต่การต่อสู้อันเข้มข้นเมื่อตะกี้นั้นหนักหนาเกินไปสำหรับเขา
มีแค่การทำลายกำแพงแก่นวิญญาณและการปลุกจุดแก่นวิญญาณสวรรค์เท่านั้นที่จะทำให้ฉินมู่ถือได้ว่าเป็นผู้ฝึกยุทธที่แท้จริงได้ การอัดผู้ฝึกยุทธอย่างกู่จนตายโดยที่ตัวเองไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธนั้นก็ถือว่าเป็นความสำเร็จอย่างมากแล้ว
แต่มันก็แค่นั้น
เขาไม่มีแรงเหลือพอที่จะต่อสู้กับฉิงอีก
ในที่สุด ฉิงก็ได้มาถึงตรงหน้าฉินมู่ เธอพยายามจะพูดบางอย่าง แต่ปากและคอของเธอเองก็บวมเป่งจนทำได้แค่ส่งเสียงแปลก ๆ ออกมา
เธอยกดาบขึ้นมาและชี้ลงมาข้างหน้าพยายามแทงเข้าใส่ฉินมู่
แต่ทันใดนั้นเธอก็หยุดนิ่ง ดาบของเธอนั้นไม่สามารถที่จะแทงลงไปได้อีกราวกับมันเจอบาเรียที่มองไม่เห็นเข้า
“ ช่างเป็นสาวน้อยที่น่ารักเสียจริง...ย่าคนนี้ค่อนข้างเอ็นดูหน้าตาของเจ้าซะจริง ”
ผู้หญิงแก่ถือตะกร้าโผล่ขึ้นมาในสายตาของทั้งคู่พร้อมกับเดินเข้ามาหา ความกลัวปรากฏขึ้นมาในนัยน์ตาของฉิง และเธอก็ตัวสั่นด้วยความกลัวเมื่อเห็นผู้หญิงคนนั้น เธอค่อย ๆ ถอยห่างจากฉินมู่ไป
ก่อนที่เธอจะไปได้ไกล ก็เกิดเสียงระเบิดขึ้นด้านหลังเธอ “ มู๋เอ๋อ นี่เจ้าใช้ท่อนไม้เล็กนี่ใช้ทักษะของข้าและจัดการโจมตีถึง 5,476 ครั้ง ก่อนที่จะจัดการไอ้เด็กนี่ลงได้ แต่สุดท้ายเจ้าก็จัดการฆ่าไอ้บัดซบนี่ด้วยดาบงั้นรึ ! ”
เธอพยายามหันหน้ากลับไปดู ฉิงเห็นกลุ่มคนรูปร่างพึลึกเดินเข้ามา ในกลุ่มคนพวกนั้นมีชายตาบอดที่ถือไม้เท้า, ชายขาด้วน, ชายที่ไม่มีแขน, และชายรูปร่างกำยำซึ่งไม่มีส่วนล่างของร่างกาย
มีชายกำยำอีกคนแบกเพื่อนในตะกร้าไม้ไผ่ซึ่งสะพายอยู่ที่หลังและมีคนอื่นที่แบกชายที่ไร้แขนขาเข้ามา
คนพวกนี้ดูน่าเวทนาอย่างมาก คนเดียวที่ดูจะปกติที่สุดคงจะเป็นชายวัยกลางคนที่ถือตะกร้าไม้ไผ่แต่ใบหน้าของเขานั้นน่ารังเกียจอย่างมาก เขาไม่มีผิวหนังทำให้เขาดูมีหน้าตาที่ชั่วร้ายและน่ากลัว
ชายกำยำซึ่งมีร่างกายแค่ส่วนบนนั้นคือคนที่พูดขึ้นมา ความโกรธปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเขาในตอนที่เขามองฉินมู่ และด่าจากที่ไกล ๆ
“ ดูเหมือนว่าเจ้าจะฝึกมาไม่พอ ! ถ้าทักษะมีดของเจ้าดีพอ เจ้าจะไม่ต้องใช้ท่อนไม้รึมีดเลยด้วยซ้ำ เจ้าสามารถสับเขาให้ตายด้วยมือเปล่า ! ”
“ ย่าซี....ปู่ฆ่าสัตว์....ปู่หมอ...” – ฉินมู่ ร้องออกมาเสียงต่ำพร้อมกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก – “ พวกท่าน...พวกท่านทุกคนอยู่ที่นี่งั้นหรือ? ”
“ เราเลี้ยงดูเจ้ามาอย่างยากลำบากด้วยเลือด, เหงื่อ, และน้ำตา ! แน่นอนว่าเราต้องกังวล ! ” ย่าซีตอบกลับพร้อมกับหัวเราะ “ เนื่องจากนี่เป็นคืนแรกที่เจ้าออกจากบ้านและเจ้าได้ใช้เวลากับผู้หญิงที่ไม่คุ้นเคย เราเลยลองออกมาดู ”
ฉินมู่กระพริบตาและถาม “ พวกท่านอยู่ที่นี่นานแค่ไหนกัน ? ”
“ เราอยู่ที่นี่ตั้งแต่ที่เจ้าต่อสู้กับไอ้เด็กนั่นที่ใต้ท้องของสัตว์อสูร ” ปู่ฆ่าสัตว์ฮึดฮัดออกมา “ ไม่งั้นข้าจะรู้ได้ยังไงว่าเจ้าโจมตีไป 5,476 ครั้ง ? ”
ใบหน้าของฉินมู่หม่นลง พวกผู้เฒ่าเหล่านี้ชัดเจนแล้วว่ามาถึงตั้งแต่แรก แต่กลับปล่อยให้เขาสู้จนเกือบจะตาย
และจากนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าทำไมกลุ่มของสัตว์อสูรถึงไม่เข้าโจมตีเขารึกู่เลย ---
ปู่ฆ่าสัตว์ทำให้พวกนี้กลัว
“ คนจากด้านนอกหมู่บ้านบอกว่าย่าและปู่ทุกคนนั้นคือคนเลว นั่นจริงรึ ? ” ฉินมู่คิดกับตัวเอง
“ แต่...ข้าคิดว่าพวกเขาเป็นคนดี ” เขาพูดกับตัวเอง “ พวกนั้นคงคอยดูจากไกล ๆ เพราะเชื่อว่าข้านั้นสามารถเอาชนะกู่ได้ ”
“ ร่างราชันย์นั้นเหนือว่าร่างวิญญาณ ” ปู่ตาบอดพูดขึ้นแล้วเงยหน้าขึ้นมายิ้ม “ เราล้วนแต่ผิดหวังที่เจ้ามีสภาพเช่นนี้ ”
“ ปู่บอด ข้าอยู่นี่ ” ฉินมู่ไอออกมาเบา ๆ
“ ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่นั่น ” ปู่บอดพูดพร้อมกับยิ้มออกมา “ เจ้าเอาชนะไอ้หนูนั่นด้วยท่อนไม้ซึ่งหมายความว่าข้าได้สอนเจ้ามาดี แต่อย่าเพิ่งภูมิใจกับเรื่องแค่นี้ เจ้านั้นมีร่างราชันย์ ! มันเป็นธรรมดาที่เจ้าจะแข็งแกร่งกว่าเขา จากวันนี้ไปการฝึกของเจ้าจะเข้มข้นมากกว่าเดิม ! อย่าทำสีหน้าเช่นนั้น ...”
“ ทำไมเจ้าถึงภูมิใจกับตัวเองหนักหนา ไอ้บอด ? ” ปู่ฆ่าสัตว์ถามออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ ชัดเจนแล้วว่าเขาน่ะใช้ทักษะมีดของข้า ! แล้วเจ้าจะไปพูดสั่งสอนศพนั่นทำไมกัน ? ”