บทที่ 355 : โอสถชุบชีวิต!!
ต่อให้จางโฉวหย่งไม่กล่าวเรื่องราวสืบต่อออกมา ต้วนหลิงเทียนก็ย่อมเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นได้อย่างรวดเร็ว...
มันก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย แค่เพียงเชวียนฉีไม่ยอมแพ้ต่อตัวจางโฉวหย่งก็เท่านั้น!
จากนั้นควบคู่ไปกับการที่หวังฉงไร้ความมั่นใจในตนเอง นั่นทำให้นางยังคิดว่าตัวเองยังพอมีความหวัง และยังคงหลงเหลือโอกาสให้นางฉกฉวยอยู่บ้าง
เช่นนั้นจางโฉวหย่งและภรรยาของเขา จึงไม่อาจหลีกเลี่ยงการติดตามของนาง
จางโฉวหย่งกล่าววาจาสืบต่อออกมาอย่างเร่าร้อน "ทว่าคราวนี้ เป็นเพราะความยึดมั่นในรักอันแน่วแน่ ถึงขั้นยินยอมตกตายมิคิดแยกจากของเจ้ากับลี่เฟย... ทำให้หวังฉงได้รู้สึกตัว! นางได้ตัดสินใจแน่วแน่เช่นกัน และเลือกที่จักไม่ยอมจำนนต่อโชคชะตา และนางไม่คิดถึงเรื่องทีว่านางไม่คู่ควรอะไรนั่นอีกต่อไป! นางเลิกไร้ความมั่นใจในตัวเองและเริ่มที่จะเชื่อมั่นในตัวข้าและความรักของเรา! กระทั่งนางยังคิดจะออกเดินทางท่องเที่ยวกับข้าไปทั่วหล้า! จากลาเมืองโบราณชั่วนิรันดร์และเหลาอาหารแห่งนี้ไปด้วยซ้ำ..."
"เรื่องน่ายินดีเช่นนี้แน่นอนว่าย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดขึ้น หากนางยังคงเป็นดั่งเดิมเช่นในอดีต" ในขณะที่กล่าววาจานี้ จางโฉวหย่งเผยความตื่นเต้นยินดีออกมาอย่างเต็มประดา
"เช่นนั้น ข้าคงต้องขอแสดงความยินดีกับพี่ใหญ่จางแล้ว" ต้วนหลิงเทียนยิ้มบางๆ ก่อนที่จะกล่าวคำแสดงความยินดีออกมา
จางโฉวหย่งยังคงกล่าวสืบต่อ "ทั้งเมื่อครู่นี้ เชวียนฉีได้ตระหนักแล้วว่า หวังฉงได้กลับมามั่นใจในตัวเองอีกครั้ง และนางคงไม่หลงเหลือความหวังอันใดอีก... ดังนั้นนางจึงเข้ามาล่ำลาต่อข้า และเตรียมเดินทางออกจากที่นี่ในอีก 2-3 วันหลังจากนี้ กล่าวได้ว่า...คราวนี้หากไม่ได้เจ้ากับน้องสะใภ้ เตือนสติพวกเราด้วยการแสดงความรักยึดมั่นเช่นนั้น เชวียนฉีก็ไม่รู้ต้องทนทรมานเช่นนี้ไปอีกกี่ปี ข้าเองก็ไม่รู้จักทำประการใด... คงทำได้เพียงรู้สึกผิดแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
หนึ่งชั่วโมงต่อมา
ต้วนหลิงเทียน ลี่เฟย และฉงเฉวียนก็ได้เดินทางออกจากเมืองโบราณชั่วนิรันดร์อีกครั้ง
ทว่าตอนนี้กลุ่มของเขามีผู้คนเพิ่มมาอีก 2
เป็นคู่สามีภรรยา หวังโฉงและจางโฉวหย่ง
ต้วนหลิงเทียนมอบอาชาเหงื่อโลหิตของเขาให้แก่จางโฉวหย่งและหวังฉงนั่ง สวนตัวเขาก็ไปนั่งม้าตัวเดียวกันกับลี่เฟย
ต้วนหลิงเทียนโอบกอดลี่เฟยเอาไว้พร้อมบังคับม้า
และในตอนนี้จางโฉวหย่งก็จัดการเปลี่ยนชุดเสื้อผ้าไปใส่ชุดเสื้อผ้าที่สะอาดสะอ้าน ไม่หลงเหลือภาพลักษณ์ยาจก มอมแมมก่อนหน้านี้อีกต่อไป ทั้งใบหน้าที่มีตอหนวดของเขาก็จัดการโกนเสียเกลี้ยงเกลา เผยใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มออกมา ความสง่างามแผ่พุ่งออกมาอย่างเห็นได้ชัด
อย่างไรก็ตามน้ำเต้าสุรานั่น ยังคงห้อยอยู่ที่เอวของเขาไม่ห่างกายไปไหน
แลดูกับน้ำเต้าสุรานี้เป็นสมบัติล้ำค่านัก เพราะเขามักจะนำมันติดตัวเอาไว้ไม่ห่าง!
“พี่ใหญ่จาง เหตุใดในน้ำเต้าเล็กๆใบนั้นกลับมีสุราให้ดื่มมากมายนักเล่า ท่านไปแอบเติมสุราตอนไหนกัน?” ครึ่งเดือนต่อมาต้วนหลิงเทียนอดที่จะสงสัยในเรื่องราวนี้ขึ้นมาไม่ได้
และในช่วงครึ่งเดือนมานี้เขามั่นใจว่าในระหว่างการเดินทาง จางโฉวหย่งไม่ได้มีโอกาสไปเติมสุราจากที่ไหนเลย น้ำเต้านั่นราวกับหลุมไร้ก้น บรรจุสุราไว้มากมายนัก!
จางโฉวหย่งรู้สึกอึ้งเมื่อได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน
"น้องหลิงเทียน น้ำเต้าของพี่จางนี้หาได้ธรรมดาดั่งตาเห็นไม่ ...มันเป็นอาวุธวิญญาณระดับ 5 ทั้งยังสามารถบรรจุสุราได้มากมาย ถึง 10,000 ชั่ง" หวังฉงยิ้มออกมาบางๆก่อนที่จะกล่าวเฉลยความสงสัยของต้วนหลิงเทียน
อาวุธวิญญาณระดับ 5?
แม้หวังฉงจะกล่าววาจาออกมาง่ายๆไม่คิดอะไร แต่มันไม่ต่างอะไรจากอัสนีฟาดระเบิดกลางหู
"อาวุธวิญญาณระดับ 5 ?" ลี่เฟยที่นั่งซ้อนม้าอยู่ด้านหน้าต้วนหลิงเทียนเองก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาด้วยความตกใจ มือนางยังยกขึ้นมาทาบหน้าอกไว้อย่างไม่รู้ตัว! ดวงตาของนางทอประกายเรืองวูบขึ้นมาด้วยความเหลือเชื่อ พร้อมจ้องไปยังน้ำเต้าของจางโฉวหย่งเขม็ง
ฉงเฉวียนที่ควบขี่ม้าอยู่คนเดียวไม่ไกล ก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตะลึงเพราะความตกใจ
"อา เป็นข้าไม่ได้ใส่ใจมันตั้งแต่แรกเอง" ต้วนหลิงเทียนระบายลมหายใจออกมา เพราะเมื่อเขาลองแผ่พลังวิญญาณใช้ออกด้วยจิตสัมผัสไปสัมผัส เขาก็สามารถพบได้ในพริบตา ว่าที่แท้น้ำเต้าในมือของจางโฉวหย่งนี้ จัดเป็นศาสตราวิญญาณระดับ 5
อาวุธวิญญาณระดับ 5!
อารมณ์ของต้วนหลิงเทียนเข้มขึ้นเล็กน้อย
จากที่เขารู้มา มองกวาดไปทั่วทั้งอาณาจักรพนาครามแห่งนี้ อาวุธวิญญาณระดับ 5 ย่อมหายากไม่ต่างอะไรจากเขากิเลนและขนของฟีนิกซ์
นี่กายกระบี่ 7 ดาวที่เขาเข้าร่วม ก็นับเป็นนิกายใหญ่อันดับ 1 ของอาณาจักรพนาคราม
อย่างไรก็ตามนิกายที่แลดูน่าเกรงขามเช่นนี้ กลับมีอาวุธวิญญาณระดับ 5 อันเป็นกระบี่เล่มหนึ่งเอาไว้ในครอบครองเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น แน่นอนว่าผู้ที่ครอบครองย่อมเป็นประมุขนิกาย
ทั้งกระบี่วิญญาณระดับ 5 นี้ ยังกล่าวได้ว่าเป็นมรดกตกทอดกันมาสำหรับประมุขนิกายอีกด้วย
"นอกจากความสามารถในการบรรจุสุราแล้ว น้ำเต้านี้อาจนำมาใช้เป็นอาวุธวิญญาณได้เช่นกัน ... " ต้วนหลิงเทียนย่อมสังเกตเห็นถึงความแตกต่างระหว่างน้ำเต้าใบนี้ กับแหวนมิติได้ในทันที เพราะแหวนมิติทำได้เพียงจัดเก็บสิ่งของเท่านั้น ทว่าน้ำเตาใบนี้นอกจากมีความสามารถจัดเก็บแล้ว ยังอบอวนไปด้วยไอสังหารไม่น้อย
ไอสังหารนี่ เป็นอะไรที่จะมีอยู่แต่ในอาวุธวิญญาณเท่านั้น
‘อาวุธวิญญาณระดับ 5 ... นับว่าในอาณาจักรพนาครามแห่งนี้สมควรมีน้อยชิ้นนัก แม้จะเป็นอาณาจักรที่ใหญ่กว่าอาณาจักรพนาครามก็สมควรมีไม่มากเช่นกัน เป็นไปได้หรือไม่ว่าพี่ใหญ่จางจะมาจากอาณาจักรศิลาทมิฬ ?’ ต้วนหลิงเทียนคิดในใจ
ในระหว่างทางต้วนหลิงเทียนเองก็พยายามเลียบๆถามจางโฉวหย่งเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาอยู่บ่อยครั้ง ทว่าจางโฉวหย่งทำเพียงหัวเราะออกมา พร้อมบอกว่าตัวเขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลมานานแล้ว และไม่อยากกล่าวถึงเรื่องนี้อีก
ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงที่ดูห่างเหินจากตระกูลจากวาจาจางโฉวหย่งได้อย่างดี
ดูเหมือนว่าทางตระกูลของพี่ใหญ่จาง จะทำร้ายจิตใจเขาเอาไว้ไม่น้อย
เมื่อจางโฉวหย่งไม่เต็มใจกล่าวเรื่องราวในอดีต แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดซักไซ้ไล่เรียงอะไร ทำให้ความเป็นมาของจางโฉวหย่งกับหวังฉง ยังค่อนข้างลึกลับสำหรับเขา
"พี่ใหญ่จางกับพี่สะใภ้ แล้วนี่ พวกท่านคิดทำอันใดต่อไปหรือ?" ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม
"พวกเราเองก็ไม่ได้มีแผนการอะไรมากนักหรอก เพียงหวังเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วๆอาณาจักรพนาครามนี้ดู ... เช่นนั้นพวกเราจึงคิดว่า จะไปส่งเจ้ากับน้องสะใภ้ที่นิกายกระบี่ 7 ดาวก่อน แล้วค่อยวางแผนอะไร " จางโฉวหย่งกล่าวคำออกมาพร้อมรอยยิ้ม
ในใจต้วนหลิงเทียนบังเกิดความอบอุ่นประการหนึ่งไหลผ่านนำพาให้ในอกอุ่นร้อน
เขาย่อมรู้ความตั้งใจในการกระทำครั้งนี้ของจางโฉวหย่งดี เห็นได้ชัดนักว่าอีกฝ่ายคิดเดินทางไปส่ง ด้วยกลัวอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับเขาและลี่เฟย
เพราะบัดนี้ระดับบ่มเพาะของฉงเฉวียนหาได้เหมือนดั่งกาลก่อนแล้ว
ถึงแม้จะเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ระดับแรกสัมผัสธรรมชาติ ขั้นที่ 1 ทว่าเมื่อถืออาวุธวิญญาณไว้ในมือ แน่นอนย่อมมีความแข็งแกร่งเหนือล้ำไปกว่าฉงเฉวียน..
ถึงฉงเฉวียนจะสามารถใช้พลังกระบี่ขั้นสูงในการโจมตี และมีความแข็งแกร่งในการจู่โจมสูงถึง 2,000 ช้างแมมมอธโบราณ แต่ทว่าความแข็งแกร่งจากพลังกระบี่ขั้นสูงนี้ ย่อมไม่อาจเพิ่มพูนได้ด้วยอาวุธวิญญาณ
เพราะอาวุธวิญญาณเพียงสามารถเพิ่มพูนพลังงานต้นกำเนิดและร่างกายได้เท่านั้น...
ตอนนี้ฉงเฉวียนได้สูญสิ้นพลังงานต้นกำเนิดทั้งหมดของเขา ความแข็งแกร่งทางร่างกายก็มีเพียงระดับบ่มเพาะร่างกายขั้นที่ 9 เท่านั้น
ในยามใช้ออกด้วยความแข็งแกร่งของร่างกายเต็มกำลังนั้น ก็ยังมีความแข็งแกร่งเพียง 1 ช้างแมมมอธโบราณเท่านั้น ...
ถึงแม้ว่าฉงเฉวียนจะใช้อาวุธวิญญาณระดับ 7 กระทั่งระดับ 5 ก็แทบไม่มีใดแตกต่าง เพราะสุดท้ายมันก็ไม่อาจเพิ่มพูนพลังจนเขามีความแข็งแกร่งได้เกิน 2 ช้างแมมมอธโบราณ!
"ฉงเฉวียน ... "ต้วนหลิงเทียนถอนหายใจออกมา ก่อนที่จะมองไปยังฉงเฉวียนที่ควบขี่อาชาอยู่ด้านหน้า พร้อมกล่าวถามออกมา "ฉงเฉวียน เจ้าคิดทำอย่างไรต่อจากนี้?"
ฉงเฉวียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆเมื่อได้ยินคำถามนี้ จากนั้นก็ค่อยๆกล่าวออกมา "นายน้อย ด้วยความแข็งแกร่งในตอนนี้ ข้าคงไม่อาจช่วยอะไรท่านได้ ... ข้าต้องการกลับไปยังบ้านเกิดของข้า"
ในน้ำเสียงของฉงเฉวียนเต็มไปด้วยความขมขื่นไม่น้อย
"เช่นนั้นพวกเรา จะไปส่งเจ้าที่บ้านเกิด" ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับคำ เขาย่อมเคารพในการตัดสินใจของฉงเฉวียน
และเขาได้ตัดสินใจเอาไว้แล้วอย่างแน่วแน่ ว่าจะฟื้นฟูระดับบ่มเพาะและรักษาจุดตันเถียนของฉงเฉวียนให้ได้ในอนาคต!!
ฟื้นฟูจุดตันเถียน ...!
หากใครล่วงรู้ความคิดในหัวของต้วนหลิงเทียนยามนี้ ไม่พ้นต้องหาว่าต้วนหลิงเทียนละเมอเพ้อฝัน และ จมจ่อมอยู่กับฝันกลางวันในจินตนาการแสนหวาน
เพราะหากจุดตันเถียนได้เสียหายหรือถูกทำลายไปแล้ว ถึงแม้จะใช้โอสถคืนชีวิตระดับ 1 อันเป็นโอสถรักษาที่เลิศล้ำที่สุดในทวีปเมฆาล่อง ก็ยังไม่มีทางรักษาตันเถียนที่ถูกทำลายได้!
นี่เป็นเรื่องจริงที่ได้รับการตัดสินไปแล้วทั่วทั้งทวีปเมฆาล่อง
เมื่อตันเถียนถูกทำลาย ชีวิตผู้ฝึกยุทธ์ย่อมจบสิ้น!
อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนที่ได้รับความทรงจำของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดนั้น ย่อมไม่สนใจกฎเหล็กอะไรที่ว่านี่
เพราะจากความทรงจำของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด มี 2 วิธีที่จะสามารถฟื้นฟูตันเถียนที่ถูกทำลายเสียหาย ...
วิธีแรกเป็นการตามหาสมุนไพรในตำนาน ที่เรียกว่า ว่านจิตอมตะ
ว่านจิตอมตะนี้ นับว่านับว่าดำรงอยู่แต่ในตำนานอย่างแท้จริง แม้กระทั่งจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดเอง ก็เพียงแค่ได้ยินเรื่องเล่าขานมาเท่านั้น ไม่เคยเห็นมันด้วยสองตา
ในตำนานนั้นกล่าวกันว่า กระทั่งแขนขาที่ขาดหาย ว่านอมตะนี้ยังสามารถทำให้งอกเงยขึ้นมาใหม่ได้!
สรรพคุณเลิศล้ำเช่นนี้อาจเรียกได้ว่าท้าทายสวรรค์!
วิธีที่สองนั้นคือกลายเป็นผู้หลอมโอสถระดับ กึ่งราชวงศ์ และหลอมสร้างโอสถชุบชีวิตระดับกึ่งราชวงศ์ขึ้นมา!
โอสถชุบชีวิตระดับกึ่งราชวงศ์นี้ แน่นอนว่าย่อมเหนือชั้นยิ่งกว่าโอสถคืนชีวิตระดับ 1 มากนัก!
แต่ภายในทวีปเมฆาล่องแห่งนี้ผู้คนเพียงรู้แต่ว่า โอสถคืนชีวิตระดับ 1 คือโอสถที่เลิศล้ำที่สุด
ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเมื่อไม่นานมานี้ จักรพรรดิกลับชาติมาเกิดได้หลอมปรุงโอสถชุบชีวิตกึ่งราชวงศ์และโอสถชุบชีวิตระดับราชวงศ์ที่เลิศล้ำยิ่งกว่าโอสถคืนชีวิตระดับ 1 มากมายนัก!
ไม่ว่าจะบาดเจ็บร้ายแรงมากสักเพียงไหนตราบใดที่หัวใจยังไม่หยุดเต้น โอสถชุบชีวิตระดับกึ่งราชวงศ์สามารถช่วยเหลือได้อย่างแน่นอน
สำหรับโอสถชุบชีวิตระดับราชวงศ์น่ะหรือ? แน่นอนว่าย่อมเหนือไปกว่านั้น!
อย่าว่าแต่หัวใจยังไม่หยุดเต้น ถึงแม้หัวใจจะหยุดเต้นไปแล้ว 1 ชั่วโมงยังสามารถชุบชีวิตผู้คนให้ฟื้นจากความตายได้!!
‘ว่านจิตอมตะคงยากนักที่จะค้นหา ... ดูเหมือนข้าต้องรอจนกว่าจะแข็งแกร่งพอที่จะเดินทางไปยังดินแดนรอบนอก และได้รับสมบัติของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดที่ตระเตรียมเอาไว้ใช้ในชีวิตที่ 3 เสียก่อน ถึงจะฟื้นฟูรักษาตันเถียนที่ถูกทำลายของฉงเฉวียนได้’ต้วนหลิงเทียนคิดในใจ
นั่นเพราะในสมบัติของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดที่เตรียมเอาไว้ใช้สำหรับช่วงชีวิตที่ 3 นั้น ...มันย่อมมีโอสถชุบชีวิตกึ่งราชวงศ์และระดับราชวงศ์รวมอยู่ด้วย’...
หลังจากใช้เวลาเดินทางตลอดทั้งเดือน ในที่สุดกลุ่มของต้วนหลิงเทียนก็เดินทางมาถึงหมู่บ้าน อันเป็นบ้านเกิดของฉงเฉวียน
บ้านเกิดของฉงเฉวียนนี้เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในหุบเขา และกล่าวได้ว่าเป็นหมู่บ้านที่ค่อนข้างห่างไกลจากโลกภายนอกอย่างมาก
"ฉงเฉวียน เจ้าเติบโตมาจากที่แห่งนี้หรือ?" ต้วนหลิงเทียนมองไปทั่วหมู่บ้านแล้วอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามขึ้นมา
นับว่ามันเป็นเรื่องยากสำหรับเขาไม่น้อย ที่จะจินตนาการออกว่า ชายที่เติบโตมาจากหมู่บ้านเล็กๆห่างไกลเช่นนี้ บรรลุความแข็งแกร่งจนมีตำแหน่งเป็นถึงผู้พิทักษ์นิกายระดับ 2 ได้อย่างไร ...
"ขอรับ" ฉงเฉวียนพยักหน้า ก่อนที่จะทอดสายตามองหมู่บ้านเล็กๆที่อยู่ห่างไกลไปเบื้องหน้า
ทันทีที่กลุ่มของต้วนหลิงเทียนมาถึงหน้าหมูบ้าน ทั้งหมดก็พบเจอกลุ่มเด็กน้อยละเล่นกันอยู่
"อ๊ะ นั่นท่านลุงฉงเฉวียน" เพียงแค่พริบตาเดียว กลับมีเด็กน้อยอายุราวๆ12-13 หูตาว่องไวจดจำได้ว่าเป็นฉงเฉวียน มันรีบร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจก่อนที่ จะตะโกนโวยวายออกมาพร้อมวิ่งมาหาฉงเฉวียนด้วยความเร็วสูง "ลุงฉงเฉวียน! เป็นลุงฉงเฉวียน!"
"เจ้าคือ?" ฉงเฉวียนรู้สึกตะลึงเล็กน้อยที่จู่ๆ ก็มีเด็กน้อยวิ่งเข้ามากระโดดกอดเขา
"อะไร ลุงฉงเฉวียนลืมข้าแล้วหรือ เป็นข้าเอง! ข้าเอง! เอ้อหู!!" เด็กน้อยมองฉงเฉวียนด้วยความตื่นเต้น
"อะไร! เจ้าคือเอ้อหู?" ฉงเฉวียนตกตะลึงเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา พร้อมลูบหัวเด็กน้อย “ที่แท้เป็นตัวซุกซนเอ้อหู อะไร? พวกเราไม่เจอกันเพียงไม่กี่ปี เจ้ากลับเติบโตจนตัวเท่านี้แล้ว... "
เด็กน้อยหัวเราะออกมา "ลุงฉงเฉวียน ตอนท่านไปข้ายังมีอายุ 7 ปีเท่านั้นเอง จะไม่โตได้อย่างไรเล่า"
"ทุกคนในหมู่บ้านสบายดีหรือไม่?" ฉงเฉวียนกล่าวถามออกมา
เด็กน้อยรีบพยักหน้ารับคำอย่างเร่งรีบ “ทุกคนสบายดีขอรับท่านลุง เพียงแต่ทุกคนล้วนคิดถึงท่านลุง... ข้าเองก็จะฝึกฝนให้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์จนแข็งแกร่งโดดเด่นอย่างท่านลุงฉงเฉวียน ในอนาคตข้าเองก็จะกลายเป็นผู้พิทักษ์นิกายไร้สิ้นสุดอันยิ่งใหญ่อย่างท่านลุงฉงเฉวียน! "
รูปลักษณ์ท่าทางไร้เดียงสาของเด็กชายตัวน้อย อดที่จะทำให้ ต้วนหลิงเทียน ลี่เฟย จางโฉวหย่ง และหวังฉงยิ้มออกมาไม่ได้
“ฮ่าๆ เอ้อหู เช่นนั้นเจ้าต้องขยันให้มากรู้หรือไม่” ฉงเฉวียนยิ้มแย้มรับคำก่อนที่จะกล่าววาจาสนับสนุนเด็กน้อยออกมา แต่ความรู้สึกกังวลและลำบากใจในแววตานั้นย่อมไม่อาจซ่อนเร้นไว้ได้
"ฉงเฉวียน!"
"ลุงฉงเฉวียน!"
...
ไม่นานผู้คนก็เริ่มทยอยกันออกมาหน้าหมู่บ้าน และทั้งหมดล้วนมีความกระตือรือร้นและยิ่งดีอย่างน่าเหลือเชื่อ
ต้วนหลิงเทียนอดคิดไปไม่ได้เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ ‘ดูเหมือนว่าหลังจากฉงเฉวียนกลายเป็นผู้พิทักษ์ของนิกายไร้สิ้นสุดแล้ว ตัวมันยังไม่ได้ลืมเลือนบ้านเกิด ... ชาวบ้านทุกคนล้วนเคารพมันจากใจอย่างแท้จริง’
รีวิวของคุณ
คุณจะให้ดาวนิยายเรื่องนี้หรือไม่