px

เรื่อง : War Sovereign Soaring The Heavens
บทที่ 356 : ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 9!


บทที่ 356 : ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 9!

ฉงเฉวียนอาศัยความขยันหมั่นเพียรฝึกฝนเคี่ยวกรำตัวเองอย่างหนัก  ฝ่าฟันไต่เต้าไปถึงตำแหน่งผู้พิทักษ์นิกายไร้สิ้นสุด จากรากเหง้าที่เป็นเพียงเด็กน้อยในหุบเขาเท่านั้น!

นี่เป็นความสำเร็จที่น่าประทับใจ!

นอกจากนี้ หลังจากที่ได้ดิบได้ดีที่นิกายไร้สิ้นสุด ฉงเฉวียนก็ไม่เคยลืมรากเหง้าตัวเองแต่อย่างไร ตัวมันกลับมาดูแลผู้คนในหมู่บ้านเล็กๆอันเป็นบ้านเกิดนี้อย่างดี

นับว่ามันเป็นคนที่น่าเลื่อมใสนัก!

เพราะเหตุนี้ฉงเฉวียนจึงเป็นที่ต้อนรับของชาวบ้านทั้งหมด

เนื่องจากมีความสัมพันธ์กับฉงเฉวียน ชาวบ้านพลอยมองกลุ่มต้วนหลิงเทียนเป็นแขกที่ดี รีบต้อนรับขับสู้อย่างดีที่สุดเท่าที่หมู่บ้านเล็กๆนี้จะทำได้...

หลังจากที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน 2-3 วัน และลิ้มรสชีวิตสมถะอันเรียบง่ายของหมู่บ้านในเขา กลุ่มต้วนหลิงเทียนก็เตรียมการออกเดินทางอีกครั้ง

ก่อนที่จะจากไป ต้วนหลิงเทียนก็ไปพบฉงเฉวียนเป็นการส่วนตัว

"ฉงเฉวียน นี่คือยาแก้พิษ ... ต่อไปเจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องพิษในร่างกายจะกำเริบทุกๆ 6 เดือนอีกแล้ว เพราะยาแก้พิษนี้เพียงพอที่จะถอนพิษในตัวของเจ้าทั้งหมด" ต้วนหลิงเทียนยื่นยาถอนพิษส่งไปให้ฉงเฉวียน

ในตอนนั้นเพื่อควบคุมฉงเฉวียน เขาได้แฝงยาพิษไว้ในโอสถกวาดจิตพิสุทธิ์ระดับ 9 ให้ฉงเฉวียนกิน

มันเป็นยาพิษประเภทออกฤทธิ์ช้า และตราบใดที่ไม่คอยกินยาแก้พิษทุกๆ 6 เดือนแล้วล่ะก็ แน่นอนว่าไม่อาจหลีกหนีความตายได้พ้น!

ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนได้ส่งยาถอนพิษทั้งหมดให้ฉงเฉวียนไปแล้ว

"ขอบคุณขอรับ นายน้อย" ฉงเฉวียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะรับยาถอนพิษมา แล้วกล่าวด้วยวาจาจากใจ "นายน้อย หลังจากนี้ฉงเฉวียนมิอาจเคียงข้างท่านได้อีกต่อไป  หลังจากนี้ท่านต้องดูแลและป้องกันตัวเองให้ดี ... และนายน้อยอย่าได้รู้สึกผิดกับเรื่องราวของข้า...ทั้งหมดล้วนเป็น โชคชะตา ฟ้าลิขิต"

"โชคชะตา ฟ้าลิขิต?" ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา "ฉงเฉวียน เช่นนั้นข้าถามเจ้า โชคชะตา หรือลิขิตฟ้า อะไรนี่มันคืออะไร?"

เมื่อได้ยินคำถามนี้ฉงเฉวียนก็อึ้งไปราวตัวโง่งม

มันไม่รู้ว่าจะอธิบายออกมาอย่างไร

"ฉงเฉวียน จดจำเอาไว้ให้ดี อย่าได้ไปเชื่อในคำว่า โชคชะตา! ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะคน!... ถึงตอนนี้ตันเถียนของเจ้าจะเสียหาย ไม่อาจบ่มเพาะพลังงานต้นกำเนิดได้อีกต่อไป แต่ตัวเจ้านับได้ว่าเปิดประตู้บานนั้น และก้าวเข้าไปสัมผัสถึงพลังกระทั่งบรรลุพลังกระบี่แล้ว ถึงแม้จะไม่มีพลังงานต้นกำเนิดเจ้าก็ยังสามารถ ฝึกฝนทำความเข้าใจ พลังกระบี่ต่อไป จนบรรลุขีดขั้นเข้าใจ แนวคิด กระบี่!" ต้วนหลิงเทียนค่อยๆกล่าวกับฉงเฉวียนอย่างช้าๆ

"เรื่องนี้หาได้สำคัญอีกต่อไปแล้วขอรับ" ฉงเฉวียนส่ายหัวและยิ้มออกมา ทำดูราวกับเรื่องนี้หาได้สำคัญและมีผลอะไรอีกแล้ว

หากไร้ซึ่งพลังงานต้นกำเนิดแล้ว ถึงแม้ตัวมันจะเข้าใจและบรรลุ แนวคิด กระบี่แล้วจะอย่างไร?

เต็มที่ก็ทำให้การจู่โจมลงมือของมันร้ายกาจน่าเกรงขาม

แต่ในแง่ของความเร็วแล้วตัวมันไม่ต่างอะไรไปจากผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 9 สักนิด!

ต้วนหลิงเทียนเผยท่าทีจริงจังในขณะกล่าวคำสืบต่อกับฉงเฉวียน "ฉงเฉวียนข้ารู้ว่ายามนี้ เพราะตันเถียนเจ้าถูกทำลายเจ้าจึงกลับกลายเป็นสิ้นหวัง ...แต่ข้าขอกล่าวบอกต่อเจ้า! ข้ายังมีวิธีฟื้นฟู รักษาตันเถียนของเจ้า!!"

"อะไร?!" ฉงเฉวียนตกใจกับคำกล่าวของต้วนหลิงเทียน ท่าทางของมันยามนี้สั่นราวกับลูกนกหวาดกลัว “นายน้อย ท่านกล่าวบอกว่ามีวิธีรักษาฟื้นฟูตันเถียนของข้าหรือ? เป็นเรื่องจริงหรือขอรับ?”

ในตอนนี้ฉงเฉวียนได้สูญเสียความสงบก่อนหน้าไปอย่างสิ้นเชิง

มันกลับกลายเป็นตื่นเต้นและลืมตัว

เหตุผลเดียวที่มันแสร้งเป็นสงบก่อนหน้า เพราะมันไม่อยากให้ต้วนหลิงเทียนกังวลและรู้สึกผิด ...

แต่แท้จริงแล้วในใจของมันนั้นมันยังไม่อาจหลุดพ้น ...มันยังทำใจเรื่องที่ตันเถียนถูกทำลายไม่ได้

หลังจากที่อยู่ร่วมกับต้วนหลิงเทียนหลายปี ต้วนหลิงเทียนหาได้ปฏิบัติต่อมันราวกับข้ารับใช้สักเพียงครั้งถึงแม้เขาจะกุมชะตาชีวิตตัวมันเอาไว้ด้วยยาพิษก็ตาม  ต้วนหลิงเทียนยังคงปฏิบัติต่อตัวมันราวกับคนในครอบครัว และนั่นทำให้ตัวมันรู้สึกสำนึกในใจอยู่เสมอ

ถึงแม้ตอนนี้ตัวมันจะไม่ถูกยาพิษควบคุม แต่มันก็พยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อต้วนหลิงเทียน

"เจ้าเองก็ติดตามข้ามา 2-3 ปีแล้ว เจ้าเคยเห็นข้ากล่าววาจาอะไร เหลวไหลไร้ความหมายหรือไม่?" ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่แปลกใจกับท่าทางตื่นเต้นของฉงเฉวียน แน่นอนว่าหากเลือกได้คงไม่มีใครอยากพิการ

ใบหน้าของฉงเฉวียนแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง ยามนี้มันตื่นเต้นนัก

"แต่จะอย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าข้าจะมีวิธีฟื้นฟูตันเถียนของเจ้า แต่ข้าเกรงว่ามันต้องใช้เวลาอยู่บ้าง ...มันอาจจะต้องใช้เวลาเนิ่นนานถึง 5 ปี 10 ปี" วาจาต้วนหลิงเทียนครั้งนี้ ดั่งสาดเทน้ำเย็นรดศีรษะฉงเฉวียน

แต่ฉงเฉวียนหาได้ใส่ใจไม่ มันเพียงยิ้มออกมา "นายน้อยข้ารอได้ขอรับ"

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าและตบบ่าฉงเฉวียนเบาๆ "เช่นนั้นข้า ไปก่อนแล้ว ... เจ้าไม่จำเป็นต้องไปส่งข้า  ตั้งใจทำความเข้าใจเรื่องพลังกระบี่ขั้นสูงต่อไปให้ถ่องแท้ ด้วยความสามารถในการทำความเข้าใจของเจ้าที่มีไม่น้อย การที่จะบรรลุถึงแนวคิดกระบี่น่าจะไม่ใช่เรื่องยาก ข้าหวังว่าเมื่อได้พบเจอเจ้าครั้งหน้า เจ้าจะเข้าใจแนวคิด กระบี่ แล้ว"

"ข้าจะไม่ทำให้นายน้อยผิดหวังขอรับ" ฉงเฉวียนรีบพยักหน้า

ต้วนหลิงเทียนยิ้มด้วยความพึงพอใจก่อนที่จะเดินจากมา...ไม่นานเขาก็กลับไปรวมตัวกับลี่เฟย จางโฉวหย่งและหวังฉง ก่อนที่จะเดินทางออกจากหมู่บ้านในหุบเขาไป

"ตัวเลวร้าย เจ้ายังกังวลเรื่องของฉงเฉวียนอยู่หรือไม่?" ลี่เฟยไม่อาจปล่อยไปได้ เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนเงียบมาตลอดทาง

ต้วนหลิงเทียนเพียงระบายลมหายใจ ก่อนที่จะกล่าวออกมา "ข้าต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉงเฉวียน"

ลี่เฟยจับมือต้วนหลิงเทียนและกล่าวปลอบออกมา "เจ้าอย่าได้ตำหนิตัวเองอีกเลย ในยามนั้นเจ้าเองก็ไร้หนทางใดๆ... เป็นเฒ่าแก่น่าตายนั่นร้ายกาจเกินไป แต่จะอย่างไรพี่ใหญ่จางก็สังหารมันแล้ว ความแค้นของฉงเฉวียนเองก็นับว่าได้ชำระแล้ว"

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าและหันไปมองชายหนุ่ม ที่อยู่บนหลังอาชาเหงื่อโลหิตด้านหลัง "พี่ใหญ่จางทั้งหมดล้วนขอบคุณท่าน"

จางโฉวหย่งส่ายหัวพร้อมยิ้มบางๆ "น้องหลิงเทียนอย่าได้กล่าวแล้ว ... วันนั้นยามที่ข้าพบเจ้าครั้งแรก ตอนที่เจ้ายืนอยู่หน้าโรงเตี๊ยมเชวียนฉี ข้าก็รู้สึกถูกชะตาราวพบพานสหายเก่า อีกทั้งพวกเราก็สนทนากันถูกคอไม่น้อย ได้พบพานสหายดีๆเช่นนี้เรื่องเล็กน้อยจะนับเป็นอะไร"

"ถูกต้อง" หวังฉงที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหน้าจางโฉวหย่ง พยักหน้าพร้อมยิ้ม "ข้าและน้องหญิงลี่เฟยเองก็นับว่าถูกชะตากันนัก แค่ข้าได้เห็นนางข้าก็นับนางเป็นน้องสาวของข้าแล้ว ... เจ้าห้ามรังแกนางเด็ดขาด หาไม่แล้วต่อให้ข้าจะสู้เจ้าไม่ได้ ข้าก็จะไม่เลิกรา" ในขณะกล่าวคำหวังฉงเผยน้ำเสียงข่มขู่ออกมาเล็กน้อย

"อา เช่นนั้นแล้วต่อไปข้าไม่ถูกสาวน้อยนางนี้ควบคุมทุกสิ่งหรอกหรือ?" ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาพร้อมหัวเราะ

"ฮึ! ตัวเลวร้าย มาลองดูกันว่าเจ้ายังกล้ารังแกข้าหรือไม่" คำพูดของหวังฉง ทำให้ลี่เฟยส่ายหัวไปมา ใบหน้าของนางเผยความพอใจไม่น้อย

หลังจากนั้นกลุ่มของต้วนหลิงเทียนก็เดินทางต่อไป การเดินทางกลับนิกายกระบี่ 7 ดาวนี้หาได้เร่งรีบอะไรมากมายนัก ต้วนหลิงเทียนแวะชมวิวทิวทัศน์ไปเรื่อยๆ เก็บภาพความงามของธรรมชาติเอาไว้ในใจตลอดรายทาง

เรื่องสำคัญที่ควรกล่าวถึงก็คือ ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนมาถึงเมืองไผ่ทมิฬ ระดับบ่มเพาะของเขาก็ทะลวงผ่านจุดรอคอยไปอีกขีดขั้น!

ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 9!

‘ตอนนี้ข้าทะลวงผ่านมายังระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 9 ได้แล้ว ความแข็งแกร่งของข้าสมควรมี 131 ช้างแมมมอธโบราณ ... เทียบกับผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 9 คนอื่นๆ ข้ายังเหนือกว่า 11 ช้างแมมมอธโบราณ!’

‘ทั้งรูปแบบที่ 3 นาคาพิโรธ ของวิชา 9 มังกรจักรพรรดิสงครามข้าก็บรรลุระดับสูงสุดแล้ว!’

 

ขอบเขตของพลังสั่นสะเทือนเองก็ขยายออกไปจนถึงขีดจำกัด!... ตราบใดที่ความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้ามหาได้มากกว่าข้าเกิน 100 ช้างแมมมอธโบราณ ข้าไม่จำเป็นต้องกลัว!’ ตั้งแต่ที่ตัดผ่านระดับได้ อารมณ์ของหลิงเทียนฮึกเหิมขึ้นมาเล็กน้อย

‘หลิ่วชีเกอ!" ประกายตาของต้วนหลิงเทียนเรืองวูบขึ้นมาอย่างดุร้าย ร้อยยิ้มเย็นชาเผยออกมาที่มุมปาก ... ‘เมื่อข้ากลับไปถึง บัญชีแค้นระหว่างเราต้องได้รับการสะสาง!’

วันนั้นหลิ่วชีเกอทำร้ายเขาจนบาดเจ็บสาหัส ซัดจนเขาต้องกระเด็นล้มไม่เป็นท่าต่อหน้าผู้คน

มันมอบความอัปยศนี้ให้แก่เขา!

เขาย่อมแค้นมันและหวังให้มันชดใช้ ด้วยความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขา!  และถึงเวลานั้นเขาจะให้มันจ่ายราคาหนักหนากว่าที่เขาต้องเผชิญ 10 เท่า 100 เท่า!!

ถึงตอนนี้เขาจะยังไม่ได้ตัดผ่านไปยังระดับวิญญาณแรกก่อตั้ง แต่เมื่อเขาอยู่ในระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 9 แล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวผู้ฝึกยุทธ์ระดับ วิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 1 แม้แต่น้อย...

‘ตราบใดที่หลิ่วชีเกอยังไม่ตัดผ่านไปยังระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 2 อาศัยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของข้า สมควรเหยียบย่ำทำลายมันได้ง่ายดาย!’ ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนคิดถึงเรื่องนี้ ประกายตาของเขาก็เรืองวูบออกมาอย่างน่ากลัว

เมื่อเขาฟื้นคืนสติหลังจากจมจ่อมในภวังค์คิด สิ่งแรกที่ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ก็คือ กลิ่นหอมจากเรือนผมลี่เฟย และสายลมที่พัดผ่านลูบไล้ใบหน้าของเขาขณะที่กำลังควบขี่อาชาห้อทะยานไปด้านหน้า ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนที่จะเผยท่าทางอ่อนโยนออกมา

ในตอนนี้ นับได้เป็นเวลา 1 ปีแล้วที่เขาเดินทางออกจากนิกายกระบี่ 7 ดาว

ครั้งนี้หาใช่ระดับบ่มเพาะของเขายกระดับขึ้นแต่เพียงผู้เดียวไม่  ระดับบ่มเพาะของลี่เฟยเองก็ทะลวงผ่านไปตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อน ตอนนี้นางตัดผ่านไปยังระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 7 แล้ว!

แน่นอนว่าสาเหตุที่ลี่เฟยก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว ไล่ตามรอยเท้าของต้วนหลิงเทียนมาติดๆเช่นนี้ เป็นเพราะ นมผา 10,000 ปีที่นางได้กินลงไป ...

ในปัจจุบันพรสวรรค์เชิงยุทธ์ตามธรรมชาติของลี่เฟย ก็คล้ายคลึงกับต้วนหลิงเทียน และถึงจุดสูงสุดที่ผู้ฝึกยุทธ์คนนึงจะมีได้

หนึ่งปีผ่านไป...

แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนก็มีอายุได้ 21 ปีแล้ว

จางโฉวหย่งจับจ้องไปยังจุดสีดำเล็กๆเบื้องหน้า ที่สุดสายตา ก่อนที่จะกล่าวถามออกมาช้าๆ "น้องหลิงเทียน ข้างหน้าใช่เมืองไผ่ทมิฬหรือไม่?"

"ใช่แล้ว" ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ  เขาย่อมรู้ดีว่าเมื่อเดินทางมาถึงเมืองไผ่ทมิฬแล้วมันหมายความว่าอย่างไร...มันหมายความว่าเขากำลังจะต้องเอ่ยคำลากับจางโฉวหย่งและหวังฉงแล้ว

ในการเดินทางครั้งนี้ นับว่ามิตรภาพระหว่างเขา ลี่เฟยกับจางโวหย่งและหวังฉง ได้เพิ่มพูนลึกซึ้งมากขึ้น

แน่นอนว่ายามแยกจากย่อมไม่คิดเต็มใจอยู่บ้าง

"หลังจากไปถึงเมืองไผ่ทมิฬแล้ว ไปหาอะไรกินด้วยกันเถอะ" จางโฉวหย่งมองไปยังลี่เฟยและต้วนหลิงเทียนก่อนที่จะกล่าวเสนอออกมา

แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนและลี่เฟยย่อมไม่คิดแย้ง

หวังฉงกล่าวกับลี่เฟยด้วยใบหน้าที่อ่อนโยนเต็มไปด้วยความรัก "น้องหญิงลี่เฟย เมื่อพวกเราว่างข้ากับพี่จางต้องไปหาเจ้าที่นิกายกระบี่ 7 ดาวแน่นอนในอนาคต "

ดวงตาคู่งามของลี่เฟยเองก็เริ่มรื้นขึ้นเล็กน้อยขณะกล่าวตอบหวังฉง "พี่หญิงหวังฉง ข้าจะคิดถึงท่าน"

ต้วนหลิงเทียนปลอบลี่เฟย “ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา เจ้าอย่าได้เศร้าแล้วร่าเริงเข้าไว้... อะไรกัน เจ้าทำราวกับพวกเราจะไม่ได้พบพี่ใหญ่จางกับพี่สะใภ้อีกแล้วอย่างไรอย่างนั้น... นอกจากนี้เดี๋ยวพวกเรายังต้องไปหาอะไรกินด้วยกันอีก แล้วนี่เจ้าจะเศร้าไปทำอะไรเล่า ยิ่งเจ้าเป็นเช่นนี้ พี่สะใภ้ยิ่งรู้สึกไม่ดี รู้หรือไม่?”

ลี่เฟยพยักหน้ารับเบาๆ แทบไม่อาจฝืนยิ้มออกมาได้

ในช่วงครึ่งปีมานี้นางกับหวังฉงเข้ากันได้ดีมาก ตั้งแต่แรกก็รู้สึกราวกับพี่น้องคลานตามกันมา  ตอนนี้เมื่อถึงคราต้องจำจากมันย่อมยากจะแยก ในใจล้วนไม่ยินยอม

จุดเล็กๆสีดำที่อยู่ไกลสุดสายตา ยิ่งมายิ่งใหญ่ขึ้น สุดท้ายภาพเมืองไผ่ทมิฬก็ปรากฏขึ้นอย่างกระจ่างชัด

เมืองนี้หากมองไกลๆ แลไปคลับคล้ายสัตว์อสูรขนาดมหึมากำลังอ้าปาก รอกลืนกินม้า,เกวียน,ลากเทียมทั้งหลายที่กำลังควบขี่เข้ามา

หลังจากที่กลุ่มของต้วนหลิงเทียนเข้าเมืองมาแล้ว ก็หาเหลาอาหาร และขึ้นเลือกโต๊ะริมหน้าต่าง

หลังจากนั้นก็เริ่มสั่งอาหาร

"น้องหลิงเทียน ดูเหมือนพวกเขาจะมองเจ้านะ?" ทันใดนั้นเสียงผ่านพลังงานต้นกำเนิดของจางโฉวหย่งก็ดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียน

ตอนนี้เอง ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าภายในเหลาอาหารแห่งนี้ ผู้คนล้วนกำลังมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ

อันที่จริงต้วนหลิงเทียนก็สังเกตได้ตั้งแต่ย่างเท้าเหยียบเข้าเมืองมาแล้ว ว่าสายตาของผู้คนล้วนจับจ้องมาเขาอย่างวาวโรจน์ ราวกับพวกมันมองเห็นเขาเป็นทองคำแท่งอย่างไรอย่างนั้น

"เกิดอะไรขึ้นกัน?" ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

เขตที่พัก ตระกูลฉี

"ประมุข! ข้าต้องพบท่านประมุข!!” รางหนึ่งกำลังพุ่งตัวมาด้วยความเร็วดั่งเส้นแสง มุ่งหน้าเข้าเขตที่พักตระกูลฉีมาด้วยความรีบเร่ง ทิศทางของมันกำลังพุ่งไปยังห้องโถงหลัก

ภายในห้องโถงหลักตระกูลฉี

ชายชราคนหนึ่งสวมชุดแพรให้ความรู้สึกหนาวเย็นแก่ผู้มอง กล่าวถามออกมาต่อชายวัยกลางคนตรงหน้าด้วยสายตาไร้อารมณ์ “เนิ่นนานผ่านไปแล้ว ยังไม่ได้ข่าวของต้วนหลิงเทียนอีกหรือ?"

ชายวัยกลางคนที่ถูกถามนี้ มันคือประมุขของตระกูลฉี ฉีลี่ ไม่ผิดแน่!

รีวิวผู้อ่าน