px

เรื่อง : การต่อสู้ชิงบัลลังก์ในเงามืดของเจ้าชายไร้ค่าสุดแกร่ง (Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi )
ตอนที่ 41: ก่อตั้งพันธมิตร


 

ฉันตื่นขึ้นมาในตอนที่เสียงดังลั่นของปืนใหญ่เวทมนตร์สิ้นสุดลงแล้ว

 

การต่อสู้จบแล้วในตอนที่ฉันขึ้นมาบนดาดฟ้าเรือ

 

ลีโอกับคนอื่นๆดูเหมือนจะกำลังออกค้นหาเผื่อยังมีมอนส์เตอร์เหลืออยู่

 

“ถ้าพวกเราเสร็จงานแล้วก็รีบพาข้ากลับฝั่งได้แล้ว ข้าอยากไปงีบในปราสาท”

 

“เห้อ....พวกเรากำลังจะกลับแล้วครับ”

 

พวกเรามุ่งหน้ากลับไปที่ท่าเรือในขณะที่ฉันถูกลูกเรือมองด้วยสายตาเอือมระอา และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ก้าวเข้าสู่แผ่นดินของรอนดิเน่

 

เอาเถอะ, ตัวท่าเรือก็ไม่ได้ต่างจากอัลบราโทรมากนัก แค่อัลบราโทรอาจจะดูเจริญกว่าเท่านั้นเอง

 

ในขณะที่ฉันกำลังชื่นชมท่าเรืออยู่, เอลน่าก็กระโดดข้ามหลังคามาแล้วตะโกนเรียกฉัน

 

“อัล!”

 

“ไง, เอลน่า เหนื่อยหน่อยนะ”

 

ด้วยการโบกมือให้เธอ, ฉันก็พูดขอบคุณ

 

ตัดสินจากสภาพแวดล้อมของฉัน, มอสเตอร์ส่วนใหญ่ที่ขึ้นบกอาจจะถูกเอลน่ากำจัดไปหมดแล้ว

 

การที่ซากมอนส์เตอร์เกือบทั้งหมดถูกกองเอาไว้เกลื่อนกลาดอยู่ที่นี่และดูเหมือนจะถูกฆ่าด้วยการโจมตีเดียวนั้น, ก็ถือว่าเป็นหลักฐานที่เพียงพอแล้ว

 

“ข้าก็ไม่ได้ลำบากอะไรนักหรอก คนที่เหนื่อยน่าจะเป็นฝั่งเจ้าไม่ใช่หรอ?”

 

“ก็นะ ตอนนี้ข้าเหนื่อยจริงๆนั่นแหล่ะ”

 

สมกับที่เป็นเพื่อนสมัยเด็กของฉัน

 

เธอมองออกในทันทีว่าฉันคืออัลตัวจริง

 

การที่สามารถมองออกได้ง่ายแบบนี้, ฉันไม่สามารถดูถูกสายตาของเธอได้จริงๆ

 

ด้วยความคิดนี้, ฉันก็เงยหน้าขึ้น ซึ่งการทำแบบนี้, ทำให้ฉันอยู่ในจุดที่สามารถส่องใต้กระโปรงของเอลน่าได้

 

แน่นอนว่า, ฉันมองไม่เห็นชุดชั้นในของเธอเพราะเธอสวมซับในสีดำอยู่ ถ้าเป็นลีโอเขาก็คงจะบ่นว่าเธอแต่งตัวไม่เหมาะสม

 

“นี่, เอลน่า ข้าว่าปีนไปอยู่บนที่สูงแบบนั้นไม่น่าจะเป็นความคิดที่ดีเท่าไหร่นะ”

 

“อะไรของเจ้าเนี่ย? ตอนนี้คิดจะแกล้งทำตัวเป็นลีโออีกรึไง? เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรอว่ามันไม่ได้ผลหรอก?”

 

“ก็นะ, เอาเถอะถ้าเจ้าไม่ถือสาข้าเองก็ไม่อะไรเหมือนกัน”

 

เอลน่าไม่ได้เสียความมั่นใจเลย

 

ดูเหมือนว่าเธอจะมั่นใจในตัวเองอย่างเต็มที่

 

ซึ่งการที่เธอมั่นใจขนาดนี้มันก็เป็นธรรมดาที่ฉันอยากจะทำลายมัน

 

“เปล่าประโยชน์หน่า! ข้าแต่งตัวมามิดชิดแล้ว!”

 

“อ๋อ, หรอ....แต่มันกำลังจะขาดไม่ใช่รึไงนั่น?”

 

ความมั่นใจทั้งหมดหายไปจากใบหน้าของเอลน่า

 

จากนั้นเธอก็ตะโกนกลับมาหาฉันด้วยใบหน้าที่แดงขึ้นเล็กน้อย

 

“ขะ, ข้าไม่มีวันหลงกลเจ้าหรอก!”

 

“ข้าก็บอกแล้วไงถ้าเจ้าไม่ถือสาข้าเองก็ไม่มีปัญหาเหมือนกัน แต่ขอพูดเอาไว้เลยนะ, ซับในสีดำของเจ้ามันทำให้ชุดชั้นในสีอ่อนของเจ้ามันดูเด่นรู้ตัวบ้างไหม?”

 

!!??”

 

เท่านี้การแข่งขันก็ถูกตัดสินแล้ว

 

เอลน่าหันกลับไปแล้วแอบตรวจดูใต้กระโปรงของเธอ

 

ตามปกตินั้นเอลน่าชอบสวมชุดชั้นในสีขาวหรือไม่ก็สีโทนอ่อน ฉันพูดออกมาให้คลุมเครือเพื่อให้เธอเข้าใจผิดไปเองแต่ดูเหมือนว่าเธอจะติดกับจริงๆสินะ

 

“ตะ, ตรงไหน!? มันขาดตรงไหน!? อัล~……?”

 

“มันก็ต้องเป็นเรื่องโกหกอยู่แล้ว รู้สึกตัวซักทีสิ”

 

พอพูดจบ, ฉันก็มุ่งหน้าไปที่ปราสาทอย่างเฉยเมย

 

หลังจากนี้, ลีโอคงเข้าไปทักทายพระราชาอีกครั้ง, เขาน่าจะมาขอพูดคุยกับฉันเป็นการส่วนตัวเนื่องจากเป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือจะบอกว่ามันเป็นทางเลือกเดียวของเขาก็ว่าได้

 

สรุปง่ายๆก็คือฉันมีเวลาว่างจนกว่าจะถึงตอนนั้นเพราะฉะนั้นขอไปงีบที่ปราสาทซักหน่อยละกัน

 

“อัล....? นี่เจ้าคิดจะไปไหน?”

 

“ก็ต้องไปปราสาทหน่ะสิ”

 

“เจ้าคิดว่าข้าจะยอมปล่อยไปง่ายๆหรอ?”

 

“ตอนนี้เจ้าอยู่ในตำแหน่งที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยข้าไปไม่ใช่รึไง?”

 

ที่แห่งนี้เคยเป็นสนามรบจนถึงเมื่อซักครู่นี้

 

เธอไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามอนส์เตอร์จะกลับมาอีกรึเปล่า

 

สำหรับลีโอนั้นคงไม่ต้องพูดถึงแต่ฉันต้องรีบลี้ภัยโดยด่วน

 

“เจ้าจะปลอดภัยถ้าอยู่ใกล้ข้าเพราะฉะนั้นเจ้าแค่อยู่กับข้าก็พอแล้ว”

 

“เอามือทาบอกแล้วถามตัวเองดีๆ ข้าเคยปลอดภัยตอนอยู่ข้างเจ้าด้วยหรอ? จนถึงตอนนี้ข้ารู้สึกเหมือนเกือบตายมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วไม่รู้รึไง?”

 

“นั่นก็เพราะอัลชอบพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องต่างหากหล่ะ! จริงๆเลย! ทำไมเจ้าต้องโกหกแบบนั้นด้วยนะ!?”

 

“ไอ้นั่นมันก็นั่นไงหล่ะ พอเห็นเจ้าทำท่าที่มั่นใจขนาดนั้นแล้วมันก็เป็นธรรมดานี่ที่ข้าอยากจะแกล้งเจ้า”

 

“นิสัยตรงนี้ของเจ้านี่เหมือนจักรพรรดิจริงๆ....ฝ่าบาทเองก็ชอบพูดเรื่องแบบนี้เหมือนกัน”

 

“ถึงยังไงเขาก็เป็นพ่อของข้านี่หน่า เอาเถอะขอโทษละกัน, ข้าผิดเองแหล่ะ แต่ว่า, นานๆครั้งหาชุดชั้นในแบบหวือหวามาใส่บ้างก็ดีเหมือนกันนะ”

 

“ยุ่งไม่เข้าเรื่อง!”

 

เธอกระโจนเข้ามาคว้าคอเสื้อของฉันแล้วสั่นฉันไปมาอย่างรุนแรง

 

อา, โลกกำลังสั่นอยู่หล่ะ.....

 

ในตอนที่ฉันคิดจะบอกลาสติของฉัน, ในที่สุดเธอก็ยอมปล่อยฉันไป

 

ท้ายที่สุดแล้ว, ฉันก็เคลื่อนไหวไม่ได้ไปพักนึงซึ่งมันก็จบลงที่ฉันต้องขึ้นรถม้าที่ตั้งใจเตรียมไว้เพื่อพาลีโอกลับปราสาท

 

...

 

“อะ, อะไรนะ!? มังกรทะเลตื่นจากการจำศีลแล้วหรอ!?”

 

“ใช่ครับ, ฝ่าบาท เรือรบรุ่นใหม่ล่าสุดของอัลบราโทรถูกมันจมไปสามลำแล้ว นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ว่าการโจมตีของมอนส์เตอร์ที่พึ่งผ่านมานั้นจะเกี่ยวข้องกับมังกรทะเลตัวนี้ด้วย”

 

“ถะ, ถ้ามีเจ้าตัวแบบนั้นตื่นขึ้นมาหล่ะก็....ประเทศของข้าจะอยู่รอดต่อไปได้หรอ......?”

 

พอเห็นราชารอนดิเน่ที่อยู่ในสภาพตื่นตระหนก, ฉันก็รู้สึกปลงอยู่ในใจ

 

ในตอนที่ฉันคิดว่าในที่สุดก็จะได้พักผ่อนแล้ว, เอลน่าก็พูดขึ้นมาว่า ‘ถ้าพวกเจ้าสลับตัวกันอีกครั้งคงไม่เป็นไรหรอกหน่า’ แล้วตอนนี้ฉันก็กำลังพูดกับราชารอนดิเน่ในฐานะลีโอ

 

แน่นอนว่า, การแกล้งแสดงเป็นลีโอแล้วคุยเรื่องนี้ให้จบไปเลยนั้นมันเร็วกว่าการที่ต้องมาอธิบายรายละเอียดทั้งหมดให้กับลีโอตัวจริงก่อนค่อยให้เขามาคุยแต่ว่า.....

 

ฉันก็ยังทำใจยอมรับไม่ได้อยู่ดี

 

“ครับ สำหรับเรื่องนี้, ราชาของอัลบราโทรต้องการจะขอให้จักรวรรดิเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างราชรัฐอัลบราโทรกับราชรัฐรอนดิเน่ครับ ฝ่าบาท ในฐานะที่ข้าเป็นทูตที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จของจักรวรรดิ ข้าอยากจะขอให้ท่านต่อสู้กับสถานการณ์ฉุกเฉินนี้ด้วยการปล่อยวางความขัดแย้งในอดีตแล้วร่วมมือกับราชรัฐอัลบราโทรเพื่อก่อตั้งพันธมิตรกำจัดมังกรทะเลขึ้นมา ข้าให้สัญญาเลยว่าจักรวรรดิจะสนับสนุนพันธมิตรนี้เช่นกัน”

 

“อะ, อืม....แต่ว่านะ”

 

“ท่านมีปัญหาอะไรหรอครับ?”

 

“มันจะนำอันตรายมาสู่ประเทศของข้าจริงๆหรอ?”

 

“อย่างนี้นี่เองสินะครับ ก็จริงอยู่ที่ข้าไม่มีหลักฐาน แต่ว่า, ข้าได้บังเอิญเจอกับมังกรทะเลในระหว่างทางมารอนดิเน่ ข้าสามารถหนีจากมันมาได้แต่หลังจากนั้นข้าก็มาเจองูทะเลซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่น่าจะเข้าใกล้ฝั่งกำลังมุ่งหน้าเข้าหาท่าเรือของท่าน ข้าสงสัยว่าการโจมตีของมอนส์เตอร์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะมังกรทะเลเข้ามาในน่านน้ำของท่าน”

 

“ตะ, แต่นี่มัน.....”

 

“สิ่งที่สำคัญก็คือว่าระยะการก่อความวุ่นวายของมังกรทะเลมันกินมาถึงน่านน้ำของรอนดิเน่ด้วย ฝ่าบาทครับ การที่เป็นเช่นนี้ก็หมายความว่าเส้นทางทะเลสู่ประเทศของท่านในตอนนี้ถูกมังกรทะเลขวางเอาไว้อยู่ ซึ่งสถานการณ์แบบนี้มันเป็นผลเสียกับราชรัฐรอนดิเน่อย่างแน่นอนไม่ใช่หรอครับ?”

 

ถ้าเป็นไปได้ฉันก็ไม่อยากจะโน้มน้าวเขาด้วยวิธีนี้แต่ในเมื่อฉันไม่รู้ว่าพระราชาจะลังเลแบบนี้ต่อไปอีกนานแค่ไหนฉันจึงต้องอธิบายถึงความเสียเปรียบของสถานการณ์ที่รอนดิเน่กำลังเผชิญอยู่

 

“ถ้าเส้นทางทะเลถูกปิดกัน, ท่านก็จะทำการค้าขายแลกเปลี่ยนได้แค่ทางบกเท่านั้น ถึงแม้ว่าราชรัฐรอนดิเน่จะปกครองพื้นที่ถึงสองในสามของคาบสมุทร, แต่เส้นทางส่วนใหญ่ที่เชื่อมกับตอนกลางของทวีปนั้นยังถูกราชรัฐอัลบราโทรควบคุมอยู่ ถ้าพวกเขากวดขันเส้นทางบกขึ้นมาฝ่ายที่จะเสียเปรียบก็จะเป็นราชรัฐรอนดิเน่ของท่านนะครับ, ฝ่าบาท”

 

“จะ, จริงหรอ!?”

 

“ถ้าเกิดเส้นทางทะเลถูกปิดกั้นแบบนี้จักรวรรดิของเราก็คงไม่มีวิธีสนับสนุนท่าน ท่านเข้าใจใช่ไหมครับ? ฝ่าบาทถ้าเกิดท่านเลือกที่จะมองข้ามภัยคุกคามจากมังกรทะเลในตอนนี้, มันก็เหมือนกับการยอมรับสถานการณ์นั้น แน่นอนว่า, ข้าจะไม่ห้ามท่านถ้าท่านยังมั่นใจว่าสามารถเอาชนะอัลบราโทรได้ด้วยสถานการณ์แบบนั้น แต่ว่า, ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าจักรวรรดิจะเลือกสนับสนุนฝ่ายไหนเมื่อถึงเวลานั้น”

 

ด้วยประโยคทิ้งท้าย, สีหน้าของราชารอนดิเน่ก็ซีดเผือด

 

จักรวรรดิเป็นมหาอำนาจ แค่การพูดเปรยว่าจักรวรรดิจะทำการเคลื่อนไหวแบบนั้นก็สร้างความตื่นตระหนกให้กับประเทศขนาดเล็กและประเทศขนาดกลางส่วนใหญ่ได้แล้ว

 

ยิ่งกว่านั้นในเมื่อราชรัฐอัลบราโทรพยายามจะขอความช่วยเหลือจากจักรวรรดิ สิ่งที่ฉันพูดไปเมื่อสักครู่นี้อาจจะได้ผลกว่าที่คิดเอาไว้ก็ได้

 

“ขะ, เข้าใจแล้วครับ! พวกเรายอมรับการก่อตั้งพันธมิตร ประเทศของข้าจะให้ความร่วมมือกับราชรัฐอัลบราโทรในการต่อสู้กับมังกรทะเลอย่างสุดความสามารถ”

 

ในที่สุดเขาก็ทำการตัดสินใจได้แล้ว

 

เท่านี้ราชรัฐอัลบราโทรก็สามารถจ้างกิลด์นักผจญภัยได้แล้ว

 

เอาจริงๆ, พวกเขาอาจจะส่งคำขอไปแล้วด้วยซ้ำ ถึงยังไงในเมื่อพวกเขาขอให้จักรวรรดิเข้าแทรกแซงแบบนี้พวกเขาก็คงไม่คิดว่าพวกเราจะล้มเหลวหรอก

 

เอาหล่ะตอนนี้, งานของอาร์โนลด์ก็จบลงเพียงเท่านั้น

 

ฉันได้บอกเอลน่ากับลีโอไปแล้วว่าหลังจากที่ฉันโน้มน้าวพระราชาได้สำเร็จฉันจะขอให้พวกเขายอมปล่อยให้ฉันได้ทำตามใจชอบ

 

รอนดิเน่น่าจะส่งกองเรือไปช่วยอัลบราโทรต่อสู้กับมังกรทะเลแต่ว่าฉันจะไม่เข้าร่วมด้วย

 

ถึงยังไงมันก็ถึงเวลาเคลื่อนไหวในเงามืดแล้ว

 

รีวิวผู้อ่าน