px

เรื่อง : การต่อสู้ชิงบัลลังก์ในเงามืดของเจ้าชายไร้ค่าสุดแกร่ง (Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi )
ตอนที่ 43: หุ้นส่วนแต่เพียงผู้เดียว


 

เช้าวันต่อมา

 

ฉันบอกกับทุกคนว่าฉันป่วยและขังตัวเองอยู่ในห้อง

 

และด้วยการทิ้งภาพลวงตาของตัวเองที่นอนอยู่บนเตียงเอาไว้, ตอนนี้ทุกคนที่เห็นก็คงจะคิดว่าฉันกำลังนอนหลับอยู่ในห้อง

 

จากนั้น, ฉันก็ได้ใช้เวทย์เคลื่อนย้ายเพื่อไปยังเมืองที่อยู่ใกล้กับพรมแดนทางใต้ของจักรวรรดิและใช้มันอีกครั้งจากที่นั่นเพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงของจักรวรรดิโดยตรง

 

สถานที่ที่ฉันเคลื่อนย้านไปก็คือห้องลับของท่านทวด

 

มีใบหน้าอันแสนคุ้นเคยรอฉันอยู่ที่นั่น แต่ว่าไม่ใช่ท่านทวด ตอนนี้เขาน่าจะกำลังพักผ่อนอยู่ในหนังสือ เขาอาจจะเป็นร่างความคิดแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะตื่นอยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่ได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอจิตวิญญาณของเขาก็อาจจะสลายไปได้

 

“ยินดีต้อนรับกลับครับ”

 

“เซบาสหรอ รู้ได้ไงว่าข้าจะกลับมาวันนี้?”

 

“ไม่รู้หรอกครับ ข้าแค่มารอที่นี่ทุกวัน”

 

“ทุกวันเลยหรอ....เจ้านี่ขยันจังเลยนะ”

 

“ถ้าไม่ขยันก็คงทำงานเป็นพ่อบ้านไม่ได้หรอกครับ”

 

พอพูดจบ, เซบาสก็ส่งหน้ากากเงินกับผ้าคลุมสีดำให้ฉัน

 

ในขณะที่ฉันกำลังสวมเครื่องแบบของซิลเวอร์อยู่, ฉันก็ถามเซบาสเกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนี้

 

“ตอนนี้สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?”

 

“สงครามชิงอำนาจกำลังไปได้ด้วยดีครับ ลินเฟียทำหน้าที่ได้ยอดเยี่ยมจริงๆ”

 

“งั้นหรอ ดูเหมือนว่าข้าจะตัดสินใจถูกสินะ”

 

“นั่นสินะครับ แต่ว่าท่านฟีเน่ค่อนข้าง......”

 

“ฟีเน่ทำอะไร?”

 

จากวิธีที่เขาพูด, ดูเหมือนว่ามันไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวฟีเน่

 

ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับฟีเน่จริงๆ, เซบาสคงไม่ได้ใจเย็นแบบนี้ ในขณะที่สงบสติอารมณ์ด้วยความคิดนี้, เซบาสก็ให้คำตอบกับฉัน

 

“เธอไปเข้าพบตัวแทนของบริษัทอะจินตามคำแนะนำของลินเฟียครับ ท่านฟีเน่สามารถโน้มน้าวตัวแทนของพวกเขาให้ร่วมมือกับเราได้แต่ว่า......”

 

“แต่อะไร? ข้าว่าข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรอว่าอยู่ห่างจากเธอ? ข้าเชื่อใจลินเฟียก็จริงอยู่แต่มันยังเร็วเกินไปที่จะไว้วางใจในตัวเธออย่างเต็มที่”

 

“ข้าขอโทษจริงๆครับ ข้าคิดว่าถ้าข้าไปกับลินเฟียด้วย, อีกฝ่ายจะระวังพวกเรามากขึ้น”

 

“...เอาเถอะ แล้ว? ฟีเน่โน้มน้าวตัวแทนของพวกเขายังไง?”

 

“เธอเอาตัวเองไปเป็นข้อต่อรองครับ เธอเสนอสิทธิให้พวกเขาใช้งานตัวเธอได้ตามใจชอบและขอให้พวกเขาเสนอสิ่งแลกเปลี่ยนมา แต่ในท้ายที่สุดนั้น, พวกเขาก็พับข้อเสนอนี้ทิ้งไปเนื่องจากไม่สามารถเสนอสิ่งที่มีค่าเท่าเทียมได้และหลังจากนั้นพวกเขาก็เลือกที่ใจให้ความร่วมมือด้วยข้อเสนอที่เรียบง่าย โดยสิ่งที่พวกเขาต้องการก็คือ, พวกเขาแค่อยากจะใช้ชื่อของท่านฟีเน่, ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องที่ธรรมดามาก”

 

“เห้อ......”

 

ให้ตายเธอ

 

เธอทำเรื่องสิ้นคิดจริงๆ

 

ฉันรู้ว่าเธอเป็นเด็กที่ไม่ให้ค่าตัวเองแต่แบบนี้มันก็เกินไปหน่อยนะ

 

เธอจะทำยังไงกันถ้าพวกเขามีข้อเสนอที่มีค่าเท่าเทียมกับตัวเธอ

 

“สมกับเป็นยัยตัวปัญหาจริงๆ”

 

“พูดไม่ดูตัวเองเลยนะ”

 

ชายแก่ที่มีร่างกายโปร่งแสงปรากฎตัวขึ้นอย่างกระทันหัน

 

นี่คืออาจารย์ของเขาเช่นเดียวกับท่านทวดของฉัน

 

“ท่านทวดหมายความว่าไง?”

 

“เจ้ามักจะมองว่าชื่อเสียงของตัวเองเป็นเรื่องรอง ไอ้ส่วนที่ชอบเสียสละตัวเองแบบนี้มันก็เหมือนกับแม่หนูนั่นไม่ใช่รึไง?”

 

“ช่างข้าเถอะหน่า การมีสถานะแบบนี้มันทำให้ข้าเคลื่อนไหวได้ง่ายกว่า”

 

“แม่หนูนั่นก็คงคิดเหมือนกันแหล่ะ ‘ฉันไม่เป็นไรหรอก แบบนี้แหล่ะดีแล้ว’ โลกเรานี่มันช่างน่าเศร้าจริงๆนะ, เซบาส มันน่าเศร้าที่เด็กไม่สามารถเป็นแค่เด็กได้”

 

“เห็นด้วยที่สุดเลยครับ”

 

ชายแก่สองคนถอนหายใจออกมาพร้อมกัน

 

นี่มันทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก

 

มันเหมือนกับว่าฉันเป็นตัวร้ายคนเดียวที่นี่ อย่ามางี่เง่ากับฉันนะ

 

“ข้าคงจะสามารถใช้ชีวิตเหมือนเด็กปกติไปได้ตลอดถ้ามีใครซักคนเปลี่ยนธรรมเนียมของสงครามผู้สืบทอดในตอนที่ได้เป็นจักรพรรดิ”

 

“ก็นะ, ถ้าจักรพรรดิที่ฉลาดและมีไหวพริบเกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติมันก็คงจะเป็นไปได้อยู่หรอก....แต่ในความเป็นจริงคงไม่มีวันเกิดขึ้นแน่ นี่คือเหตุผลที่ทำไมสงครามผู้สืบทอดถึงยังคงอยู่ มันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝึกคนที่มีความสามารถให้กลายเป็นจักรพรรดิ แต่ว่าการที่มีผู้เข้าแข่งที่ฝีมือเก่งกาจเยอะขนาดนี้มันก็ถือว่าเป็นเรื่องหายากจริงๆนั่นแหล่ะ”

 

เป็นทฤษฎีที่เห็นแก่ตัวชะมัด

 

ความไม่พอใจที่สั่งสมอยู่ในตัวฉันกำลังจะระเบิดออกมาแต่เนื่องจากการทำแบบนั้นมันไม่ได้ประโยชน์อะไรฉันก็เลยมุ่งหน้าไปที่ประตูโดยไม่พูดอะไรอีก

 

“อัล”

 

“อะไรอีกหล่ะ?”

 

“อย่าไปดุแม่หนูนั่นหล่ะ เข้าใจใช่ไหม?”

 

“....ท่านไม่จำเป็นต้องมาบอกข้าหรอกหน่า”

 

ฉันไม่มีคุณสมบัติที่จะไปสั่งสอนเธอได้

 

ฉันพึมพำกับตัวเองในใจในขณะที่ปกปิดตัวเองด้วยเวทย์ลวงตาแล้วออกจากห้องไป

 

...

 

ห้องของลีโอ

 

แม้ว่าฉันกับลีโอจะไม่ได้อยู่ที่นี่, แต่มันก็ยังคงเป็นฐานปฏิบัติการของฟีเน่กับคนอื่นๆ

 

และด้วยเหตุนี้เองฉันจึงมายืนรอฟีเน่ที่นี่

 

บางทีพวกเขาน่าจะคุยกับผู้สนับสนุนของเราเสร็จแล้ว, ฟีเน่กับลินเฟียถึงได้กลับมาที่ห้อง

 

!?ทะ, ท่านซิลเวอร์!?”

 

“ซิลเวอร์.....”

 

“ขอโทษนะ ท่านฟีเน่ ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่านนิดหน่อย”

 

“ค, ค่ะ....”

 

ฉันหันไปมองลินเฟีย

 

แน่นอนว่า, ลินเฟียดูเหมือนจะอยากอยู่ฟังการสนทนาด้วยเหมือนกันแต่ฉันไม่สามารถอนุญาตได้

 

“ขอพวกเราคุยกันสองคนซักพักนึงได้ไหม? นักผจญภัยหญิง, ที่ข้าเคยเจอที่ดินแดนของดยุคไคลเนลต์”

 

“ข้ารู้สึกเป็นเกียรตินะคะที่ท่านจำข้าได้แต่ตอนนี้ข้าทำหน้าที่เป็นคนคุ้มกันของท่านหญิงผู้นี้อยู่”

 

“ข้าอยากจะคุยกับเธอตามลำพัง ขอเวลาซักพักนึงเถอะหน่า”

 

“...ข้าไม่ได้สงสัยในตัวท่านนะคะแต่จะให้ข้าพูดว่า ‘ได้ค่ะ, เชิญเลย’ แบบนั้นก็คงจะไม่ได้หรอกค่ะ เพราะฉะนั้นขอประทานโทษด้วย”

 

นิสัยที่ยอมหักไม่ยอมงอของลินเฟียนั้นพึ่งพาได้มากๆ

 

ฉันคงจะไม่กล้าฝากฟีเน่เอาไว้กับเธอถ้าเธอเป็นคนที่ยอมใจอ่อนง่ายๆ

 

แต่ตอนนี้เธอกำลังขัดขวางฉันอยู่

 

ในขณะที่กำลังคิดเรื่องนี้, เซบาสก็เข้ามาช่วยฉัน

 

“ถ้างั้นเดี๋ยวข้าอยู่คุ้มกันท่านฟีเน่ให้เองครับ ไม่ต้องห่วง, ข้าไม่รบกวนเจ้าหรอก”

 

“....เข้าใจแล้วค่ะ”

 

“ถ้างั้น, ลินเฟีย เจ้าช่วยไปรอที่อีกห้องนึงก่อนได้ไหม?”

 

“....ถ้าท่านเซบาสว่าอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหาค่ะ”

 

ด้วยประการฉะนี้เอง, ในที่สุดลินเฟียก็ยอมออกไปจากห้อง

 

หลังจากยืนยันได้แล้วว่าลินเฟียออกไปแล้ว, เซบาสก็ย้ายไปยังห้องที่อยู่ติดกัน

 

ตอนนี้ในที่สุดพวกเราก็ได้อยู่กันตามลำพัง

 

“ยินดีต้อนรับกลับค่ะ แต่ในเมื่อท่านกลับมาที่นี่, ก็แสดงว่าต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับทางโน้นใช่ไหมคะ?”

 

“ก็นะ, เรื่องใหญ่เลยแหล่ะ....แต่เอาไว้ค่อยเล่าคราวหลังละกัน”

 

“? คราวหลังหรอคะ ?”

 

ฟีเน่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

 

บางทีเธอคงจะคิดว่านอกจากเรื่องนั้นแล้วมันก็ไม่น่าจะมีอะไรให้พูดอีก

 

ซึ่งมันเป็นเพราะเธอจัดลำดับความสำคัญของตัวเองเอาไว้ต่ำมากๆ

 

“....ข้าได้ยินมาว่าเจ้าไปพบกับตัวแทนของบริษัทอะจินมา”

 

“ใช่ค่ะ! การเจรจาผ่านไปได้อย่างราบลื่นเลยค่ะ! แถมคุณตัวแทนเองก็เป็นคนดีด้วย”

 

พอพูดจบ, ฟีเน่ก็เผยรอยยิ้มออกมา

 

รอยยิ้มแบบนี้ของเธอนั้นถือว่าหาดูได้ยาก

 

แล้วมันก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ความรู้สึกทุกข์ใจของฉันชัดเจนขึ้นด้วย มันเหมือนกับว่าฉันกำลังมองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก

 

ฉันไม่ได้เสียใจกับสิ่งที่ทำไป มันเป็นเรื่องจำเป็นและฉันก็จะทำแบบนี้อีกในอนาคตด้วย

 

แต่ฉันรู้สึกผิดที่ฉันทำให้คนรอบตัวฉันรู้สึกแบบนี้

 

“....นี่, ฟีเน่ ข้ารู้ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรได้ยินจากข้า เจ้าอาจจะเกลียดข้าเพราะเรื่องนี้ก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้น, ข้าก็ยังอยากจะบอกเรื่องนี้กับเจ้า”

 

“คะ?”

 

“ข้าอยากให้เจ้าดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้หน่อย”

 

มันเหมือนกับการโยนบูมเมอแรง ลีโอเคยพูดเรื่องแนวๆนี้กับฉันมากี่ครั้งแล้วนะ? แต่ว่าที่ฉันมาอยู่ในสถานะแบบนี้ก็เพราะฉันต้องการเอง และฉันก็ไม่ได้พยายามสุดโต่งและเสียสละตัวเองในสิ่งที่เหมือนกับฟีเน่ด้วย

 

แล้วฟีเน่จะตอบสนองยังไงกัน?

 

ฉันสามารถจินตนาการออกมาได้ง่ายๆเลย แต่ว่านี่คือสิ่งที่ฉันต้องพูดกับเธอ

 

ในขณะที่กำลังคิดเรื่องนี้อยู่, ฉันก็พูดต่อ

 

“ฟีเน่การเห็นเจ้าให้ความสำคัญกับตัวเองต่ำแบบนี้มันทำให้ข้าไม่สบายใจนะ ข้ารู้ว่าเจ้าแค่อยากทำตัวให้เป็นประโยชน์แต่เจ้าไม่ต้องทุ่มเทหนักขนาดนั้นก็ได้”

 

“...ถ, ถึงอย่างนั้นก็เถอะค่ะ.....แต่ข้า....แต่ข้าอยากจะเป็นประโยชน์กับท่านอัลนี่คะ......”

 

ฟีเน่พูดงึมงำ, สีหน้าของเธอนั้นเหมือนกับกำลังจะร้องไห้

 

พอเห็นเธอเป็นแบบนี้, ความรู้สึกผิดก็เติบโตขึ้นในใจฉัน มันเป็นเพราะความไม่เอาใจใส่ของฉันเอง ฉันคิดว่าถ้าฉันไม่บ่นเธอหรือโมโหใส่เธอ, มันก็คงจะไม่เป็นอะไร

 

ฟีเน่ไม่เคยออกจากดินแดนของดยุคไคลเนลต์เลย การย้ายมาอยู่เมืองหลวงจะทำให้เธอรู้สึกไม่มั่นใจมันก็แน่นอนอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้น, เธอก็ยังอยากจะทำตัวให้เป็นประโยชน์จากใจจริง

 

สำหรับเรื่องนี้ฉันไม่ได้ทำอะไรเพื่อตอบแทนเธอเลย ฉันเคยพาเธอออกไปเที่ยวข้างนอกกี่ครั้งกัน? ฉันเคยปล่อยให้เธอได้พักบ้างรึเปล่า?

 

ในหัวของฉันมีแต่ความคิดเรื่องสงครามผู้สืบทอด พูดตามตรง, แม้แต่ตัวฉันเองก็ยังไม่ค่อยมีเวลาพักผ่อนเลย

 

จากนั้นคำพูดของแม่ก็ผุดขึ้นมาในหัวของฉัน

 

‘เจ้านี่ชอบหักโหมตลอดเลยนะ’ นี่คือสิ่งที่แม่ของฉันพูดในตอนที่ฉันแยกกับเธอที่ตำหนักใน

 

ในตอนนั้น, ฉันปล่อยผ่านไปเฉยๆโดยไม่ได้เก็บมาใส่ใจแต่บางทีฉันคงจะหักโหมอยู่ตลอดจริงๆ

 

ฉันไม่มีเวลาพัก, แต่ดูเหมือนว่าฉันควรจะต้องหาเวลาพักบ้างแล้วสินะ

 

ถ้าสถานการณ์ยังคงบิดเบี้ยวแบบนี้ต่อไป, ฉันอาจจะสูญเสียฟีเน่ไปก็ได้

 

“ฟีเน่....เจ้าเป็นคนสำคัญนะ”

 

ในขณะที่พูด, ฉันก็ถอดหน้ากากเงินออก

 

คนที่ฉันสามารถถอดหน้ากากต่อหน้าได้มีแค่เซบาสกับฟีเน่เท่านั้น

 

เนื่องจากเซบาสรู้มาตั้งแต่แรกแล้วดังนั้นคนๆเดียวที่บังเอิญรู้ตัวตนของฉันจึงมีแค่ฟีเน่

 

“ท่านอัล......”

 

“คนที่ข้าสามารถแสดงทั้งสองตัวตนให้ดูได้แบบนี้มีแค่เซบาสกับเจ้าเท่านั้น เซบาสเป็นคนคอยดูแลข้า, เขาเหมือนกับพ่อของข้า เพราะฉะนั้น...คนๆแรกที่ข้าสามารถแสดงตัวตนแบบนี้ให้ดูได้ก็คือเจ้า ในตอนที่เจ้ารู้ความลับของข้า, เจ้าก็ไม่ใช่แค่คนอื่นสำหรับข้าแล้ว ถ้าลีโอเป็นน้องชายเพียงคนเดียวของข้า, เจ้าก็คือหุ้นส่วนเพียงคนเดียวข้องข้า ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงเรื่องนั้นได้ ขอแค่เจ้าอยู่ข้างๆข้าก็พอแล้ว การมีคนที่สามารถแบ่งปันความลับได้แบบนี้, เจ้ารู้ไหมว่ามันช่วยให้ข้ารู้สึกโล่งใจขึ้นขนาดไหน.....”

 

ใช่ มันรู้สึกโล่งใจขึ้นจริงๆ

 

ฉันอาจจะประคบประหงมเธอเกินไปก็ได้

 

แต่พอตระหนักถึงจุดนี้มันก็ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกผิดมากขึ้น

 

“ข, ข้า......ข้าไม่ใช่คนที่พิเศษอะไรขนาดนั้นหรอกค่ะ.....ข้าไม่ได้เก่งเหมือนท่านอัลหรือท่านลีโอ.....ต, แต่ในเมื่อข้ารู้ความลับของท่านอัลแล้ว.....ข้าก็ต้องทำตัวให้เป็นประโยชน์กับท่านค่ะ......”

 

“อา, ช่วยได้ตลอดเลยหล่ะ ขอบใจนะ แล้วก็ขอโทษด้วย, ข้าควรจะบอกเรื่องนี้ให้เร็วกว่านี้”

 

สิ่งที่ฉันต้องการก็คือความสุขในฐานะมนุษย์

 

แต่ถึงอย่างนั้น, ฉันก็ไม่ได้บอกเรื่องนั้นกับฟีเน่ เพราะขืนพูดไปฟีเน่ก็คงจะกังวลหนักกว่าเดิมอีก แค่ความจริงที่ว่าเธอรู้ความลับของฉันก็กดดันฟีเน่มากเกินพอแล้ว

 

แค่เท่านี้เธอก็ให้ความสำคัญกับตัวเองน้อยลงจนไม่รู้จะน้อยยังไงแล้ว  สำหรับเธอผลประโยชน์ของขุมอำนาจของพวกเราคือความสำคัญอันดับหนึ่ง

 

เธอคงคิดว่ามันจะทำให้ฉันมีความสุขแน่ๆ

 

ถึงจะเป็นเรื่องของตัวเองก็เถอะ, แต่นี่มันน่าสมเพชชะมัด ฉันเกลียดนิสัยส่วนนี้ของตัวเองจริงๆ

 

พอได้ฟังคำพูดของฉัน, น้ำตาก็หลั่งไหลออกมาจากดวงตาของฟีเน่ มันไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น, ฟีเน่เอาสองมือปิดหน้าเอาไว้แล้วเริ่มร้องไห้ออกมาจริงจัง

 

ฟีเน่ยังเป็นแค่เด็กสาวอายุ 16 ต่อให้มันเป็นความตั้งใจของเธอเอง, แต่ฉันก็ยังพาเธอออกมาจากบ้านแล้วลากเธอให้มาข้องเกี่ยวกับสงครามผู้สืบทอดที่ผู้คนไม่ลังเลที่จะฆ่ากันเอง

 

ฉันมีหน้าที่ที่จะต้องดูแลสภาพจิตใจของเธอ

 

“ยกโทษให้ข้าด้วยนะ ที่ไม่ได้นึกถึงใจเจ้าบ้างเลย”

 

“ฮือ, ฮือ! มะ....มันไม่ใช่แบบนั้นหรอกค่ะ....มะ มัน...ไม่ใช่ความผิด.....ของท่านอัลซักหน่อย....”

 

“ถ้างั้นก็ถือเป็นความผิดของเราทั้งคู่แล้วกัน มาพยายามเรียนรู้ไปด้วยกันเถอะ”

 

พอพูดจบ, ฉันก็ลูบผมของฟีเน่อย่างอ่อนโยน

 

ฟีเน่เป็นหุ้นส่วนเพียงคนเดียวของฉัน

 

พวกเราควรจะเรียนรู้ความผิดพลาดและมีความสุขไปด้วยกัน

 

ฉันลูบผมของเธอไปเรื่อยๆจนเธอใจเย็นลง

 

จากนั้น

 

“....ต...ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วค่ะ....”

 

“งั้นหรอ?”

 

“ค่ะ....ข้าโอเคดีแล้ว”

 

พอพูดจบ, ฟีเน่ก็มองตรงมาที่ฉันด้วยดวงตาที่แดงก่ำ

 

สายตาของเธอทั้งแข็งแกร่งและบริสุทธิ์ ฉันรู้สึกได้ถึงความตั้งใจที่ไม่สั่นคลอนจากมัน

 

“บอกข้ามาเถอะค่ะ....เกิดอะไรขึ้นทางใต้หรอคะ ข้าจะช่วยท่านเอง”

 

“อา, รบกวนหน่อยนะ”

 

พอพูดจบ, ฉันก็เริ่มอธิบายสถานการณ์ทางใต้กับเธอโดยไม่ปกปิดอะไรไว้เลย

 

ความจริงที่ว่ามังกรทะเลจะเคลื่อนไหวในเร็วๆนี้ ความจริงที่ว่ามีคนในจักรวรรดิพยายามจะหาผลประโยชน์จากสถานการณ์นี้ และความจริงที่ว่าต้องหยุดพวกเขาให้ได้

 

“ก็ประมาณนี้แหล่ะ มีแค่คนเดียวที่วางแผนจะเคลื่อนไหวกองทัพเพื่อแซกแทรงสถานการ์ณทางใต้ ถ้าเขาล้มเหลวก็คงไม่เป็นอะไรหรอกแต่พวกทหารที่ต้องเสียสละในระหว่างนั้นคงจะน่าสงสารแย่ ข้าคิดว่าการเคลื่อนไหวที่ดีที่สุดจากฝั่งนี้ก็คือลดสเกลการแทรกแซงของจักรวรรดิให้น้อยลงที่สุดและเอาชนะมังกรทะเลให้ได้ด้วยตัวพวกเราเอง”

 

“ค่ะ, ข้าก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แล้วก็...ข้ามีแผนอยู่....มีวิธีนึงที่จะลดการแทรกแซงของจักรวรรดิให้น้อยที่สุดและช่วยเหลือทางใต้ค่ะ”

 

“บังเอิญจังเลยนะ ข้าเองก็มีแผนเหมือนกัน ปัญหาก็คือว่าพวกเราจะโน้มน้าวคนที่เป็นกุญแจสำคัญได้รึเปล่า แต่ว่าข้าไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองได้ ขอฝากเจ้าทำได้ไหม?”

 

“ไว้ใจได้เลยค่ะ ข้าจะลองโน้มน้าวให้เอง”

 

ด้วยการตอบรับคำขอของฉัน, ฟีเน่ก็เผยรอยยิ้มที่อ่อนโยนออกมาและโค้งคำนับอย่างสง่างาม

 

รีวิวผู้อ่าน