px

เรื่อง : การต่อสู้ชิงบัลลังก์ในเงามืดของเจ้าชายไร้ค่าสุดแกร่ง (Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi )
ตอนที่ 49: ความเป็นห่วงของเพื่อนสมัยเด็ก


 

ซวยแล้วไง, ซวยสุดๆ ก่อนที่คำพูดพวกนี้จะผุดขึ้นมาเต็มหัวฉัน, ฉันก็บอกตัวเองให้ใจเย็นลง

 

ใจเย็นๆนะ ตราบใดที่เราใจเย็นมันก็จะผ่านพ้นไปได้

 

 

ในขณะที่ฉันบอกตัวเองให้ค่อยๆใจเย็นลง, ฉันก็สามารถเรียกสติกลับมาได้ในระดับนึง

 

ตอนนี้ฉันคือซิลเวอร์ ไม่ใช่อาร์โนลด์

 

เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องแก้ตัว

 

ไม่แก้ตัวมันจะดีกว่า, ถึงยังไงซิลเวอร์ก็ไม่มีอะไรต้องปกปิดอยู่แล้ว

 

“เจ้าอยากรู้หรอ?”

 

“มันก็แน่อยู่แล้วไม่ใช่รึไง!? เจ้าไปได้ยินเรื่องนั้นมาจากไหน!?”

 

“ข้าไม่มีหน้าที่หรือเหตุผลอะไรที่ต้องบอกเจ้านี่”

 

ในขณะที่พยายามทำตัวไม่สนโลกกับเธอ, ฉันก็เตือนตัวเองให้ทำตัวเหมือนซิลเวอร์ เอลน่าในโหมดต่อสู้นั้นอันตราย แม้กระทั่งจุดผิดพลาดเล็กๆเธอก็สังเกตได้ มันคงจะจบสิ้นแน่ถ้าเธอรู้สึกว่าฉันทำอะไรบางอย่างที่ดูผิดธรรมชาติ

 

ด้วยนิสัยส่วนตัวของเอลน่านั้น, ตอนนี้ฉันยังให้เธอรู้ไม่ได้ว่าฉันคือซิลเวอร์

 

“เจ้าว่ายังไงนะ!?”

 

“นี่, เห็นไหมว่ามันเริ่มเคลื่อนไหวอีกแล้ว? เรื่องนี้เอาไว้แค่นี้ก่อนได้ไหม?”

 

“หนอย! หลังจากนี้เรามีเรื่องสำคัญต้องคุยกันนะ!”

 

“นั่นมันก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของข้าในตอนนั้นนะ”

 

ด้วยความที่หลีกเลี่ยงวิกฤตินี้ไปได้แล้ว, ฉันก็กลับมาทุ่มสมาธิให้กับลิเวียธาน

 

ฉันลงไปที่ทะเลแทนเอลน่าแล้วยืนอยู่เบื้องหน้าลิเวียธานที่กำลังโผล่ขึ้นมา

 

ฉันถอนหายใจออกมาเล็กน้อยแล้วใช้มือขวาจับตรงหัวใจที่กำลังเต้นรัวของฉัน

 

ด้วยการควบคุมลมหายใจ, ฉันก็สามารถสงบสติอารมณ์ลงได้

 

จริงๆเลย, ไม่น่าเชื่อเลยว่าการเกือบถูกเธอรู้ความจริงมันน่ากลัวกว่าการต่อสู้กับมังกรซะอีก สมกับที่เป็นเพื่อนสมัยเด็กที่แข็งแกร่งที่สุดของฉัน

 

เอาเถอะ, มันเป็นเพราะฉันไม่ระวังเองหล่ะ

 

หลังจากนี้คงไม่เป็นไรแล้ว ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่เพื่อตอบคำถามของเธอซักหน่อย, ฉันแค่ใช้เวทย์เคลื่อนย้ายหนีไปหรือสร้างอะไรบางอย่างขึ้นมาก็ได้เหมือนกัน

 

ด้วยความที่วิกฤติส่วนตัวผ่านพ้นไปแล้ว, สิ่งที่เหลือก็คือการจัดการกับมังกรทะเลที่อยู่ตรงหน้า

 

[หนอยย....นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้รับบาดเจ็บหนักขนาดนี้....แถมยังเป็นฝีมือของมนุษย์อีก]

 

“ก็บอกแล้วไงว่าอย่าดูถูกมนุษย์”

 

[เข้าเข้าใจตั้งแต่การโจมตีนั้นแล้ว เด็กสาวคนนั้น, เธอเป็นลูกหลานของคนที่จัดการราชาปีศาจสินะ? นึกไม่ถึงเลยว่าเธอสามารถใช้ดาบที่น่ารังเกียจนั่นได้ด้วย........]

 

“แล้วจะเอายังไงต่อ? เจ้าอยากยอมแพ้เลยไหม?”

 

[อย่าทำให้ข้าหัวเราะไปหน่อยเลยหน่า.....ไม่มีมังกรตัวไหนหนีจากมนุษย์หรอก!!]

 

พอพูดจบ, ลิเวียธานก็อ้าปากแล้วคำราม

 

มังกรคำราม มันคือสิ่งที่ทำให้สิ่งมีชีวิตหวาดกลัวได้ มันคือสิ่งที่สามารถทำลายขวัญกำลังใจของศัตรูได้

 

คนที่จิตอ่อนจะสลบ อันที่จริง, กองเรือที่อยู่รอบลิเวียธานเองก็กำลังตกอยู่ในความตื่นตระหนก

 

ปล่อยไว้แบบนี้ก็คงไม่ดีสินะ ฉันอยากให้พวกเขารีบอพยพไปเร็วๆแต่ยังมีเรืออีกหลายลำที่ยังอยู่ในพื้นที่นี้

 

[ข้าจะให้เจ้าชดใช้ที่มาทำให้ร่างกายของข้าได้รับบาดเจ็บแบบนี้!]

 

“เป็นการตัดสินที่ดูเห็นแก่ตัวจังเลยนะ สมกับที่เป็นมังกรจริงๆ”

 

พอพูดจบ, ฉันก็ค่อยๆลอยขึ้นไปบนฟ้า

 

ฉันจำเป็นต้องซื้อเวลาให้มากกว่านี้

 

“ผู้กล้าหญิง ฟังข้าให้ดีๆ”

 

“อะไรนะ.....?”

 

“ทำไมเจ้าถึงทิ้งระยะไปไกลขนาดนั้น?”

 

“เจ้าอาจจะจับข้าโยนลงไปในทะเลก็ได้นี่.......!”

 

เหมือนกับแมวที่กำลังระวังตัวอยู่, เอลน่าตัวสั่นในขณะที่เพิ่มระยะห่างระหว่างพวกเรา

 

นี่มันเรื่องจริงจังเธอจะมาทำตัวเหมือนแมวกลัวการอาบน้ำแบบนี้ไม่ได้นะ

 

จริงๆเลย

 

“ไม่ทำหรอกหน่า, ถึงยังไงข้าก็ไม่มั่นใจอยู่แล้วว่าจะจัดการกับมังกรทะเลและผู้กล้าพร้อมกันได้”

 

“เจ้าว่ายังไงนะ!”

 

ในขณะที่เธอกำลังพูดกับฉันนั้น, เอลน่าไม่ได้ลดการป้องกันที่มีต่อลิเวียธานลงเลย

 

ลิเวียธานอ้าปากแล้วปล่อยปราณวารีของมันออกมา

 

ในขณะที่ปล่อยเวทย์ป้องกันเพื่อชะลอมัน, พวกเราก็หนีออกจากตำแหน่งนั้น

 

ปราณวารีของลิเวียธานทะยานขึ้นไปบนฟ้าและทะลวงผ่านเมฆ ถ้ามันโจมตีโดนพวกเราโดยตรง, พวกเราก็คงจะไม่เหลือซากแน่ๆ

 

ถ้าสิ่งนี้พุ่งเข้าใส่เขตที่อยู่อาศัยหล่ะก็ทุกอย่างคงจะจบสิ้น

 

“เจ้ามีแผนใช่ไหม!?”

 

“ช่วยผ่ามันอีกซักรอบได้รึเปล่า?”

 

“ไม่ไหวหรอก มันระวังข้าแล้ว ข้าไม่สามารถใช้การเคลื่อนไหวแบบเดิมซ้ำสองได้ ถ้ามันไม่ได้อยู่ในทะเลข้าก็คงพอจะทำอะไรได้บ้างอยู่หรอก......”

 

เอลน่าเรียกแรงฮึดกลับมาได้บ้างแล้วแต่ในตอนที่เธอหันไปมองทะเลมันก็หดหายไปและไหล่ของเธอก็ตกลงในทันที

 

ในขณะนั้นเอง, ลิเวียธานก็ปล่อยกระสุนน้ำจำนวนมหาศาลใส่พวกเรา ในขณะที่ป้องกันพวกมันอยู่, ฉันก็พูดกับเอลน่า

 

“งั้นก็แสดงว่าถ้ามันไม่ได้อยู่ในทะเลเจ้าก็จะสามารถจัดการได้ใช่ไหม?”

 

“นี่เจ้าคิดจะทำอะไร?”

 

“แยกทะเล”

 

“หา!?”

 

เอลน่าพูดโพล่งออกมาด้วยความไม่เชื่อแต่ก็นะ, ฉันตั้งใจจะทำแบบนั้นจริงๆ

 

ฉันคิดว่าจะจับมันเอาไว้ด้วยบาเรียแล้วลากมันขึ้นไปบนฟ้าอยู่หรอก แต่มันคงจะเป็นปัญหาเอาได้ถ้าฉันต้องหนีจากมัน

 

“ข้าจะแยกทะเลส่วนนึงด้วยบาเรีย ถ้าข้าทำแบบนั้นได้เจ้าก็จะสู้กับมันได้โดยไม่มีปัญหาอะไรอีกใช่ไหม?”

 

“นี่เจ้าวางแผนจะสร้างพื้นที่ว่างที่กลางทะเลอย่างงั้นหรอ?”

 

“ก็อะไรประมาณนั้น”

 

“แล้วถ้าบาเรียพังลงมาหล่ะ?”

 

“น้ำทะเลก็จะซัดใส่เจ้า”

 

ด้วยคำตอบที่ชัดเจน, สีหน้าของเอลน่าก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัวในทันที

 

เธอเผลอนึกภาพมันออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจสินะ

 

“ไม่มีทางซะหรอก! เจ้าอาจจะทำลายบาเรียทิ้งหลังจากที่การต่อสู้จบลงแล้วก็ได้!”

 

“ข้าไม่คิดจะทำเรื่องที่ส่งผลให้จักรวรรดิกลายมาเป็นศัตรูหรอกหน่า ยิ่งไปกว่านั้น, ข้าคิดว่าอัศวินหลวงอย่างเจ้าน่าจะเข้าใจดีไม่ใช่หรอว่านี่มันไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องเห็นแก่ตัวแบบนี้?”

 

“อึก....นั่นมัน.....”

 

“ข้าเผด็จศึกมันไม่ได้ มันจะพยายามขัดขวางข้าในตอนที่ข้าพยายามร่ายเวทย์ ถ้าพวกเรายิ่งใช้เวลานานเท่าไหร่ก็ยิ่งมีเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายเพิ่มขึ้นเท่านั้น ข้าคิดว่าแผนนี้มันมีประโยชน์กับพวกเราทั้งสองฝ่ายไม่ใช่รึไง?”

 

“....นี่เจ้ากำลังขอให้ข้าเชื่อใจเจ้าหรอ?”

 

“ใช่แล้ว จงเชื่อใจข้าซะ”

 

“จะให้ข้าเชื่อใจคนที่ไม่แม้แต่จะแสดงใบหน้าที่แท้จริงของตัวเองเนี่ยนะ......”

 

เอลน่าจ้องฉันอย่างเจ็บแสบ

 

หยุดทำแบบนั้นเถอะ มันเป็นความผิดของฉันเอง

 

ฉันก็ไม่อยากส่งผู้หญิงที่เป็นโรคกลัวน้ำไปอยู่กลางทะเลหรอกแต่มันไม่มีวิธีเอาชนะมังกรที่ง่ายไปกว่านี้แล้ว

 

เอลน่าที่เงียบไปซักพักเปิดปากพูดออกมา

 

“—บอกข้ามาซิ ใครเป็นคนที่บอกเจ้าเรื่องที่ข้ากลัวน้ำ?”

 

“....เขาบอกให้ฉันเก็บเอาไว้เป็นความลับ”

 

“พูดมาเถอะหน่า!”

 

“เห้อ....เจ้าชายอาร์โนลด์เป็นคนบอก ข้าแลกเปลี่ยนข้อมูลกับเขาที่รอนดิเน่ นั่นคือตอนที่เขาบอกข้า”

 

“อัลหรอ? เขาบอกเจ้าแบบนั้นใช่ไหม? ข้าขอพูดเอาไว้ก่อนเลยนะว่า, อัลไม่ใช่คนที่จะไว้ใจคนอื่นง่ายๆหรอก เขาจะไม่มีวันบอกข้อมูลที่สำคัญออกไปเว้นเสียแต่ว่าเขาไว้ใจคนๆนั้นจริงๆ เจ้าคงรู้ใช่ไหมถ้าเจ้าโกหกข้า, ข้าจะไม่มีวันยกโทษให้เจ้าแน่?!”

 

เป็นข้อแก้ตัวที่เจ็บปวดจังเลยนะ

 

เอาเถอะ, มันก็ไม่ใช่ความผิดของเธอหรอก

 

“ข้าไม่ได้โกหก ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะเชื่อเนี่ย?”

 

“....อัลพูดว่ายังไงบ้าง? ในตอนที่เขาบอกเจ้าเกี่ยวกับจุดอ่อนของข้า”

 

ฉันเงียบไปพักนึง

 

สิ่งที่ฉันจะพูดในตอนที่บอกคนอื่นเกี่ยวกับจุดอ่อนของเอลน่าหรอ?

 

ต้องมีเหตุผลแบบไหนฉันถึงจะยอมเปิดเผยจุดอ่อนของเธอให้คนอื่นนะ?

 

ในตอนที่คิดเรื่องพวกนี้, คำพูดก็พลั่งพลูออกมาจากปากของฉันอย่างกระทันหัน

 

“เธอเป็นเพื่อนสมัยเด็กที่น่ารำคาญแต่ช่วยดูแลเธอแทนข้าด้วย, เขาพูดประมาณนี้แหล่ะ บางทีเขาอาจจะห่วงเรื่องโรคกลัวน้ำของเจ้าในแบบของเขาก็ได้”

 

!?”

 

หลังจากนั้นไม่นาน, เอลน่าก็ละสายตาออกไปในขณะที่ใบหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง

 

จากนั้น

 

“ขี้เป็นห่วงจังเลยนะ....ให้ตายเถอะ....ตาโง่อัล.....”

 

หลังจากที่พูดจบ, เอลน่าก็ถอนหายใจแล้วเริ่มลดความสูงลงมา

 

“แสดงว่าเจ้ายอมทำตามแผนของข้าแล้วสินะ?”

 

“ใช่, แต่ข้ายังไม่ไว้ใจเจ้า ที่ข้ายอมเอาด้วยก็แค่เพราะอัลไว้ใจเจ้า ถ้าอัลประเมินแล้วว่าเขาสามารถบอกจุดอ่อนของข้ากับเจ้าได้ก็แสดงว่า......ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าข้าไม่ชอบใจแต่เพราะเห็นแก่อัลข้าจะยอมยกโทษให้เจ้าซักครั้งนึงก็ได้”

 

พอพูดจบ, เอลน่าก็ค่อยๆลดระดับลงไปหาลิเวียธาน

 

ต่อให้มันไม่ได้โผล่มาเต็มตัว, มันก็ยังใหญ่อยู่ดี แม้ว่าเธอจะเข้ามาถึงตรงศรีษะของมันแล้ว, มันก็ยังพอมีระยะห่างระหว่างเธอกับทะเล อย่างไรก็ตาม, สำหรับเอลน่า, นี่มันต้องดูเหมือนกับดินแดนแห่งความตายแน่ๆ

 

ถ้างั้นพวกเรามาเริ่มกันเลยดีไหม?”

 

ฉันสร้างบาเรียสี่เหลี่ยมโดยมีลิเวียธานกับเอลน่าเป็นศูนย์กลางและขยายมันออกอย่างมั่นคง

 

ทะเลกำลังถูกบาเรียผลักออกในขณะที่เรือที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงเองก็ถูกย้ายออกไปจากพื้นที่

 

ในตอนที่บาเรียขยายไปถึงก้นทะเลแล้ว, พื้นมหาสมุทรก็เผยออกมาอย่างชัดเจน

 

[เหอะ! สร้างบาเรียขึ้นมาเพื่อดวลตัวต่อตัวกับเข้า, พวกเจ้านี่ใจกล้าไม่เบานะ นี่เจ้ามั่นในตัวเองขนาดนั้นเลยหรอ, สาวน้อย?]

 

“ไม่มั่นใจหรอก....แต่ข้าพูดได้เลยว่า นี่มันคือสถานที่ที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่เท้าของข้าเคยเหยียบมาแล้ว.......”

 

มันไม่ใช่ว่าฉันไม่เข้าใจในสิ่งที่เอลน่าพูด

 

ถึงแม้ว่าน้ำจะทะลุผ่านบาเรียไม่ได้, แต่เธอก็ยังถูกน้ำล้อมรอบจากทุกด้าน

 

จากมุมมองของเอลน่านั้น, มันก็คงไม่ต่างอะไรจากนรกหล่ะนะ

 

อย่างไรก็ตาม, เอลน่ายังจับดาบศักดิ์สิทธิ์ของเธออยู่

 

“แต่ไม่ว่ายังไง....ข้าก็จะสู้! ข้ายอมให้เพื่อนสมัยเด็กของข้าต้องเป็นห่วงมากกว่านี้อีกไม่ได้แล้ว!”

 

พอพูดจบ, เอลน่าก็ใส่พลังเวทย์เข้าไปในดาบศักดิ์สิทธิ์

 

จากนั้นดาบศักดิ์สิทธิ์ก็เปลี่ยนพลังเวทย์เป็นอนุภาคศักดิ์สิทธิ์ที่เปล่งประกายในขณะที่มันค่อยๆสว่างขึ้นเรื่อยๆ

 

[หืม!? นี่มัน!?]

 

“ดาบศักดิ์สิทธิ์แห่งดวงดาวเอ๋ย.....จงสำแดงพลังออกมา....จงกำจัดศัตรูที่อยู่ตรงหน้าข้าให้พินาศ!!”

 

ในตอนที่เธอพูดออกมาแบบนั้น, แสงก็ปกคลุมทั้งใบดาบของดาบศักดิ์สิทธิ์

 

แสงจำนวนมหาศาลได้มารวมกันที่คมดาบของดาบศักดิ์สิทธ์ ทำให้คมดาบสว่างจ้าเหมือนกับดวงอาทิตย์

 

ด้วยดาบในมือของเธอ, เอลน่าก็พุ่งตรงไปหาลิเวียธาน

 

[อย่ามาดูถูกข้านะ!!]

 

ลิเวียธานพยายามจะสกัดกั้นเธอด้วยปราณวารีของมัน

 

ปราณวารีที่สามารถทะลวงทุกอย่างได้พุ่งเข้าใส่เอลน่าแต่เธอก็แค่รับมันเอาไว้ด้วยดาบศักดิ์สิทธิ์ของเธอแล้วลุยเข้าไปต่อ

 

[อะไรกัน!?]

 

“ย้ากกก!!”

 

ดาบศักดิ์สิทธิ์ฉีกทะลวงได้แม้กระทั่งปราณวารีของลิเวียธาน

 

จากนั้น, เอลน่าก็เร่งความเร็ว

 

“ผ่าแสงสวรรค์!!”

 

การเคลื่อนไหวที่ฆ่าได้แน่นอนของเอลน่าผ่าลิเวียธานที่ตัวยาวกว่า 50 เมตรเป็นสองส่วน

 

อย่างไรก็ตาม, นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด

 

มันผ่าบาเรียที่ฉันสร้างเอาไว้ได้อย่างง่ายดายด้วย

 

“ชิ!”

 

ในตอนที่น้ำเริ่มไหลทะลักเข้ามาในบาเรีย, ฉันก็ลงไปรับตัวเอลน่าออกมาจากที่นั่น

 

“เหวอ!? ปล่อยข้านะ!”

 

“ขนาดกำลังตื่นตกใจจากน้ำที่อยู่ตรงหน้าก็ยังพูดเรื่องที่น่าสนใจออกมาได้นะ หัดขอบคุณซะบ้างไม่เป็นรึไง?”

 

“การช่วยข้าออกจากสถานการณ์แบบนี้มันเป็นหน้าที่ของเจ้านี่! อย่ามาทำเหมือนกับว่าข้าเป็นหนี้บุญคุณเจ้านะ! แล้วเจ้าก็ไม่ควรสร้างบาเรียที่เปราะบางแบบนั้นมาตั้งแต่แรกแล้วด้วย”

 

ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าในทวีปนี้จะมีซักกี่คนที่พูดออกมาได้อย่างมั่นใจว่าบาเรียของฉันเปราะบาง อย่างน้อยที่สุด, นี่ก็เป็นคนแรกที่มีคนมาพูดกับฉันแบบนี้

 

ฉันเกือบจะเถียงเธอกลับไปด้วยน้ำเสียงปกติ, แต่ฉันก็สามารถอดกลั้นเอาไว้ได้

 

ยิ่งไปกว่านั้น, นี่มันยังไม่จบดี

 

“ขอโทษที่มันเปราะเกินไปก็แล้วกันนะ แล้วก็ขอบคุณผลจากการทำลายของเจ้าข้าก็เลยต้องมาเหนื่อยเพิ่ม”

 

พอพูดจบ, ฉันก็ปิดรูที่เกิดขึ้น จากนั้นก็สร้างแนวกั้นทะเลแล้วเปิดรูเล็กๆข้างในเพื่อระบายน้ำออก

 

เอลน่าจ้องมาที่ฉันอย่างสงสัย

 

“นี่เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?”

 

“ศพของมังกรสามารถขายได้ในราคาสูง ยิ่งไปกว่านั้น, มันคือมังกรที่ถูกกำหนดเอาไว้ที่คลาส S เงินจากเจ้าตัวนี้น่าจะมากพอที่จะซ่อมแซมเมืองนี้ได้”

 

“อุ๊ย? ข้านึกว่าเจ้าจะเก็บเงินไว้ใช้เองเพราะเจ้าเอาชนะมันได้นะเนี่ย, ดูเหมือนว่าข้าจะคิดผิดสินะ”

 

“ปกติแล้ว, ศพของมอนส์เตอร์จะเป็นของคนที่เอาชนะมันได้แต่ครั้งนี้มันกรณีพิเศษ มันควรเอาไปใช้สำหรับซ่อมแซมเมืองที่ประสบภัยมากกว่า”

 

“อืมม.....ดูเหมือนภาพลักษณ์ของเจ้าในมุมมองของข้าจะดีขึ้นมานิดนึงนะ เจ้าเองก็คิดเรื่องแบบนั้นเป็นเหมือนกันนะเนี่ย”

 

“ข้าไม่เหมือนกับผู้กล้าบางคนที่รู้จักแค่วิธีเหวี่ยงดาบหรอก”

 

“ว่าไงนะ!?”

 

ไหล่ของเอลน่าสั่นด้วยความโกรธ

 

ในขณะนั้นเอง, ฉันก็ค่อยๆยกศพของลิเวียธานไปไว้ที่ซากท่าเรืออย่างนุ่มนวล

 

หลังจากนี้ถ้าฉันให้เอลน่าอธิบายความตั้งใจของฉันกับพวกเขาก็คงไม่เป็นไรแล้วหล่ะ

 

ตอนนี้, ฉันว่าคงถึงเวลากลับแล้วสินะ

 

“เอาหล่ะ, ถ้างั้นข้าขอตัวก่อนนะ”

 

“หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะ! เจ้ามีความสัมพันธ์ยังไงกับอัล!?”

 

“ความสัมพันธ์ยังไงหรอ?.... พวกเราก็เป็นแค่ผู้สมรู้ร่วมคิดกัน พวกเราช่วยกันวางแผนแล้วก็เคลื่อนไหว นอกเหนือจากนี้, เจ้าต้องไปถามเขาด้วยตัวเอง ส่วนเขาจะยอมตอบรึเปล่านั้นมันก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วหล่ะ”

 

พอพูดจบ, ฉันก็บินไปทางปราสาทอัลบราโทรซึ่งอยู่ห่างออกไป

 

ฉันแค่นึกขึ้นมาได้ว่าฉันไม่สามารถกลับไปโดยทิ้งท่านพี่เทราเอาไว้ที่นั่นเพียงลำพังได้......

 

“ค, คุณเอวา....คุณช่วยมาเป็นแบบคนใหม่ของข้าให้หน่อยได้ไหมครับ!? และถ้าเป็นไปได้ช่วยปฏิบัติกับข้าเหมือนเป็นพี่ชายแล้วเรียกข้าว่าท่านพี่ทีนะครับ, ถ้าท่านยอมทำแบบนั้นผลงานของข้าจะต้องพัฒนาขึ้นอย่างแน่นอน......!”

 

“อ...เอ่อ, คือว่า.....”

 

ช่างมันเถอะ, กลับเลยดีกว่า

 

ฉันยกเลิกความคิดที่จะพาท่านพี่เทรากลับแล้วเคลื่อนย้ายกลับไปที่ห้องของฉันในรอนดิเน่

 

ด้วยการเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว, ฉันก็ร่ายเวทย์ลวงตาใส่ชุดของซิลเวอร์แล้วเก็บใส่กระเป๋าสัมภาระของฉัน

 

หลังจากทำลายร่องรอยที่เชื่อมโยงฉันไปหาซิลเวอร์จนหมดแล้ว, ฉันก็ทิ้งตัวลงบนเตียง

 

“เห้อออ....ครั้งนี้เหนื่อยชะมัด....”

 

ฉันผลอยหลับไปในขณะที่พึมพำออกมาแบบนั้น

 

ฉันคิดว่าฉันลืมเรื่องสำคัญบางอย่างไปแต่ฉันไม่มีกำลังหรือเรี่ยวแรงมากพอที่จะคิดอะไรอีกแล้ว

 

รีวิวผู้อ่าน