px

เรื่อง : แม่สาวชาวสวน **(จบแล้ว)**
ตอนที่ 3: อย่าได้กล่าวโทษ หากข้าหยาบคาย


ตอนที่ 3: อย่าได้กล่าวโทษ หากข้าหยาบคาย

 

อาฟางเหลือบมองไปที่ฟางฮั่นที่หลับลึกอยู่บนเตียงอิฐพร้อมกับกระทืบเท้าอย่างอึดอัดใจ “เด็กพวกนี้อดทนมามากพอแล้ว ข้าจะไปตามตาง่อยหลีฉือ ! ”

 

หลีฉือเป็นหมออาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ เขาเคยเป็นเด็กฝึกงานในร้านขายยามาก่อน แต่ต่อมาเขาถูกขับไล่ออกจากร้านเพียงเพราะความเมา จากนั้นเขาจึงเดินทางกลับมาที่หมู่บ้านเพื่อเป็นหมอประจำหมู่บ้าน ชาวบ้านในหมู่บ้านฟางเจียนั้นไม่มีเงินมากนัก ด้วยอาการเพียงปวดหัว ตัวร้อนหรือตัวเย็น การเดินทางเข้าสู่เมืองนั้นเป็นเรื่องที่เกินความจำเป็นและมันยากลำบาก เช่นนี้พวกเขามักจะเดินไปหาหลีฉือเพื่อรับยาอะไรบางอย่างมากินไปก่อน

 

หลีฉือเป็นคนพิการ เขามักจะปรากฏตัวในหมู่บ้านเป็นครั้งเป็นคราว หลายปีที่ผ่านมาเขามีการรักษาคนไข้ที่ค่อนข้างดีสำหรับคนที่ปวดหัวหรือมีอาการเล็กน้อยทั่วไป

 

น้าหกรีบจับแขนของฟางฉางชิ่งเอาไว้อย่างเร่งรีบ “หลีฉือคนพิการนั่นน่ะเหรอ ตอนนี้เขาควรจะอยู่ทางใต้ของหมู่บ้าน พายุหิมะรุนแรงเช่นนี้ เขาจะต้องอยู่แต่ในบ้านอย่างแน่นอน... ไม่มีทางที่เขาจะไม่อยู่ ท่านต้องไปที่นั่นก่อนและรีบเอายากลับมาให้เด็ก”

 

อาฟางพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เขาเดินกลับเข้าไปในบ้านพร้อมกับหยิบถุงเงินหลังตู้กับข้าวอย่างขะมักเขม้น ในถุงใบนั้นมีเงินเหลืออยู่หลายสิบ ลมหายใจยาวถูกพ่นออกมาอย่างเหน็ดเหนื่อย เขาหยิบและวางมันไว้ที่เดิม สายตามองทอดออกไปด้านนอกที่เต็มไปด้วยพายุหิมะและมองหน้าของหลานสาวอีกครั้งด้วยความเจ็บปวด

 

ส่วนน้าฟางนั้นเริ่มชักชวนให้ฟางฉือและฟางหมิงหวยกินข้าวต้มตรงหน้า ในทางกลับกันฟางหรูหยิบหม้อและเดินออกไปตักหิมะด้านนอก

 

ภายใต้เปลวไฟร้อนแรง หิมะละลายอย่างรวดเร็วกลายเป็นน้ำอุ่น น้าฟางหยิบเอาผ้าลินินจุ่มลงในน้ำแล้วกางมันลงที่ศีรษะของฟางฮั่น

 

อาฟางกลับมาถึงบ้านอย่างรวดเร็วพร้อมกับมีห่อยาสองถึงสามห่อที่อยู่ในอ้อมกอด เขาไม่ได้พูดอะไรมากนักเพียงแค่บอกให้น้าฟางก่อไฟและต้มยา เขากำชับอย่างเข้มงวดว่าห้ามใช้ไฟแรงเด็ดขาด

 

ตอนนี้ฟางฮั่นยังคงหลับใหลอยู่บนเตียงอิฐ ทั้งสองสามีภรรยามองหน้ากันอย่างจนใจ

 

ต่อจากนี้คงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของโชคชะตาเท่านั้น……

 

ที่เหลือคงแล้วแต่เวรกรรมของฟางฮั่นแล้ว น้าฟางหยิบช้อนเล็ก ๆ ออกมาแล้วค่อย ๆ ป้อนยาเข้าปากของนางทีละนิด กลางดึกฟางฮั่นตื่นขึ้นมาและนางจัดการกับถ้วยข้าวต้มของตนเองจนหมดเกลี้ยง จากนั้นจึงผล็อยหลับไปอีกครั้ง

 

อาฟางและน้าฟางพาฟางหมิงเหออายุ 2 ขวบและฟางหมิงหวยเข้าไปนอนในห้องด้านใน

 

ส่วนฟางหรูนอนรวมอยู่กับฟางฮั่นและฟางฉือในห้องโถงใหญ่

 

หลังจากที่ต้มยาและป้อนซุปอยู่ราว ๆ วันถึงสองวัน อาการป่วยของฟางฮั่นเริ่มดีขึ้น

 

พายุหิมะได้ผ่านพ้นไปแล้ว บรรยากาศของท้องฟ้าเริ่มกลับมาแจ่มใสเช่นเดียวกับอารมณ์ของผู้คน

 

เพื่อนบ้านของอาฟางซึ่งอยู่บ้านถัดไปเดินออกมาพูดคุยกับนางที่ลานบ้าน “วันนี้อากาศก็แจ่มใสดี อาฟาง ช่วงสองสามวันมานี้พวกเจ้าไม่ได้หนาวจนป่วยหนักกันใช่หรือไม่ ? ”

 

น้าฟางที่ได้ยินคำพูดเหล่านั้นรู้สึกไม่พอใจอย่างมากกับถ้อยคำที่หยาบคายของเพื่อนบ้าน รอยยิ้มแข็งทื่อปรากฏบนใบหน้าของนางอย่างไม่เต็มใจพร้อมตอบกลับสั้น ๆ “ซิ่งฮวา… เจ้ารู้จักวิธีการทักทายดี ๆ หรือไม่?”

 

เพื่อนบ้านซิ่งฮวาหัวเราะแห้งพร้อมกับถุยเมล็ดแตงโมข้ามรั้วมาอย่างไร้มารยาท “โอ้ ข้าเพียงแค่ห่วงใยเจ้าเท่านั้นเอง อีกอย่างข้าได้ยินมาว่าเจ้าไปเอาเศษสวะทั้งสามจากบ้านหลังนั้นมาด้วยนี่น่า อีกทั้งยังได้ข่าวว่ามีหนึ่งคนที่กำลังจะตายใช่หรือไม่ เจ้าไม่เกรงกลัวว่าจะมีคนตายในบ้านหรือ......อ๊ะ บ้าจริง ! เจ้าเป็นบ้าอะไรถึงได้เขวี้ยงสิ่งนี้มา ! ”

 

น้าฟางขว้างก้อนหิมะกลับไปอย่างไร้ความปรานีพร้อมกับตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าเก็บปากไว้กินข้าวดีกว่า ! ”

 

ใบหน้าของซิ่งฮวาเต็มไปด้วยความอับอายและโยกตัวหลบก้อนหิมะของน้าฟางไปด้วย “เฮ้ ข้าแค่จะบอกว่าพวกนั้นเป็นคนในตระกูลฟางเช่นกัน เหตุใดเจ้าจึงต้องไปใส่ใจให้มากนัก ผู้อาวุโสของพวกเขานั้นดูแลอย่างดีอยู่แล้ว เพียงแต่เด็ก ๆ ไม่ยอมรับและต่อต้านเอง ! อีกอย่างเจ้าไม่เห็นเหรอว่าเมื่อคืนต้องใช้ยามากมายขนาดไหนเพื่อรักษาสวะในบ้าน ? ข้าเห็นว่าพี่ฟางไม่ได้หลับนอนตลอดทั้งวันและคืน อีกทั้งต้องเจียดเงินไปซื้อยามาหอบใหญ่ เจ้าคิดว่าตนเองมีเงินมีทองมากมายขนาดไหน? ทำไมพี่ฟางจึงได้ตาบอดมองไม่เห็นว่าเจ้าน่ะเกียจคร้านมากเพียงใด ! เจ้าไร้ความสามารถและทำอะไรไม่ได้เลย วัน ๆ สรรหาแต่เรื่องให้ปวดหัว ล่าสุดเจ้าไปรับสวะอีก 3 คนเข้าสู่ครอบครัวแม้ว่าตนเองกำลังจะอดตายเช่นกัน ! ”

 

น้าฟางเริ่มถูกก่นด่าอย่างเจ็บแสบ

 

ร่างกายของนางสั่นเทาอย่างรุนแรงเพราะความโกรธา “ซิ่งฮวา ถ้าเจ้ายังไม่หยุดปากไร้สาระนั่น ข้าจะช่วยฉีกมันให้ถึงใบหูเอง ! ”

 

‘ป่วยหนัก’ คำนี้หมายความว่าอะไรกัน !

 

ซิ่งฮวาทำปากเยาะเย้ยอย่างสาแก่ใจพร้อมกล่าวต่อ “ข้าก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะได้ยินอะไรดี ๆ ก็กลับไปที่บ้านสิจะได้รู้ว่ามันคืออะไร ! ”

 

ซิ่งฮวายังคงสนุกกับการเผาบ้านของคนอื่น เวลานี้คำพูดของนางเปรียบได้กับน้ำมันก๊าซที่พร้อมโยนลงบนกองเพลิง แต่ก่อนที่จะได้กล่าวอะไร เสียงคำรามดังก้องมาจากด้านหลัง “เฮ้ ใครเห็นผู้หญิงที่น่ารังเกียจบ้าง อาหารเช้าพร้อมหรือยัง ! ? มัวแต่ทำบ้าอะไรอยู่ หรือว่าข้าต้องหักแขนและตัดลิ้นซะจะได้หมดเรื่อง!?”

 

ซิ่งฮวารู้สึกผิดอย่างรุนแรงเมื่อหันหลังกลับไปและเห็นว่าสามีของนางกำลังยืนอยู่ใต้ชายคา เขากอดอกพร้อมกับถกแขนเสื้อขึ้น ใบหน้าเกรี้ยวกราดเปิดเผยให้เห็นถึงอารมณ์ที่ย่ำแย่

 

“ข้าจะรีบไปเดี๋ยวนี้” ซิ่งฮวาหันหลังกลับและรีบตรงปรี่กลับไปที่ครัวของตนพร้อมกับเริ่มทำอาหารอย่างเร่งรีบ

 

น้าฟางคำนับให้กับชายคนนั้นสองสามครั้งและหันหลังกลับเข้าบ้านของตนเองด้วยเช่นกัน

 

ฟางฮั่นตื่นขึ้นมาพร้อมกับพับผ้าห่มของทุกคนเก็บเข้าที่อย่างเป็นระเบียบ

 

แม้ว่านางจะมาจากยุคสมัยใหม่ แต่นางก็เคยสัมผัสกับความอบอุ่นและความเย็นชามามากโขตั้งแต่ยังเด็ก นางเป็นเด็กที่ค่อนข้างจะรู้จักโลกทั้งในแง่ดีและแง่ร้าย นางไม่เคยดูถูกคนอื่นและหยิ่งยโสว่าตนเองเก่งมาจากไหน ตอนนี้ในความทรงจำมากมายก่อนหน้ากำลังรอให้นางย่อยสลายมันอย่างเชื่องช้า นางรู้ดีว่ามันเป็นเรื่องที่ยากลำบากสำหรับครอบครัวของอาฟางและน้าฟางอย่างมาก ปกติแล้วเพียงแค่ลำพังปากท้องของคนในครอบครัวก็เป็นไปอย่างยากเย็น แต่ตอนนี้กลับมีอีกสามชีวิตมาเพิ่ม...… นับว่าเป็นความเร้นแค้นอย่างถึงที่สุด

 

แต่ทุกสิ่งล้วนแต่เป็นความเมตตาที่แท้จริง…

 

“อ้าว หลานฮั่น ! ” น้าฟางตกใจเมื่อได้เห็นท่าทางของฟางฮั่นที่กำลังเก็บผ้าผ่อนอย่างขะมักเขม้น นางรีบเปิดประตูเข้ามาและช่วยเหลือหลานสาวอย่างเร่งรีบ

 

“น้าหก อาหก น้องหรู…... ข้าขอขอบคุณที่ช่วยดูแลข้าและน้องของข้าในวันนี้เป็นอย่างยิ่ง” ฟางฮั่นตกใจที่น้าฟางเดินเข้ามาและรีบกล่าวออกไปอย่างเร่งรีบ “วันนี้ข้าและน้องทั้งสองสร้างความลำบากให้พวกท่านแล้ว ความเมตตาในครั้งนี้พวกข้าจะไม่มีวันลืมเด็ดขาด”

 

น้าฟางรู้สึกหมดคำพูดเมื่อได้ฟังพร้อมกับถอนใจออกมาอย่างเห็นใจ ฟางหรูขยิบตาเล็กน้อยเพื่อบอกให้ฟางฮั่นมาอยู่ด้วยกันที่นี่ “หลานฮั่นเด็กดี อย่าได้ไปสนใจคำพูดมืดบอดของคนพวกนั้นเลย ซิ่งฮวามีแต่คำพูดที่สกปรกและเห็นแก่ตัว ไม่ว่าอะไรที่พวกเราพอจะทำให้เจ้าหายเจ็บไข้ได้ พวกเราย่อมยินดีที่จะทำอยู่แล้ว อย่าได้ไปสนใจคนที่ใช้ปากพูดแต่ไม่ลงมือทำสิ่งใดเลย ! ”

 

ฟางฉือกำลังเล่นอยู่กับฟางหมิงเหออยู่ข้างในบ้าน ทั้งสองวิ่งออกมาด้านนอกพร้อมด้วยฟางหมิงหวยตามหลังมาติด ๆ ทั้งสามวิ่งมาจับจ้องพี่สาวของตนเองด้วยใบหน้าที่ว่างเปล่า

 

ฟางฮั่นถอนหายใจออกมาอย่างหนักพร้อมกับยังไม่หยุดขอบคุณครอบครัวนี้ที่ดูแลนางอย่างดี รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนางอย่างสดใส “ตอนนี้ข้าดีขึ้นมากแล้ว ข้าไม่ต้องการเป็นภาระให้กับอาหกและน้าหกเลย...…”

 

“ไม่มีใครเป็นภาระอะไรทั้งนั้น ! ” อาฟางฉางชิ่งเปิดประตูพร้อมกับถือถุงข้าวเล็ก ๆ ที่เขาเพิ่งไปแลกเปลี่ยนกันมากับคนอื่น ใบหน้าของอาฟางเต็มไปด้วยความเขร่งขรึม เขาพูดต่ออย่างออกคำสั่ง “ทุกคนคือครอบครัวเดียวกันและทุกคนจะอยู่ด้วยกันที่นี่ ! ”

 

ร่างกายของฟางฮั่นนั้นผอมและซีดเหลืองอยู่เสมอ แก้มของนางสั่นเครือพร้อมกับดวงตาร้อนผ่าวขึ้นมา สายตาคู่นั้นจับจ้องไปที่อาของตนเองอย่างซาบซึ้งพร้อมกล่าวว่า “อาหก... ครอบครัวของอาปฏิบัติกับข้าดีเกินไปจนข้ารู้สึกละอายแก่ใจ ข้าไม่กล้าที่จะหน้าด้านอยู่ที่นี่ต่อหรอก” 

 

จากนั้นดวงตาของฟางฮั่นได้เหลือบมองที่ถุงข้าวใบน้อยในมือของอาฟาง รอยยิ้มขมขื่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนางอย่างเจ็บปวด “อาหกใช้ปิ่นทองปักผมของน้าหกซื้อยาให้ข้าแล้วเหลือเงินซื้อข้าวเพียงเท่านี้เองงั้นหรือ ? ”

 

ใบหน้าของฟางฉางชิ่งเผยความรู้สึกผิดออกมาอย่างจับต้องได้ เขาหยิบปิ่นปักผมของน้าฟางออกไปเพื่อใช้มันแลกเปลี่ยนกับยา……

 

นี่คือสมบัติชิ้นสุดท้ายของภรรยา สภาพดินฟ้าอากาศล้วนแต่แห้งแล้งพร้อมสลับกับหนาวเย็น ในปีนี้ชาวบ้านล้วนแต่ใช้ชีวิตกันแบบขึ้นอยู่กับโชคชะตาที่พระเจ้าจะประทานพรมาให้ ทว่าพระเจ้ากลับไม่ส่งอาหารหรือพืชพรรณใด ๆ ให้กับพวกเขาเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะปลูกสิ่งใด ทุกอย่างล้วนตายไปเพราะความแห้งแล้ง แทบทุกครอบครัวจำเป็นจะต้องทุบหม้อข้าวของตนเองเพียงเพื่อให้อยู่รอดต่อไป แต่เด็กทั้งสามคนนี้ยังไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ซึ่งเขาก็ไม่อาจจะเพิกเฉยและปล่อยปะละเลยได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นยาหรือข้าว…... ก็ต้องหามาจุนเจือให้ได้ แต่ทุกสิ่งอย่างนั้นล้วนแต่ต้องใช้เงิน !

 

ใบหน้าของน้าฟางหดหู่เล็กน้อยพร้อมกล่าวออกมาว่า “ลูกเอ๋ย… เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก มันเป็นเพียงสิ่งของนอกกายเท่านั้น ไม่ว่าอะไรที่ทำให้พวกเจ้ารอดปลอดภัย ข้าพร้อมที่จะสู้”

 

ดวงตาของฟางฮั่นไหววูบ “น้าหกช่างมีเมตตากับพวกเราทั้งสามเหลือเกิน พวกเราจะไม่มีวันลืมพระคุณในคราวนี้อย่างแน่นอน อย่างไรพวกเราก็จะเป็นลูกหลานของตระกูลฟางต่อไป แม้ว่าท่านย่าจะไล่ข้าและน้องออกจากบ้านแล้ว อีกทั้งเรายังไม่สามารถได้รับทรัพย์สมบัติที่พึงจะได้...… แม้ว่าข้ายังเด็ก แต่ข้าก็จำได้ดีว่าพ่อและแม่ได้ทิ้งอะไรไว้เบื้องหลัง...... พ่อและแม่ของข้าช่วยกันดูแลคนแก่ในบ้านนั้นมานานหลายปี รวมถึงข้าก็ช่วยดูแลด้วยเช่นกัน แต่วันหนึ่งพ่อของข้าหายตัวไปอย่างลึกลับ แม่ของข้าตายจากไปด้วยโรคภัย พวกเขาจึงฮุบเอาทุกสิ่งอย่างไปอย่างหน้าตาเฉย ท้ายที่สุดพวกเขาขับไล่พวกเราสามคนอย่างกับหมูหมาในคืนที่มีพายุหิมะ......”

 

อาจเป็นเพราะความทรงจำเก่า ๆ ยังมากล้นอยู่ภายในจิตใจ ทั้งร่างกายและเลือดเนื้อเต็มไปด้วยความคับข้องใจ ฟางฮั่นไม่อาจกลั้นน้ำตาแห่งความเจ็บปวดที่เก็บกดเอาไว้เนิ่นนานนี้ได้ วันนี้นางจะร้องไห้ให้กับความล้มเหลวที่ผ่านมาและต่อจากวันนี้ไป...… คนที่เคยทำร้ายนางจะไม่มีวันได้แตะต้องตัวนางแม้แต่ปลายเล็บ

 

การเป็นคนโง่เขลาในครอบครัวที่เห็นแก่ตัวช่างเป็นเรื่องที่น่าทุกข์ใจอย่างยิ่ง

 

ฟางฮั่นใช้แขนปาดน้ำตาอย่างไม่แยแส รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าเรียวเล็ก แววตาที่เข้มแข็งปรากฏขึ้นมา “สิ่งเดียวที่ข้าจะบอกกล่าวกับพวกเขาเหล่านั้น......จงอย่าได้กล่าวโทษ ถ้าหากว่าข้าหยาบคาย”

 

รีวิวผู้อ่าน