ตอนที่ 6: ลู่ทางในการมีชีวิตรอด
ใบหน้าของฟางฮั่นยังคงถูกแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มสดใสราวกับว่านางมองไม่เห็นว่าฟางเถียนกำลังเกรี้ยวกราด
เหมือนกับว่านางเดินเกมมาถูกทางแล้ว มีบางอย่างกำลังสะกิดใจของฝ่ายตรงข้ามอย่างรุนแรง
ถ้าหากรื้อดูความทรงจำของฟางฮั่นคนเก่าจะพอทราบได้ว่าในตระกูลฟางนี้ ความสำคัญของฟางเซียวหยู่เป็นเพียงลำดับที่สองเท่านั้น
เช่นนี้การใช้นางเพื่อกระตุ้นฟางเถียนจึงยังไม่มากพอ มันต้องรุนแรงและดุเดือดกว่านี้อีก
“ข้าได้ข่าวว่าพี่ใหญ่กลับมาจากวิทยาลัยในเมืองกว่าสิบวันแล้ว” ฟางฮั่นตั้งใจกระซิบอย่างร้ายบริสุทธิ์
ทันทีที่กล่าวคำว่า ‘พี่ใหญ่’ ออกมา ใบหน้าของฟางเถียนแปรเปลี่ยนและเริ่มกระตุกอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนนางจะตื่นเต้นอย่างมาก
หากพูดถึงหัวใจของฟางเถียนคงจะเป็นใครอื่นไม่ได้นอกจากฟางหมิงเจียง
ในตระกูลฟาง ถ้าหากกล่าวถึงชายผู้เป็นอัจฉริยะซึ่งเป็นหน้าตาของตระกูลย่อมหมายถึงฟางหมิงเจียงอย่างแน่นอน ทุกคนล้วนแต่ยกนิ้วสรรเสริญเขาว่านี่คือเมล็ดพันธุ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของตระกูล
ปีนี้ฟางหมิงเจียงอายุได้ 17 ปี แต่เขาสามารถสอบผ่านระดับถงเซิง (ถงเซิง คือผู้ที่สอบผ่านระดับต้น หรือระดับท้องถิ่นในขั้นเซี่ยนชื่อ (county exam) และฝู่ชื่อ (prefecture exam) โดยไม่ว่าผู้สอบผ่านนั้นจะมีอายุเท่าใดก็ตามก็จะถูกเรียกด้วยคำนี้ เป็นการสอบที่เทียบได้กับการสอบเพื่อเข้าศึกษาต่อในปัจจุบัน)ได้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงระดับมันสมองของเขาในหมู่บ้านเล็ก ๆ นี้เลย แม้แต่ในเขตจินเหมินเขาก็ยังถือว่าอยู่ในระดับของอัจฉริยะ ! นี่เป็นเวลากว่าสองถึงสามชั่วอายุคนของตระกูลฟางแล้วที่จะได้พบกับเมล็ดพันธุ์ที่ยอดเยี่ยม ทุกคนล้วนแต่ภูมิใจในตัวหลานชายคนนี้และคิดจะเลี้ยงดูเขาให้ดีที่สุดเพื่อหวังว่าเขาจะเข้าศึกษาที่สำนักจินเหมิน จากนั้นเด็กหนุ่มคนนี้จะนำความรู้ที่ได้ร่ำเรียนก้าวสู่ตำแหน่งใหญ่และกลับมาพาวงศ์ตระกูลให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างรุ่งโรจน์
ฟางหมิงเจียงนั้นสามารถทำความคาดหวังของทุกคนให้สำเร็จได้ แม้แต่เจ้าสำนักยังกล่าวชื่นชมว่าด้วยความรู้พื้นฐานที่เป็นปึกแผ่นมั่นคงของเขานั้นไม่ยากเย็นเลยสำหรับการสอบเข้าในครั้งต่อไป
เช่นนี้คำว่า ‘ฟางหมิงเจียง’ จึงกลายเป็นตัวแทนแห่งความหวังของอาวุโสในตระกูลฟาง
ฟางฮั่นรู้ดีว่าจะต้องจัดการกับอสรพิษตรงหน้านี้อย่างไร ศีรษะของนางเอียงไปมาเล็กน้อยอย่างไร้เดียงสา รอยยิ้มจางปรากฏขึ้นบนใบหน้าแต่มันกลับชั่วร้ายยิ่งในความรู้สึกของฟางเถียน
“ท่านย่า ท่านย่า ! ตอนที่ข้าไปซื้อของที่ตลาด ข้าได้ยินพวกเขาพูดคุยกันเกี่ยวกับการคัดเลือกนักเรียนด้วยล่ะ เห็นว่าพวกเขากำลังให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องของคุณธรรมควบคู่ไปพร้อม ๆ กับความสามารถ”
“ท่านย่าคิดอย่างไรถ้าหากผู้มีอำนาจได้รู้ว่าภายในตระกูลของพี่ใหญ่นั้นมีอาวุโสที่ชอบกลั่นแกล้งผู้น้อยหรือบุคคลไร้ทางสู้...”
“หุบปากของเจ้าซะ ! ” ฟางเถียนระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างเกรี้ยวกราดผ่านไรฟัน
“อ๋า ข้าเห็นด้วยกับนางนะ เพราะญาติของข้าที่อาศัยอยู่กับปู่ของนางในซีอานพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน การกระทำที่เลวร้ายกับครอบครัวเป็นสิ่งที่เสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างมาก” ผู้ชมที่อยู่รอบ ๆ เริ่มแสดงความคิดเห็นอย่างคล้อยตาม
“ผู้คนที่สามารถอ่านหนังสือได้ล้วนแต่มีความคิดที่ต่างจากพวกเรา พวกเขาจะชื่นชมทั้งคุณธรรมและความรู้ไปพร้อม ๆ กัน มันควรจะควบคู่กันไปน่ะ” เสียงของชาวบ้านเริ่มดังขึ้น
ชายชราที่ยืนอยู่ข้าง ๆ นั้นประมาทเกินไป เขาตระหนักรู้ถึงความเสียหายที่กำลังก่อเกิดพร้อมระเบิดเสียงคำรามอย่างรวดเร็วเพื่อแก้ไขสถานการณ์ “ฟางฮั่นพูดถูก ! ” ยิ่งคิดไตร่ตรองมากเท่าไหร่ การกระทำของฟางเถียนนั้นเต็มไปด้วยผลเสียที่จะตามมาอย่างไม่รู้จบ
จากนั้นเขาจึงเริ่มก่นด่าภรรยาของตนอย่างวางอำนาจ “การกระทำที่โง่เขลาของเจ้ากำลังทำให้เรื่องทุกอย่างมันย่ำแย่ เห็นหรือไม่ ? แม้ว่าเด็ก ๆ จะทำผิด แต่พวกเขาก็เป็นเพียงแค่เด็กที่ไม่รู้ประสา เราสามารถสั่งสอนเขาได้ภายในบ้านของเรา การไล่พวกเขาออกจากบ้านนั้นเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง ! ฮึ โชคดีที่ครอบครัวของเหล่าลิ่วดูแลเด็ก ๆ ให้เราสองถึงสามวัน มิฉะนั้นคงจะเกิดเรื่องร้ายขึ้นเป็นแน่ ถ้าหากเป็นเช่นนั้นก็จงรอรับโทษจากข้าได้เลย ! ”
ใบหน้าของฟางเถียนบิดเบี้ยวแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำจากความโกรธ แม้รู้ว่าชายชรากำลังพยายามจะแก้ไขสถานการณ์ให้กับนาง แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะขุ่นเคือง กลับกัน ถ้าหากนางไม่ยอมอ่อนข้อและยังดื้อรั้นต่อไป เรื่องราวก็จะยิ่งย่ำแย่ไปมากกว่านี้ !
ลงโทษกันในบ้านงั้นหรือ ? ฟางฮั่นเยาะเย้ยอยู่ในใจ ชายชราผู้นี้สามารถหลบเลี่ยงความผิดของตนเองได้อย่างคล่องแคล่วเสียจริง เขาสามารถเปลี่ยนฤดูกาลที่เลวร้ายที่สุดให้กลับกลายเป็นแจ่มใสได้อย่างง่ายดาย การขับไล่ออกจากบ้านนี่เป็นการลงโทษจากอาวุโสงั้นหรือ ฮึ !
ทว่าแม้ปู่ของตนเองจะยื่นบันไดให้กลับขึ้นบ้าน แต่ฟางฮั่นกลับไม่ต้องการที่จะเดินเข้าสู่ประตูนรกนั้นอีกต่อไป
“ท่านปู่... ท่านเข้าใจอะไรผิดหรือไม่” ดวงตาของฟางฮั่นแดงก่ำพร้อมลดสายตาลง “ข้าไม่ได้ผลักพวกเขาเลย”
“เวลานั้นมีคนมากมายอยู่ที่นั่น หลายคนเห็นสถานการณ์ทั้งหมด ข้ายืนอยู่ข้างแม่น้ำ พวกเขายืนตั้งไกล ข้าจะผลักพวกเขาตกน้ำได้อย่างไรกัน?”
เฮอะ ข้าไม่สามารถอดทนซ่อนเรื่องเหล่านี้ไว้จากใครได้อีกแล้ว ถึงแม้ตอนนั้นจะไม่มีใครเห็นว่าใครเคลื่อนไหวก่อนเป็นคนแรก แต่ลองคิดดูเอาแล้วกันว่าคนที่ยืนอยู่อีกฟากจะสามารถผลักอีกคนตกน้ำได้อย่างไร ?
มันเป็นเพียงเด็กสองคนนั้นที่ซุ่มซ่ามเอง…
ชาวบ้านทั้งหมดเริ่มสบสายตากันอย่างไตร่ตรอง พวกเขาคิดตามคำพูดของฟางฮั่นและนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น มันเป็นความจริงที่ฟางฮั่นและฟางอ้ายยืนอยู่คนละฟากกัน เช่นนี้จึงทำให้ทุกคนเริ่มคล้อยตามคำพูดของฟางฮั่นโดยไม่รู้ตัว
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะบอกว่าฟางอ้ายของข้านั้นเต็มใจที่จะลงไปดำน้ำเล่นงั้นเหรอ ? ” ฟางฉางจวงซึ่งเป็นบุตรคนโตของฟางเถียนและเป็นพ่อของฟางอ้ายเดินออกจากบ้านหลังใหญ่อย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก การเดินออกมาเช่นนี้คือเขาต้องการปกป้องบุตรสาวของตน
นางแอบชื่นชมฟางฉางจวงซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงของนางอย่างแท้จริง คำพูดของเขาเกือบจะเป็นความจริงอยู่แล้วเชียว แต่ท้ายที่สุดมันก็ยังไม่ชัดเจนและนางจำเป็นต้องอธิบายเรื่องนี้อีกหน่อย
“มันเป็นนางที่ผลักข้าก่อน แต่นางกลับเสียหลักและต้องการยึดเหนี่ยวอะไรบางอย่าง แต่ข้าไม่สามารถดึงรั้งนางไว้ได้ นางจึงตกลงไปในแม่น้ำและโทษว่ามันเป็นความผิดของข้าที่นางต้องล้มลงเช่นนั้น จากนั้นข้าต้องการที่จะช่วยเหลือนาง แต่นางกลับไม่ต้องการมันและผลักข้าออก แล้วเช่นนี้ทำไมทุกคนจึงกล่าวโทษว่าเป็นความผิดของข้าล่ะ” ใบหน้าของฟางฮั่นเต็มไปด้วยความเสียใจและรู้สึกต่ำต้อย ดวงตากลมโตของนางแดงก่ำยิ่งทำให้ดูน่าสงสารมากขึ้น จากนั้นนางกล่าวปิดท้ายอย่างยอดเยี่ยม “ฟางฮั่นไม่ได้ตั้งใจเลย”
ฟางอ้ายที่กำลังแอบสอดส่องจากขอบหน้าต่างแทบจะนั่งไม่ติดเมื่อได้ยินเช่นนั้น นางต้องการลุกขึ้นจากเตียงและวิ่งออกไปอธิบายเรื่องราวด้วยตนเอง แต่แม่ของนางดึงเอาไว้อย่างรวดเร็วพร้อมตะคอกเสียงดัง “ฟังข้าให้ดี ! จงอยู่เฉย ๆ ที่นี่ การที่เจ้าจะวิ่งปรี่ออกไปมีแต่จะทำให้เรื่องราวมันแย่กว่าเดิม อย่าให้พี่ชายของเจ้าต้องมาเสื่อมเสีย ! ”
ฟางอ้ายพลันเสียใจทันที ในใจของแม่นางนั้นถูกครอบครองไปด้วยพี่ใหญ่จนหมดสิ้นแล้ว นางจึงไม่มีโอกาสที่จะได้อธิบาย ดวงตาของนางเริ่มเปียกชื้นจากความน้อยเนื้อต่ำใจ
แต่แม่ของฟางอ้ายก็ยังไม่ยอมอ่อนข้อให้เลยแม้แต่น้อย นางปล่อยให้บุตรสาวร่ำไห้อย่างดุเดือดภายในบ้านแต่กำลังของข้อมือที่ยึดเหนี่ยวนางเอาไว้กลับไม่ลดลงเลย เป็นที่ชัดเจนว่านางห่วงใยอนาคตของบุตรชายมากกว่า !
ส่วนฟางฮั่นที่ยืนอยู่ตรงลานบ้านนั้นกำลังแสดงสีหน้าโศกเศร้าเสียเต็มประดา
“พี่ใหญ่ไม่ต้องร้องไห้นะ...” ฟางฉือที่อยู่ข้าง ๆ จับแขนของฟางฮั่นไว้อย่างปลอบโยนพร้อมกล่าวอย่างไร้เดียงสา “คราวหน้าถ้าพี่อ้ายจะผลักพี่ใหญ่อีก ข้าจะช่วยจับไว้เองและจะไม่ยอมให้พี่ใหญ่ถูกรังแกอีกนะ”
“หวยเอ๋อก็จะทำอย่างนั้นด้วยเหมือนกัน ข้าน่ะแข็งแรงมากเลยนะ” ฟางหมิงหวยที่ยืนอยู่อีกฝั่งของฟางฮั่นกล่าวด้วยน้ำเสียงปลอบโยนเช่นกัน
ฉับพลันความเจ็บปวดที่ยังคงค้างคาอยู่ในร่างกายของฟางฮั่นกลับผุดขึ้นมาอีกครั้ง ชีวิตก่อนหน้านางตายตกไปในพายุหิมะอย่างเดียวดาย ความโศกเศร้านั้นทำให้นางยิ่งร่ำไห้มากขึ้นเพียงเพราะรู้สึกสงสารฟางฮั่นตัวจริง
ฟางฉือและฟางหมิงหวยที่เห็นน้ำตาของพี่ใหญ่ทะลักออกมาอย่างบ้าคลั่งอดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนก “พี่ใหญ่ พี่ใหญ่ ! ”
น้าหกโอบกอดฟางฮั่นที่กำลังร่ำไห้อย่างปลอบโยน นางสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พร้อมกับพูดเสียงดัง “เหตุใดป้าจึงคิดที่จะกลั่นแกล้งเด็ก ๆ ที่น่าสงสารพวกนี้ ทั้งสามล้วนแต่ไร้พ่อและแม่มันยังไม่เจ็บปวดพองั้นหรือ ? ทำไมต้องให้พวกเขามีปู่และย่าที่โหดร้ายเช่นนี้ด้วย ? พวกท่านไม่สนใจเลี้ยงดูยังไม่พอ แต่กลับจะผลักไสพวกเขาให้ไปตายตกนอกบ้านได้ลงคอ ! ตระกูลฟางของเรานั้นเต็มไปด้วยผู้คนที่มีจิตใจเมตตาและซื่อสัตย์ แต่พวกท่านกลับแตกต่างและเลือดเย็นมากเหลือเกิน ! ”
ใบหน้าของฟางเถียนหดเล็กลงเมื่อถูกเด็กถอนหงอกเอาให้แล้ว ใบหน้าของนางร้อนผ่าวจนไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ ดวงตากรอกไปมาก่อนจะกล่าวผ่านไรฟัน “ถ้าอย่างนั้นก็จงเอาพวกมันไปเลี้ยงดูซะ”
ขากรรไกรของน้าหกอ้ากว้างอย่างตื่นตระหนก !
ตอนนี้นางรู้สึกสงสารเด็กทั้งสามอย่างแท้จริง !
ใบหน้าของฟางฮั่นที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตายกขึ้นมองน้าหก นางรีบกล่าวแทรกก่อนที่น้าหกจะกล่าวอะไรต่อ สายตาพลันเหลือบมองฟางเถียนอย่างเย็นชาพร้อมกล่าวราวกับโง่เขลา “ท่านย่า… ข้ามีบางอย่างที่ต้องพูดกับท่าน ก่อนที่พ่อจะหายตัวไป สมบัติทั้งหมดที่เขาหามาเพื่อจุนเจือก็อยู่กับท่านย่า หลังจากที่แม่ของข้าตายตกไป เครื่องประดับทุกชิ้นที่นางมีก็ถูกริบเอาไปจนหมดสิ้น ท่านบอกว่าจะเก็บมันไว้ให้กับพวกเรา แต่ทำไมมันจึงไปอยู่บนร่างกายของน้าเซียวหยู่ล่ะ ? อาหกกับน้าหกนั้นเป็นคนที่ซื่อตรงและจิตใจดี ข้ารู้ดีว่าการที่พวกเราทั้งสามจะไปอยู่กับเขานั้นคือภาระอย่างแท้จริง ข้าไม่อยากให้อาและน้าต้องรับภาระเช่นนี้ ถ้าเป็นไปได้ข้าไม่ต้องการอยู่ในบ้านแห่งนี้อีกต่อไปแล้ว ข้าจึงอยากจะขอให้มอบสมบัติของพ่อและแม่กลับคืนมาให้เราสามพี่น้องเพื่อที่จะเอาไปทำทุนหาเลี้ยงชีพต่อไป ! ”
ฟางฮั่นละออกจากอ้อมกอดของน้าหกและดึงร่างกายของฟางฉือกับฟางหมิงหวยมาไว้ข้างกาย ทั้งสามคุกเข่าลงบนพื้นทำให้ฟางเถียนและฟางจงโยว่ถึงกับมึนงง ผู้มีศักดิ์เป็นปู่พยายามสะบัดหัวอย่างแรง
เนื่องจากเขาคิดว่ากำลังฟังผิดไป เสียงนั้นชัดเจนในหัวแต่เขากลับรู้สึกว่าหูของตนหนวกสนิท อารมณ์โกรธกำลังปะทุขึ้นอย่างรุนแรง
“ได้โปรดเถิดท่านปู่ ท่านย่า ได้โปรดมอบลู่ทางในการมีชีวิตรอดให้กับพวกเราสามพี่น้อง ! ”