ตอนที่ 4 ลาก่อนท่านพ่อ
หมิงเฉียงเด็กชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับกู๋ชินเหวย เขาเป็นคนเดียวในตระกูลที่คอยดูแลและสนใจชินเหวย เขายกมือขึ้นกลางอากาศพร้อมกับพูดโดยสีหน้าไม่สบายใจนัก “ท่านเป็นคนหนึ่งที่เรียนรู้ศิลปะการต่อสู้มา สายตาและหูของท่านทั้งฉลาดและเฉียบคม ข้านั้นเป็นเพียงผู้ดูแลเด็ก… ถ้าหากนักฆ่าเข้ามายังห้องนอนใครกันจะตายก่อน? เมื่อข้าหลับไปแล้วข้าจะตื่นมาปลุกท่านได้เช่นไร”
ด้วยความโกรธเกรี้ยวของชินเหวยจากการถกเถียงเรื่องไร้สาระกับทาสรับใช้คนสนิททำให้เขาต้องหันหน้าไปหาพี่สาวเพื่อขอความสบายใจจากนาง
ท่านพ่อตระกูลกู๋ หยางเจิ้ง และแม้แต่ทาสรับใช้ทุกคนในคฤหาสน์ต่างเข้มงวดและกังวลเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน พวกเขาสั่งให้คนรับใช้ออกไปตามหาข้อมูลของชายสวมหน้ากากที่บุกเข้ามาเมื่อคืนนี้ กู๋หลุนคาดการเอาไว้ว่านี่คงไม่ใช่การโจมตีครั้งสุดท้ายเป็นแน่
ความรู้สึกตึงเครียดแผ่ซ่านไปทั่วทั้งคฤหาสน์
หลังจากผ่านไปครึ่งวันกู๋ชินเหวยก็ยังคงสนใจเรื่องของชายสวมหน้ากากอยู่ดี เขาเชื่ออย่างมากว่าฝีมือของพี่ชาย พ่อ และคนรับใช้เชี่ยวชาญวิชากังฟูการต่อสู้กำลังภายใน ถึงแม้ว่าผู้บุกรุกหลายพันคนเข้ามาทำร้าย บรรดาผู้ใหญ่ในตระกูลก็จะสามารถปกป้องเขาจากภัยนี้ได้ ซึ่งเขาคงทำแค่ยืนมองเฉย ๆ ก็เท่านั้น
พื้นที่ทางภาคตะวันตกในปัจจุบันค่อนข้างแตกต่างจากเมื่อหลายสิบปีก่อนโดยสิ้นเชิง ในเมื่อสิบปีก่อน อาณาจักรใหญ่ ๆ มักจะห่ำหั่นกันเพราะต้องการเป็นมหาอำนาจ ซึ่งอาณาจักรเล็ก ๆ ทั้งหลายก็จะได้รับผลกระทบจากการสู้รบนี้ด้วย ที่ยิ่งแย่ไปกว่านั้นก็คือ โจรผู้ร้ายที่ฉวยโอกาสชุลมุนนี้ให้เป็นประโยชน์ต่างแพร่กระจายสร้างความเดือดร้อนไปทั่ว และบ่อยครั้งที่ชาวบ้านที่เดือดร้อนรู้ทีหลังว่าโจรและฆ่าตกร ผู้ที่เอาแต่สร้างความเดือดร้อนเป็นผู้คนที่ใกล้ชิดและรอบข้างทั้งนั้น นั่นจึงทำให้ชาวบ้านบริสุทธิ์ต่างกักขังตัวเองอยู่ในบ้านและได้แต่ภาวนาต่อพระเจ้าให้เหตุการณ์ทั้งหมดผ่านไปด้วยดี ทว่าในตอนนี้หน้าประวัติศาสตร์ได้ถูกปรับเปลี่ยนไปแล้ว ทุกอาณาจักรได้แก่ อาณาจักเทพหลวง อาณาจักรชูอิน และอาณาจักรทาราเหนือ ได้ทำการปรับสมดุลและประนีประนอมกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อาณาจักรเล็ก ๆ มากกว่า 30 อาณาจักรทั้งอาณาจักรที่มีอยู่เดิมแล้วและอาณาจักรที่งอกขึ้นมาใหม่ได้มีผู้คนตั้งรกรากทำการเกษตรและโจรผู้ร้ายก็ได้ลดจำนวนลงจนได้กลายเป็นตำนาน
เมื่อครั้งที่ปรมาจารย์กู๋หลุนตัดสินใจย้ายรกรากจากภาคกลางมาอยู่ยังภาคตะวันตกเพราะเขาหาข้อมูลอย่างรอบคอบแล้วว่าในภาคตะวันตกค่อนข้างสงบสุข เขาเลือกคฤหาสน์แห่งนี้เพราะคิดว่ามันเหมาะสมกับครอบครัวตระกูลกู๋
ใช่… เขาพูดถูก ทะเลสาบริมคฤหาสน์ยิ่งทำให้สถานที่นี้ยิ่งสมบูรณ์แบบ
กู๋ชินเหวยเชื่อมั่นในตัวท่านพ่อของตนมาก เขาจึงไม่ต้องวิตกกังวลเรื่องอะไรเลย เขาเดินคุยกับพี่สาวและทะเลาะกับหมิงเฉียงไปรอบ ๆ คฤหาสน์ เมื่อดวงอาทิตย์เคลื่อนลับฟ้า… ท่านพ่อก็สั่งให้เขาเข้านอนทันทีและหลังจากนั้นไม่นานเขาก็หลับในที่สุด
เมื่อเขากำลังนอนหลับฝันดีอยู่ในคืนนี้ จู่ ๆ ก็มีแรงจากคนคนหนึ่งผลักเขาอย่างจัง เขาลืมตาขึ้นโดยไม่เต็มใจพร้อมกับหาว “อะไรกัน! ผู้บุกรุกอีกแล้วหรือ?”
หมิงเฉียงตื่นขึ้น ชายแก่คนหนึ่งถือตะเกียงแล้วพูดว่า “นี่พ่อเอง ไม่ใช่ผู้บุกรุก”
กู๋ชินเหวยลุกขึ้นอย่างไม่เต็มใจแล้วเห็นร่างบาง ๆ ของท่านพ่อยืนอยู่ในเงาตรงประตูทางเข้า
“ฮัวเออร์… หยิบเสื้อคุมของเจ้าแล้วออกไปพบพี่สาวเดี๋ยวนี้” ท่านพ่อกล่าว
“ฮัวเออร์” คือชื่อเล่นของกู๋ชินเหวย ชื่อนี้มีแต่คนสนิทในตระกูลเท่านั้นที่เรียกเขา
“นางจะไปแล้วหรือ… ทว่าพี่เขยยังไม่มารับเลย…” เขาถามด้วยความประหลาดใจ น่าจะมีเวลาอีกสองเดือนจนกว่าพี่สาวของเขาจะต้องจากไป เขาไม่ได้เตรียมตัวอะไรสำหรับเรื่องนี้เลย
“ใช่… ทว่าตอนนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วพี่สาวของเจ้าจึงต้องจากไปเร็วกว่าเดิม”
กู๋ชินเหวยง่วงนอนเกินกว่าจะคิดได้ดังนั้นเขาจึงทำตามและสวมเสื้อผ้าและเสื้อคลุมของเขาด้วยความช่วยเหลือ กู๋หลุนมัดสัมภาระทุกอย่างที่จำเป็นเตรียมเอาไว้ให้ฮัวเออร์แล้วให้เขาสะพายหลังเอาไว้พร้อมสอดมีดพกเล่มเล็กให้เขาที่สายคาดเอว
ตระกูลกู๋เป็นตระกูลที่เชี่ยวชาญวิชากังฟูกำลังภายในที่ชำนาญในการใช้หอกและมีดพกไม่ใช่ดาบ มีดพกหรือดาบสั้นที่กู๋หลุนมอบให้นี้ถูกตีขึ้นมาเพื่อกู๋ชินเหยวนคนเดียวเท่านั้น ลักษณะของมันแหลมยาวไม่ถึงสองฟุตและมีน้ำหนักเพียงครึ่งกิโลกรัม
โดยปกติแล้วกู๋หลงแทบจะไม่ให้เขาจับดาบสั้นเลย เมื่อได้เห็นดาบสั้นเขาก็มีความสุขและไม่ง่วงนอนอีกต่อไป กู๋ชินเหวยดีใจจนอดไม่ได้ที่จะดึงมันออกมาดูด้วยความขอบคุณ ทว่ากู่หลุนยกมือขึ้นทันทีและพูดด้วยเสียงต่ำ “ในตอนนี้เจ้าต้องเป็นสมาชิกในตระกูลกู๋ผู้ใช้ดาบสั้นปกป้องพี่สาวและตนเอง ที่สำคัญเจ้าอย่าอวดดี จงระวังตัวให้มาก”
“ขอรับ!” กู๋ชินเหวยตอบรับและให้สัญญาอย่างจริงจัง เขานึกภาพในจินตนาการถึงวันที่ใช้ดาบสั้นเล่มนี้ปกป้องพี่สาวจากการโจมตีของชายสวมหน้ากาก
กู๋หลุนพาเด็กทั้งสองออกไปทางประตูหลัง ตลอดระยะทางที่เดินมาบรรยากาศช่างเงียบและสงบ ในคืนนี้ท้องฟ้าช่างมืดมิดจนไม่เห็นแม้แต่เงาของผู้ใดเลย เมื่อเดินถึงจุดหมายแล้วเขาก็พบว่ามีคนยืนรออยู่สามคนนั่นได้แก่ แม่นางกู๋ สาวใช้คนสนิทที่ชื่อชินแซ และคนสนิทบ้านเก่าแก่อย่างหยางเจิ้ง
หยางเจิ้งผู้นี้ไม่เพียงแต่เป็นคนสนิทของกู๋หยุนเท่านั้น เขายังเป็นเพื่อนและอาจารย์ให้แก่กู๋ชินเหวยอีกด้วย เขาสอนกู๋ชินเหวยให้รู้จักวิชากังฟูพื้นฐานมาสองถึงสามปีแล้ว ดังนั้นเขาจึงเรียกหยางเจิ้งว่า “ท่านอาจารย์หยาง”
กู๋หลุนอุ้มลูกชายคนเล็กขึ้นบนหลังม้า ภายใต้คืนเดือนมืดเขาดูเหมือนอาจารย์ผู้สูงอายุมากกว่าปกติ
หมิงเฉียงขึ้นขี่ม้าด้วยตนเองในขณะที่ยังตื่นไม่เต็มที่ เขาไม่ได้รู้สึกดีใจนักที่ต้องมาทำภารกิจที่ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน เพราะเขาต้องเดินออกจากคฤหาสน์ที่อบอุ่นนี้เพื่อไปตะลุยทะเลทราย
ตอนนี้มีม้าเพียงห้าตัวกับคนห้าคน แม่นางกู๋คลุมเสื้อคลุมเอาไว้มิดชิดโดยที่ไม่มีสัมภาระอะไรที่ตัวนางเลย สาวใช้คนสนิทของนางถือเพียงกระเป๋าใบเล็ก ๆ เท่านั้น
“แล้วท่านแม่กับท่านพี่คนอื่น ๆ เล่า? ท่านพ่อด้วย ท่านจะไม่ไปกับพวกข้าหรือ?” กู๋ชินเหวยถามพร้อมกับเบิกตากว้าง ความง่วงนอนได้หายไปแล้ว พวกเขาตอนนี้ดูเหมือนผู้ลี้ภัยมากกว่าคนที่จะไปคุ้มกันเจ้าสาว
“พวกเจ้าเดินทางไปก่อนเลย เดี๋ยวพวกข้าจะรีบตามไป” กู๋หลุนตอบอย่างไม่ซับซ้อนนัก จากนั้นเขาก็ตบม้าให้ออกเดินทางทันที
กู๋ชินเหวยจับบังเหียนเบา ๆ และพยายามคิดตามสถานการณ์ หยางเจิ้งไม่สนใจคำพูดเหล่านั้นแล้วพูดต่อว่า “ไปกันต่อเถิด”
หยางเจิ้งตีไปที่ม้าของกู๋ชินหยวนอีกครั้งและมันก็ได้วิ่งต่อไปอย่างรวดเร็ว เมื่อกู๋ชินเหวยหันหลังกลับไปมองก็พบว่าท่านพ่อได้หายไปแล้ว กู๋หลุนไม่ได้บอกลาลูกสาวที่กำลังจะไปแต่งงานเสียด้วยซ้ำ…