ตอนที่ 10 เจ้าอยากได้รางวัลอะไร?
เมื่อนางพูดออกมาเช่นนั้น ทุกคนที่ได้ยินก็แสดงท่าทีออกมาราวกับว่าพวกเขาคาดเอาไว้อยู่แล้ว และนี่คือเหตุผลที่แท้จริงในการรับเด็กทั้งสองคนมาอุปการะ ซึ่งพวกเขารู้อยู่แล้วว่านายหญิงน้อยคนนี้มีนิสัยและอารมณ์เช่นไร ดูเหมือนว่าความตั้งใจของนางคือการฝึกชายหนุ่มให้แข็งแกร่งและกลายเป็นผู้ปกป้องของนางตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
สองชั่วโมงต่อมาเย่ลีก็ได้รับข่าวจากขันทีหลิว
มีข่าวรั่วไหลออกมาว่าเมื่อคืนนี้องค์จักรพรรดิได้เรียกตัวหมอหลวงให้เข้าเฝ้าอย่างลับ ๆ ซึ่งหมอหลวงคนดังกล่าวก็ได้เสียชีวิตอย่างลึกลับในเช้าวันต่อมา หากข่าวนี้เป็นข่าวลับแน่นอนว่าไม่ควรมีใครได้รู้… และในช่วงเวลาสงครามเช่นนี้ชีวิตของบุคคลทั่วไปมักมีค่าน้อยนิด จะมีใครสนใจเรื่องการตายของหมอหลวงกัน? แต่เมื่อเหตุการณ์ได้รวมกับคำพูดของเย่มู่ที่บอกว่า ‘องค์จักรพรรดิกำลังประชวรหนัก!’ เรื่องนี้ก็ควรค่าแก่การใส่ใจ
**คำแนะนำ: ช่วงเวลาสงครามที่นิยายพูดถึงคือในยุคนั้นกำลังมีการสู้รบ มีการปฏิรูประบบราชการและระบบทหาร
องค์จักรพรรดิป่วยหนักจริงหรือ? แล้วทำไมหมอหลวงถึงถูกลอบฆ่าด้วย?
ในจดหมายลับ… ขันทีหลิวได้แสดงความขอบคุณเย่ลีอย่างล้นเหลือ เขาบอกว่าถ้าหากเย่มู่มิได้บอกข่าวนี้กับเขา เขาคงโง่งมจนถึงตอนนี้
เย่ลีสงสัยเป็นอย่างมากว่าชายชุดดำคนนั้นคือใคร และที่เขาสนใจยิ่งกว่านั้นก็คือทำไมชายชุดดำไม่มาบอกข่าวที่สำคัญเช่นนี้กับเขาตรง ๆ แต่เลือกจะบอกกับเด็กสาวตัวเล็กอย่างเย่มู่ เป้าหมายที่แท้จริงของชายชุดดำคืออะไรกันแน่!
ด้วยความสงสัยทุกประการที่เขามี เขาจึงเรียกให้เย่มู่เข้าพบ
ขณะนี้ เย่มู่นิ่งสงบลงมาก คนสนิทของเย่ลีได้นำสารรับมาแจ้งให้แก่นางในตอนเย็น ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้นางรู้ได้ทันทีว่านางจะไม่ถูกลงโทษที่เข้าไปขัดขวางงานเลี้ยง นี่ช่างเป็นการเสี่ยงโชคที่คุ้มค่าเสียจริง! ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าองค์จักรพรรดิกำลังประชวรจริง ๆ! ดังนั้นนางไม่จำเป็นต้องรอแม้แต่วินาทีเดียวเพื่อไปแสดงความยินดีแก่เย่ลี!
“ท่านพ่อ!”
เย่มู่คาราวะพ่อของตน ทันทีที่เย่ลีปรากฏตัวขึ้น ทุกคนในตละกูลล้วนหวาดกลัวและเคารพเขา ซึ่งเย่มู่ก็แสร้งแสดงท่าทีเช่นนั้นเหมือนกัน
“อืม” เย่ลีกำลังนั่งอ่านเอกสารบางอย่างอยู่ภายใต้แสงเทียน ทันทีที่เขามองเห็นบุตรสาวอย่างเย่มู่ เขาก็ตัดสินได้ทันทีว่านางเป็นเด็ก ‘ฉลาด!’ เขาใช้น้ำเสียงกับนางอย่างเป็นมิตร
“เกิดอะไรขึ้นกับองค์จักรพรรดิ์…” เขาหยุดพูดแล้วสังเกตการแสดงออกทางใบหน้าและท่าทีของเย่มู่ ทว่าเขาเห็นเพียงท่าทีที่คาดหวังและกังวลกับคำพูดที่เขากำลังจะพูดต่อไป
“คำพูดของเจ้าที่เล่าว่าองค์จักรพรรดิ์กำลังประชวรหนักสายข่าวของพ่อได้ตรวจสอบแล้วว่าเรื่องนี้เป็นความจริง! เจ้าทำดีมากที่มาบอกข่าวที่ร้ายแรงเชานนี้โดยทันที! ดังนั้นพ่อจะให้รางวัลแก่เจ้า เจ้าอยากได้อะไรบอกพ่อได้เลย”
จิตใจของนางโล่งเหลือเกิน ราวกับว่าภาระอันหนักอึ้งได้ถูกยกออกไป นางทำหน้ามึนงงแล้วพูดออกไปว่า “ท่านพ่อเจ้าคะ… ลูกดีใจที่ได้ช่วยท่านและไม่ได้ต้องการสิ่งใดตอบแทน! แต่ถ้าจะให้ดีท่านพ่อช่วยหายารักษาบาดแผลชั้นดีให้ลูกได้หรือไม่?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้เย่ลีถึงกับขมวดคิ้วแล้วนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาพร้อมพูดด้วยความไม่พอใจว่า “อย่าบอกนะว่าเจ้าจะหายามาให้ไอ้ทาสน้อยผู้นั้น!”
เย่มู่พยักหน้าและตอบว่า “ใช่เจ้าค่ะ! เด็กชายผู้นั้นดื้อร้นและเลี้ยงไม่เชื่อง ลูกจะทำให้เขาเชื่องเหมือนสุนัขเอง! ลูกเกรงว่าถ้าหากข้าฆ่าเขาโดยทันทีมันจะทำให้เขาตายง่ายเกินไป… และลูกต้องการยานั้นเพื่อทำให้เขาค่อย ๆ ตายลงไปช้า ๆ”
ดวงตาของนางในขณะที่พูดดูเยือกเย็นและไร้วิญญาณ เหมือนนางล้างภาพลักษณ์ที่จริงใจในครั้งแรกที่เดินเข้ามายังห้องนี้ทิ้งไป… เมื่อเย่ลีได้ยินเช่นนี้เขาก็ยิ้มอย่างพอใจ! “เอาล่ะ… พ่อจะนำยาที่องค์จักรพรรดิ์มอบให้มาให้เจ้าสักสองสามขวด สำหรับทาสที่เลี้ยงไม่เชื่อเช่นนั้น เราเลี้ยงเพื่อรอมอบความตายแก่มันก็พอ เจ้าทำดีมากลูกรัก! เจ้าช่างเหมือนพ่อยิ่งนัก!”
เย่มู่ส่งเสียงหัวเราะอย่างชั่วร้ายออกมา แต่นางคิดกับตัวเองว่า ‘ข้าไม่สงสัยเลยจริง ๆ ว่าทำไมคนในตระกูลเย่ถึงมีแต่คนทำชั่ว… เพราะพวกเขาถูกเลี้ยงดูแบบนี้ยังไงเล่า แล้วพวกเขาจะลอดพ้นการลงโทษจากสวรรค์ได้เช่นไร?’
หลังจากที่เย่ลีซักถามรายละเอียดต่าง ๆ ที่เขาอยากรู้เสร็จหมดแล้ว เขาบอดนางอย่างเข้มงวดว่าห้ามแพร่งพรายเรื่องที่จักรพรรดิ์ทรงประชวรหนักให้ใครรู้ เขาสั่งให้คนในบ้านปิดปากเงียบเรื่องนี้เอาไว้ และสั่งนางให้ดูแลทาสทั้งสองให้ดีและอย่างพูดเรื่องไร้สาระอะไรอีก
เย่มู่คาดเดาว่า… ถ้าหากเรื่องนี้รุนแรงและทำให้คนอื่น ๆ เกิดความสงสัยในเรื่องนี้ เย่ลีคงจะสั่งฆ่าทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องรวมถึงตัวนางด้วย
นางจำเป็นต้องระมัดระวังตัวต่อชายผู้โหดเหี้ยมอำมหิตที่นั่งอยู่ตรงหน้านี้