px

เรื่อง : นายน้อยเจ้าสำราญ (นิยายแปล)
ตอนที่ 34 เกลียดเพราะรัก


ตอนที่ 34 เกลียดเพราะรัก

แท้จริงแล้วก่อนหน้านี้จางเพ่ยเอ๋อร์เคยพบกับฟู่เสี่ยวกวนแล้ว อีกทั้งยังได้ยินเรื่องราวต่าง ๆของเขาอีกไม่น้อย

 

ท่านพี่ของนาง จางเหวินฮั่น เมื่อตอนที่ยังมิได้เดินทางออกจากเมืองหลินเจียง เขาเคยกล่าวถึงฟู่เสี่ยวกวนอยู่บ้างบางครา เขามักสั่งสอนนางว่า “น้องรัก เจ้าจงหลบหนีให้ไกลจากเขา เขานั้นเป็นคุณชายหลายใจ เปรียบเสมือนสุนัขบ้าที่รังแกสตรีผู้อ่อนแอกว่านับไม่ถ้วน”

 

ต่อมาไม่นาน ต่งชูหลานบุตรสาวของเสนาบดีกรมคลังได้เดินทางมายังหลินเจียง พี่ชายของตนนั้นชื่นชอบนางเป็นที่สุด เขาเอ่ยว่า “ความงดงามของแม่นางต่งชูหลานนั้นช่างเปรียบเสมือนดอกกล้วยไม้ที่เบ่งบานภายใต้แสงดาว หากการที่ข้าเดินทางไปในครั้งนี้มีความสำเร็จได้เป็นจอหงวน อีกทั้งได้รับความรักจากแม่นางต่งชูหลาน ชีวิตนี้พี่คงจะไม่มีอันใดให้ต้องเสียใจอีกแล้ว”

 

ทุกคราที่เอ่ยถึงแม่นางต่งชูหลาน ก็มักเอ่ยถึงฟู่เสี่ยวกวนด้วย เนื่องจากเขาบังอาจกระทำการรุ่มร่ามต่อหน้าต่งชูหลาน จึงได้ถูกองค์รักษ์จับไปโยนทิ้ง อีกทั้งยังสั่งสอนเสียจนแทบไม่รอดชีวิต หากใช้คำพูดของท่านพี่แล้วก็คือดอกฟ้ากับหมาวัด เขาไม่รู้จักประมาณตนเอง

 

นางได้ตั้งใจฟังทุกครั้ง และบนใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม

 

แต่ในก่อนหน้าที่ท่านพี่จะเดินทางไปยังเมืองหลวง นางก็พบว่าเขามักทำสีหน้าเป็นกังวล เมื่อสืบสาวราวเรื่องจึงได้ทราบว่าคน ๆ นั้นได้เปลี่ยนนิสัยไปอย่างกับคนละคน อีกทั้งยังสามารถประพันธ์บทกวีที่งดงามยิ่งถึงสองบทด้วยกัน

 

กวีสองบทนั้นนางได้ฟังแล้ว ไพเราะงดงามจริงดังคำร่ำลือ หากแต่ท่านพี่ของนางก็ยังกล่าวว่าฟู่เสี่ยวกวนนั้นมิได้แต่งด้วยตนเอง สิ่งนี้สมเหตุสมผลและจางเพ่ยเอ๋อร์เองก็เชื่อว่าเป็นเช่นนั้น

 

เพียงแต่หลังจากท่านพี่เดินทางไปยังเมืองหลวง นางก็ได้ยินเรื่องราวของฟู่เสี่ยวกวนและรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดแปลกไป

 

สุรานั้นได้ยินมาว่ามีรสเลิศ แต่นางไม่ดื่มสุรา บิดาของนางนั้นหลังจากได้ลิ้มรสสุราของฟู่เสี่ยวกวน ก็มิอาจเปลี่ยนไปดื่มสุราอื่นได้อีกเลย

 

ต่อมามีบรรดาปัญญาชนเชิญชวนเขาแต่กลับถูกปฏิเสธ ชาวบ้านเริ่มมีความคิดเห็นเกี่ยวกับเขาแตกต่างกันออกไป แต่มีสิ่งหนึ่งที่จางเพ่ยเอ๋อร์สังเกตได้นั่นคือชายผู้นี้มิเคยสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้ใด อีกทั้งมิเคยเดินทางไปหอนางโลม นิสัยใจคอเปลี่ยนแปลงไปเป็นเปี่ยมไปด้วยความมั่นคง กระทั่งอาจารย์ฉินก็ยอมรับในตัวเขาและคบหาเขาเป็นสหาย

 

ดังนั้นจึงทำให้ความสงสัยของจางเพ่ยเอ๋อร์เริ่มเกิดขึ้น และไม่สามารถหยุดมันลงได้

 

กระทั่งเดือนหกวันที่หนึ่ง ณ งานกวีแห่งเมืองหลินโจวที่ผ่านมา แม้นางจะมิได้เดินทางไปร่วมงาน แต่ประโยคที่เอ่ยว่าจิตใจต่างสื่อสารไปถึงกันนั้นได้เป็นที่นิยมขึ้นในวันต่อมา

 

และนี่คือผลงานของเขาเช่นกัน

 

ความคิดเห็นที่มีต่อฟู่เสี่ยวกวนของผู้คนในเมืองหลินเจียงเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ฟู่เสี่ยวกวนกลายเป็นหนึ่งในสี่ผู้มีพรสวรรค์แห่งเมืองหลินเจียง

 

จางเพ่ยเอ๋อร์มองดูบทกวีที่ขึ้นชื่อของฟู่เสี่ยวกวนทั้งสองนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า นางเริ่มมองภาพลักษณ์ของฟู่เสี่ยวกวนขึ้นใหม่อีกครั้ง เขาคือชายหนุ่มรูปงามที่มีความสามารถด้านวรรณกรรม

 

มิเช่นนั้น จะสามารถประพันธ์บทกวีที่งดงามเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร

 

เขามิได้คัดลอกจากผู้อื่น แต่ใช้ความสามารถของตนในการประพันธ์กวีเหล่านี้ขึ้นมาด้วยตนเอง

 

ชายหนุ่มโสดที่มากทั้งทรัพย์สินเงินทองและความสามารถ เป็นผู้ที่คุณหนูทั้งหลายต่างใฝ่ปรารถนา จางเพ่ยเอ๋อร์เองก็มิได้แตกต่างจากผู้อื่น นางได้ตัดสินใจแล้วว่านางจะใช้โอกาสที่ผู้อื่นยังมิทันได้มองเห็นถึงความสามารถอันแท้จริงหรือความสำคัญของฟู่เสี่ยวกวนนั้น คว้าเขามาให้ได้เสียก่อน

 

ด้วยชาติตระกูลและรูปร่างหน้าตาของนางอีกทั้งความสามารถในทุก ๆ ด้าน นางเชื่อมั่นเหลือเกินว่าจะสามารถเอาชนะใจของฟู่เสี่ยวกวนได้

 

สายตาของนางมองคนไม่ผิดไปแน่ หากแต่นางมองข้ามสิ่งหนึ่งไปนั่นคือ ฟู่เสี่ยวกวนคนนี้มิใช่ฟู่เสี่ยวกวนคนก่อน

 

การที่ฟู่เสี่ยวกวนปฏิเสธนาง ทำให้นางเจ็บปวดใจยิ่งนัก แต่สิ่งนี้มิรู้ว่าควรจะเรียกว่าเสียใจหรือไม่พอใจต่อการพ่ายแพ้ หรือมีความต้องการจะครอบครองกันแน่ ซึ่งในบัดนี้ยากที่จะอธิบายยิ่งนัก แม้แต่ตัวของนางเองก็มิอาจจะทราบได้

 

นางจะต้องเปลี่ยนแผน ในเมื่อการใช้แม่สื่อไม่ประสบผล และฟู่เสี่ยวกวนนั้นไม่เคยพบเจอกับนาง ดังนั้นนางจึงตั้งใจเดินหน้าออกมาด้วยตนเอง

 

นางเดินทางมาด้วยรถม้า

 

ภายนอกช่างสงบนิ่ง แต่ภายในจิตใจร้อนรนยิ่งนัก

……

......

“ขอคุณชายฟู่หยุดลงสักครู่เถิด” ชิงเหมยเดินหน้าเข้าไปขวางทางไว้

 

“แม่นางคือ......

 

 “คุณหนูของข้าต้องการพบท่าน ขอเชิญคุณชายเดินทางไปกับข้าน้อยทางนี้เจ้าค่ะ”

 

 “คุณหนูของเจ้าคือใครกัน

 

 “เมื่อท่านขึ้นไปแล้ว ท่านจักได้รู้ด้วยตนเอง”

 

ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้ว เขาก้าวเดินไปยังรถม้าที่จอดอยู่ด้านข้าง

 

เมื่อเปิดประตูและผ้าม่านออก เขาก็พบกับสตรีที่มีใบหน้าอันงดงามอ่อนช้อย

 

เขาขึ้นไปยังรถม้า และนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับจางเพ่ยเอ๋อร์

 

แท้จริงแล้วการกระทำเยี่ยงนี้ไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง หากมีผู้คนพบเห็นเข้า อาจจะนำชื่อเสียงของหญิงสาวไปเล่าลือต่าง ๆ นานา เพียงแต่ฟู่เสี่ยวกวนไม่ทราบถึงข้อนี้ อีกทั้งเป็นการเชิญจากฝ่ายตรงข้าม

 

“ข้าคือจางเพ่ยเอ๋อร์”

 

ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงเล็กน้อย นี่มันเรื่องอะไรกันอีกเล่า

 

เขานำมือลูบไปที่จมูก แล้วหัวเราะออกมาอย่างเขินอาย

 

 “อีกเพียงหนึ่งเดือนข้าจะบรรลุนิติภาวะ เช่นนั้นข้าจักมิใช่ผู้เยาว์อีกต่อไป”

 

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าตอบรับเนื่องจากเขาไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไร

 

 “ข้านั้นมิใช่ผู้เยาว์ ไม่ว่าจะเป็นด้านใด ๆ ”

 

 “มิใช่......”

 

 “ความสามารถของคุณชายนั้นข้าชื่นชมอย่างยิ่ง อีกทั้งตัวท่านเองก็ยังมิได้แต่งงาน ก่อนหน้านี้ที่ท่านปฏิเสธข้า ทำให้ข้ากังวลใจไม่น้อย ในวันนี้ท่านได้พบเจอข้า ไม่ทราบว่าพอใจหรือไม่

 

นี่มัน

 

สตรีในโลกแห่งนี้มีความกล้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ

 

ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งเงียบไปชั่วครู่คล้ายกับไม่สามารถควบคุมตนเองได้

 

แม้แม่นางจางเพ่ยเอ๋อร์จะมีรูปงามสู้แม่นางต่งชูหลานไม่ได้ แต่ก็นับว่าเป็นสตรีที่สวยงามยิ่งนัก

 

อีกทั้งคำพูดที่นางเอ่ยว่าตนนั้นไม่ใช่เด็กน้อยในทุก ๆ ด้านคือเรื่องจริง ขณะที่นางเอ่ยออกมาดูภูมิใจยิ่งนัก

 

หรือผู้คนในโลกนี้โตเร็วกว่าวัยอันควร อีกทั้งยังมีความคิดที่แตกต่างกัน

 

ฟู่เสี่ยวกวนสูดลมหายใจเข้าสู่ปอด เขายกมือทั้งสองขึ้นเป็นสัญลักษณ์ว่ายอมแพ้

 

เขากล่าวว่า “แม่นาง เป็นเช่นนี้ ข้าเองก็มีความเห็นว่า เราทั้งสองคนมีอายุเพียงเท่านี้นับว่าน้อยเหลือเกิน อายุน้อยบ่งบอกถึงประสบการณ์ที่ไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงอาจจะมีปัญหาเกิดขึ้นอย่างเช่น  อาจจะตัดสินใจอย่างเร่งรีบและถูกรูปลักษณ์ภายนอกดึงดูดให้หลงผิดได้”

 

ฟู่เสี่ยวกวนเริ่มพูดช้าลง แล้วมองไปยังจางเพ่ยเอ๋อร์

 

 “การแต่งงานคือเรื่องใหญ่ที่สุดของชีวิต เราทั้งสองมิเคยได้พบหน้ากัน ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงการรู้จัก ซึ่งหมายความว่าเราทั้งสองยังไม่ได้รู้จักนิสัยใจคอซึ่งกันและกันดี เรื่องของการแต่งงานนั้นในความเห็นของข้าควรใช้ความรู้สึก ส่วนเรื่องของความรู้สึกนั้นต้องใช้เวลาของทั้งสองร่วมกันบ่มเพาะขึ้นมา”

 

 “ตัวข้านั้นไม่เคยคิดว่าการที่กลับเรือนมาแล้วมีข้าวปลาอาหารหุงหารอต้อนรับอีกทั้งน้ำชาอุ่นๆ กับน้ำสำหรับอาบในอุณหภูมิที่เหมาะสมเช่นนี้คือการแต่งงาน แม้ข้าจะมิได้เอ่ยออกมาโดยตรงแต่คาดว่าแม่นางคงเข้าใจดี การแต่งงานที่ข้าเข้าใจนั้นคือการที่คนสองคนมีความสุขเมื่อได้อยู่ร่วมกัน ทำเรื่องราวต่าง ๆ ร่วมกันเช่นการเดินทางท่องเที่ยว การทำอาหาร สิ่งนี้เรียกว่า มีใจเดียวกัน”

 

 “ชีวิตของเรานั้นยังอีกยาวไกล ต่อจากนี้ไปเจ้ายังมีโอกาสได้พบเจอกับชายหนุ่มมากหน้าหลายตาที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถ แม่นาง......”

 

จางเพ่ยเอ๋อร์กัดริมฝีปากนางไว้ น้ำตาไหลหยดลงมาเป็นทาง

 

หลักการเหล่านี้นางฟังไม่เข้าใจ มารดาของนางนั้นมิเคยอบรมสั่งสอนเรื่องเหล่านี้ แต่นางเข้าใจถึงความหมายของฟู่เสี่ยวกวน

 

“ท่านไม่ชอบข้า

 

“เอ่อ......”

 

 “ท่านไม่ชอบข้าเท่านั้นเองแม่ของข้าก็แต่งงานกับท่านพ่อเช่นนี้ เหตุใดจึงต้องมีเหตุผลมากมายด้วยเล่า บัดนี้พวกเขาทั้งสองอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ผู้คนมากมายล้วนเป็นเช่นนี้ เหตุใดท่านจึงไม่เหมือนผู้อื่น

 

“ข้าทำเพราะเห็นแก่เจ้า

 

 “ข้าไม่ต้องการให้ท่านทำกับข้าเช่นนี้แล้วเอ่ยว่าทำเพื่อข้า หากท่านจะทำเพื่อข้าก็ควรรับข้าเป็นภรรยาเสีย

 

“……”

 

“ท่านจงไปเสียข้าไม่อยากเห็นหน้าท่าน ฟู่เสี่ยวกวน ข้าเกลียดเจ้า

 

จางเพ่ยเอ๋อร์น้ำตานองอาบสองแก้ม ฟู่เสี่ยวกวนถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย

รีวิวผู้อ่าน