px

เรื่อง : The Strongest System จบแล้ว!!!
บทที่ 380 : จำนวนเซลล์สมองที่ต้องวอดวายไปกับเรื่องนี้ มันมีเท่าไรล่ะเนี่ย?


บทที่ 380 : จำนวนเซลล์สมองที่ต้องวอดวายไปกับเรื่องนี้ มันมีเท่าไรล่ะเนี่ย?

กาลเวลาผ่านพ้นว่องไว ไม่นานก็ล่วงเลยไปถึง 6 เดือน ...

บนลานฝึกซ้อมของขุนเขาไร้นาม มีร่าง 2 ร่างกำลังรุกรับสับประยุทธ์กันอย่างหนัก ต่างคนต่างไม่ยินยอมสยบให้อีกฝ่าย ต่างสลับเท้าโอนเอนร่างหลบกระบี่ของอีกฝ่ายพร้อมตวัดมือฟาดแทงกันจ้าละหวั่น น่าเสียดาย ที่ยังไม่รูแพ้ชนะกลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้น  ระงับการประลองฝึกซ้อมเอาไว้

"มาๆๆ ทั้ง 2 คน หยุดพักได้แล้ว มากินอะไรเสียก่อน จักได้มีเรี่ยวมีแรง หากมิกินให้มากเข้าไว้ พวกเจ้าจักตัวเท่านี้ไปตลอด มิเติบโตรู้หรือไม่? แล้วก็อย่าได้หักโหมนัก การพักผ่อนหย่อนคลายก็สำคัญรู้หรือไม่" มองไปยังร่างที่กำลังรบพุ่งกันอยู่อย่างไม่มีใครยอมใคร กงปิงเย่วร้องออกมาอย่างอ่อนโยน

"เจ้าค่ะพี่หญิงกง!" ไช่ฉิเฉียววางกระบี่ไม้อันยาวในมือ ก่อนที่จะวิ่งมาหยิบขนมเปี๊ยะบนโต๊ะขึ้นมากัดกิน อย่างมีความสุข

"ข้าจะฝึกอีกเล็กน้อย" ยู่จิ่วหลิงที่ไร้คู่ต่อสู้กลับยังไม่หยุดพัก ร่างน้อยๆ พร้อมกระบี่ในมือ กลับแลดูทานทนประหนึ่งหุ่นไม้แข็งแกร่ง เริ่มออกกระบวนท่าวาดลวดลายกระบี่ไม่หยุดพัก คนกระบี่คล้ายสื่อใจรู้กัน กระบวนท่าต่อเนื่องน่าดูชมนัก

ทั้งการสืบเท้าออกกระบี่แต่ละครั้งยังนิ่งเงียบงันเป็นที่สุดไร้ซึ่งเสียงใดๆเล็ดรอดออกมา เป็นการควบคุมท่าร่างอันเลิศล้ำน่าเหลือเชื่อเกินกว่าเด็กตัวเท่านี้จะกระทำได้  ไม่นานทั่วร่างก็มีเหงื่อหลั่งไหลชโลมไปทั่วทั้งกาย  ใบหน้างดงามวัยเยาว์ดั่งมีพิรุณปราดโปรยรดหน้า  แต่นางยังไม่ปริปากบ่นหรือกล่าวร้องโอดโอยแม้ครึ่งคำ

ด้วยการขยับร่างอย่างหนักหน่วงรุนแรงทว่าออมรั้งไม่ให้เกิดเสียงเช่นนี้ กลับเป็นการเคี่ยวกรำร่างกายประการหนึ่ง มันสร้างภาระให้กล้ามเนื้อและข้อต่ออย่างสุดแสน แต่ทว่าทุกคราที่เจ็บปวด กลับมีพลังงานอุ่นร้อนสายหนึ่งแล่นวูบไปทั่วร่าง ทั้งแขนขาค่อยได้บรรเทา ที่เคยเจ็บก็กลายเป็นไม่เจ็บแล้ว

วิชาที่ไช่ฉิเฉียวได้ร่ำเรียนนั้นคือ วิชาระดับสวรรค์ขั้นสูงอย่างเจตกระบี่  น่าเสียดายที่ยู่วจิ่วหลิงไม่ได้ร่ำเรียนวิชานี้ด้วย  นางได้รับการถ่ายทอดวิชาจากหลินฟ่านมาวิชาเดียวเท่านั้นคือ วิชาบ่มเพาะร่างกายอย่าง กายปีศาจอมตะ

กายปีศาจอมตะนั้นแต่เดิม ทำไว้ให้กระสอบทรายมนุษย์ทานรับการถูกทุบตีได้นานขึ้น และมันมีเพียง 3 ขั้นเท่านั้น  แต่เมื่อได้รับการอนุเคราะห์ถ่ายทอดวิชาจากหลินฟ่าน  มันก็สามารถทำให้ผู้ที่ได้รับถ่ายทอดฝึกปรือได้ถึงขั้นที่ 6  ในตอนนั้นหลินฟ่านที่เบื่อหน่ายและว่างจนไม่มีอะไรทำ... เขาก็พยายามคัดลอกแนวทางการฝึกฝนที่รวดเร็วที่สุดสำหรับคนอื่นที่คิดจะฝึกวิชานี้คนเดียว และไม่มีใครมาคอยใช้สหบาทารุมกระทืบ ไว้ทั้ง 6 ขั้น และทิ้งมันไว้ในหอตำราของขุนเขาไร้นาม

ยู่วจิ่วหลิงต้องการเจริญรอยตามอาจารย์ของนางที่เด่นเรื่องวิชาบ่มเพาะกายา นางจึงเน้นฝึกวิชากายปีศาจอมตะนี้ด้วยอย่างหนัก  แต่วิชานี้นับว่าฝึกฝนได้ยากเย็นยิ่งนักเพราะมันเป็นวิชาที่ต้องทำร้ายตัวเอง  เคี่ยวกรำตัวเองอย่างหนักหนา! ไม่ใช่วิชาอะไรที่เด็กน้อยเช่นนางสมควรฝึกฝนแม้แต่น้อย!!

นับตั้งแต่ยู่จิ่วหลิงได้กราบหลินฟ่านเป็นอาจารย์  นางก็ไม่ได้เก็บอะไรไว้ให้ตัวเองเลย กระทั่งวิชาระดับสวรรค์ขั้นสูง อย่างวิชา สำเนียงอัสนีพิชิตฟ้าดิน 5 กระบวน นางก็ยังคัดลอกมันเอาไว้ในหอตำราของขุนเขาไร้นาม

เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนท่าประหลาดสุดท้ายที่ทำลายข้อต่ออย่างหนักหนา พลังอุ่นร้อนประการหนึ่งก็แล่นพล่านไปทั่วร่างสลายความเจ็บปวด ทำลายจุดรอคอยในร่าง จนก่อเกิดเป็นกระแสพลังสายหนึ่งที่โคจรไหลเวียนไปทั่วร่างตลอดเวลาโดยไม่ต้องเปลืองจิตไปควบคุม

กายปีศาจอมตะระดับ 1 สำเร็จแล้ว

ยู่จิ่วหลิงแย้มยิ้มออกมาอย่างดีใจ มือน้อยๆเอื้อมปาดหยาดเหงื่อที่หลั่งรินชโลมใบหน้า ก่อนที่จะวิ่งมาหากงปิงเยว่ พร้อมนั่งลงหยิบขนมขึ้นมากินอย่างอร่อย ทั้งยังกล่าวคำอย่างมีมารยาท “ขอบคุณท่าน พี่หญิงกง!”

ตอนนี้กงปิงเยว่ได้สละตำแหน่งผู้นำตระกูลให้คนอื่นดูแลเรียบร้อยแล้ว และนางเลือกที่จะมาอยู่ขุนเขาไร้นาม คอยดูแลเด็กสาวตัวน้อยทั้ง 2 ให้เติบโตขึ้นมาด้วยดี สั่งสอนเรื่องที่อิสตรีควรรู้

"ศิษย์น้อง อาจารย์บอกว่า คนเราต้องรู้ขีดจำกัดตัวเอง การฝึกฝนต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไป เร่งรีบมากไปจะเสียการใหญ่แล้ว" ถึงแม้ว่าไช่ฉิเฉียวจะยังเป็นเด็กสาวตัวน้อย แต่นางก็เข้ามายังนิกายปีศาจศักดิ์สิทธิ์ก่อน ดังนั้นนางจึงไม่ได้เป็นศิษย์น้องหญิงตัวน้อยต่อไป  นางพัฒนาเป็นศิษย์พี่หญิงตัวน้อยแล้ว!!

"ศิษย์พี่หญิงท่านกล่าวไม่ถูกแล้ว คนเรานั้นควรมุ่งมั่นตั้งใจฝึกฝน และเมื่อเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ต้องอดทนยืนหยัดฝ่าฟันทะลุขีดจำกัดไปให้สำเร็จ  การมิย่อท้อต่างหากจึงบรรลุผล!" ยู่วจิ่วหลิงที่เคี้ยวขนมตุ้ยๆ ส่ายหัวไปมาพร้อมกล่าวโต้แย้ง

ไช่ฉิเฉียวเบ้ปากเล็กน้อย ก่อนที่จะกล่าวออกมาพร้อมขมวดคิ้ว ในปากยังเต็มไปด้วยขนมเปี๊ยะ "ศิษย์น้อง ข้าเป็นศิษย์พี่หญิงนะ เจ้าต้องฟังข้าสิ!!"

"มิได้ๆ หากศิษย์พี่หญิงกล่าวผิด ในฐานะศิษย์น้องข้าต้องช่วยเหลือ ชี้แนะให้ท่านเห็นถึงความผิดพลาด" ยู่วจิ่วหลิงส่ายหัวอีกครั้ง

"ศิษย์น้อง ถ้าเจ้าไม่ฟังศิษย์พี่หญิงล่ะก็ ข้าจะไม่เล่นกับเจ้าแล้ว!" หลังจากที่เป็นเวลานาน กว่าที่ไช่ฉิเฉียวจะได้พัฒนามาเป็นศิษย์พี่หญิง ดังนั้นนางจึงคิดดื่มด่ำกับอำนาจและความรู้สึกนี้ให้มากเข้าไว้

"มิได้ ข้ามิอาจหลับหูหลับตาฟังท่านได้ ข้าก็ต้องมีความคิดเป็นของตัวเอง" ยู่วจิ่วหลิงกล่าวออกมาพร้อมหยิบขนมขึ้นมากินอีกชิ้น

“ศิษย์น้อง! เจ้าต้องฟังศิษย์พี่หญิงนะ!” ไช่ฉิวเฉียวลุกขึ้นยืนเท้าสะเอว ชักสีหน้าดุดันราวกับผู้ใหญ่

"ไม่ฟัง" ยู่จิ่วหลิงส่ายหัว

...

เมื่อมองไปยังเรื่องราวตรงหน้า กงปิงเย่วเพียงปิดปากหัวเราะออกมาเบาๆ “เอาล่ะๆ หยุดทะเลาะกันได้แล้ว พวกเจ้าอย่าได้กล่าววาจาตอนกำลังกิน เห็นหรือไม่เลอะหมดสิ้นแล้ว”

"พี่หญิงกงกล่าวถูกแล้ว ยามกินพวกเราอย่าได้กล่าวแล้ว" ยู่จิ่วหลิงตอบรับทันที

ไช่ฉิวเฉียวเม้มปากเบาๆ ดูเหมือนว่านางจะพ่ายแพ้อีกครั้งแล้ว  นางคิดว่าจะได้รับศิษย์น้องที่เชื่อฟังวาจาของนาง เพราะนางอุตส่าห์ได้เป็นศิษย์พี่หญิงผู้อื่นทั้งที แต่ไม่คิดเลยว่าศิษย์น้องคนนี้จะดื้อรั้นไม่ฟังนางบ้างเลย!

เจ้าขาวที่หมอบกินขนมอยู่บนโต๊ะ ก็เปิดปากคำรามออกมาเสียงดัง ราวกับจะตอบรับเรื่องที่ ยามกินไม่สมควรกล่าววาจาอย่างมาก  เพราะยามนี้บนตัวมันมีขนมเปี๊ยะเลอะเต็มไปหมด...

"พี่หญิงกงข้าอิ่มแล้ว ข้าจะออกไปฝึกฝนต่อ" ยู่จิ่วหลิงเช็ดปากก่อนที่จะลุกขึ้นเตรียมหันหลังวิ่งไปฝึก  "ศิษย์พี่หญิง ท่านเองก็อย่าได้เกียจคร้านแล้ว หาไม่แล้วครั้งหน้าที่เราสู้กันท่านจะปราชัยให้ข้าแล้ว!"

“ฮึ ข้าไม่มีทางแพ้เจ้าหรอก” แม้ปากจะกล่าวตอบไปเช่นนั้น แต่พอได้ฟังคำกล่าวนี้ ไช่ฉิเฉียวรีบหยิบขนมมากัดเคี้ยวด้วยความเร็วสูง ก่อนที่จะวิ่งไปฝึกฝนต่อทันที ถึงแม้แก้มจะยังป่องไปด้วยขนมเปี๊ยะก็ตาม

ซั่งเอ้อกั๋วที่กำลังยุ่งอยู่กับสิ่งที่มันกระทำ เมื่อได้เห็นศิษย์สตรีตัวน้อยทั้ง 2  มันก็ทอดสายตามองไกลลงเขา ไปยังทิศทางของหอหลัก อันเป็นทิศที่มีรูปปั้นอธิษฐานภาวนาตั้งอยู่ พร้อมเผยรอยยิ้มออกมา

"นายท่านอย่าได้กังวล พวกเรากำลังขยันกันอย่างยิ่ง..."

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานี้ เชวียนอวิ๋นเซียนก็มักจะมาเดือนละครั้ง และแต่ละครั้ง นางก็จะอยู่ข้างรูปปั้นเป็นเวลา 3 วัน 3 คืนแล้วค่อยเดินทางกลับไปอย่างเงียบๆ

14 โจรจ้าวทะเลทรายเองก็แวะมาอยู่บ่อยครั้งเช่นกัน  ทุกครั้งที่พวกมันมา พวกมันก็จะรายงานความคืบหน้าในเส้นทางปล้นชิงของพวกมัน และเล่าถึงความก้าวหน้ายามที่ปล้นชิงผู้คนได้สำเร็จ บอกกล่าวถึงสัจธรรมแห่งการปล้นชิงที่พวกมันได้เรียนรู้คนพบระหว่างปล้น

...

ในพื้นที่ลึกลับพิศวงที่ไหนสักแห่ง ...

หลินฟ่านที่รู้ตัวว่าไม่อาจก้าวไปข้างหน้าได้แม้แต่นิ้วเดียว สดท้ายก็นั่งลงขัดสมาธิและพยายามทำความเข้าใจ สัมผัสถึงเรื่องราวรับรู้ถึงสภาพแวดล้อมรอบๆ

เมื่อเนิ่นนานผ่านไปหลินฟ่านเริ่มเข้าใจอะไรได้บางสิ่ง ตอนนี้เขาค้นพบว่าตัวเองเสมือนอยู่ในสภาวะสู่พิสดารประการหนึ่ง มันเป็นสถานะที่ยากจะกล่าวคำอธิบายอะไรออกมาได้  รอบๆของเขาคือดวงแสงที่เขาไม่อาจจับต้องมันได้ ยิ่งใกล้เสมือนยิ่งไกล

ตอนนี้เขาไม่รู้ว่ากาลเวลาล่วงเลยไปเนิ่นนานเท่าไรแล้ว และไม่รู้ว่าโลกภายนอกมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง

หลินฟ่านต้องการที่จะตื่นขึ้นมาจากสภาวะนี้โดยเร็วที่สุด เขาไม่อยากนอนเป็นผักแบบนี้

สำหรับสภาพร่างกายของเขาที่นอนแน่นนิ่งนั้น หลินฟ่านไม่คิดกังวลอะไรสักนิด

ด้วยสถานะความแข็งแกร่งท่างกายภาพของร่างกายเขา ตอนนี้เกรงว่าทั้งทวีปตงหลินคงไม่อาจมีใครสร้างได้แม้แต่รอยขีดข่วน  สถานะร่างกายของเขาตอนนี้คือ ไม่สามารถทำลายได้! นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นสักนิด!

และในตอนนี้ดูเหมือนว่าหลินฟ่านจะเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง เขาค้นพบหนทางในการกลับมาแล้ว...ดูเหมือนว่ายิ่งเขาเข้าใจบางสิ่งมากเท่าไร เขายิ่งเข้าใกล้ดวงแสงเหล่านั้นมากขึ้นเรื่อยๆ

บางทีจุดแสงเหล่านี้ก็เหมือนกับปริศนาเขาวงกตเป็นสภาวะอันสับสนประการหนึ่ง  ราวกับว่าหากเขาสามารถร้อยเรียงความคิด ทำความเข้าใจ จนค้นพบหนทางได้เมื่อไหร่  สำนึกสติของเขาก็สามารถกลับเข้าร่างได้ในทันที!

เวลาพ้นผ่านล่วงเลยไป 7 เดือน ...

8 เดือนผ่านไป ...

...

หนึ่งปีต่อมา

ตอนนี้นิกายเม้งก่ามีชีวิตชีวาขึ้นมามาก โดยเฉพาะในวันนี้ มีผู้คนมากมายเดินทางมายังนิกายกันอย่างเนืองแน่น และทั้งหมดล้วนเป็นสามัญชนไม่ได้เป็นคนของนิกายใด  เหตุผลที่พวกมันมายังเม้งก่าครานี้ ก็คือ เพื่อทำการทดสอบคัดเลือกศิษย์เข้าเม้งก่านั่นเอง!

คนธรรมดาเหล่านี้แน่นอนว่าทุกผู้คนย่อมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถเข้าร่วมกับนิกายใหญ่ยักษ์เช่นเม้งก่าได้  พวกมันต้องการเป็นศิษย์ของนิกายเม้งก่า เพื่อที่จะมีโอกาสได้ร่ำเรียนสรรพวิชาเลิศล้ำดั่งเทพเซียนเดินหน  เปลี่ยนจากคนธรรมดาให้กลายเป็นตัวตนที่มีอำนาจลิขิตชีวิตตัวเองได้

บางส่วนของคนธรรมดาที่มาเข้าร่วมการคัดเลือกครานี้ ก็มีระดับบ่มเพาะอันเป็นพื้นฐานมาได้ไม่เลว  บางคนก็เป็นผู้ฝึกตนพเนจรที่เก่งกล้า  พวกมันทั้งหมดล้วนต้องการเข้าร่วมกับเม้งก่า เพื่อหวังพึ่งความช่วยเหลือจากนิกายยกระดับวิถีชีวิตของตัว

สมบัติล้ำค่าทั้งหลายที่ผู้คนไม่อาจเข้าถึงได้ ล้วนสามารถพบเจอได้ที่นิกายเม้งก่าแห่งนี้ และนี่เป็นความปรารถนาชั่วชีวิตของใครหลายๆคนที่จะได้รับสิ่งเหล่านั้น!!

อีกทั้งยังมีวิชาเลิศล้ำอันลี้ลับสุดหยั่งถึงมากมาย ...ทั้งหมดคือสิ่งที่ทุกคนต่างหมายปองต้องการ!

ผู้ที่มานั้นก็นับได้ว่ามาจากทั่วทุกสารทิศ หลากหลายชนชั้นคละเคล้าปะปนกันไป บางคนก็เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ เป็นองค์ชาย องค์รัชทายาทของเมืองราชวงศ์ใหญ่โตต่างๆ บางคนก็เป็นเพียงเสี่ยวเอ้อในร้านน้ำชาเล็กๆ กระทั่งบางคนที่เป็นขอทานไม่มีจะกิน  ทั้งชาวบ้านร้านถิ่นก็ล้วนมาแสวงหาเสี่ยงโชคด้วยกันทั้งสิ้น!

บรรดาผู้คนที่มามากมาย เมื่อรวมตัวกันเช่นนี้ แน่นอนว่าเสียงบทสนทนาย่อมอื้ออึงดั่งงเสียงหยาดพิรุณกระทบหลังคากระเบื้องในวันพายุเข้า...สร้างความรำคาญทำลายความสงบไม่น้อย

"เงียบ!" ทันใดนั้นร่างหนึ่งพลันเหินลงมาลอยค้างกลางอากาศบริเวณหน้าทางเข้านิกาย  ก่อนที่จะจับจ้องไปยังเหล่าผู้คนเบื้องล่างด้วยสายตาดุดัน สะกดทุกคนให้เงียบจนไม่กล้าแม้กระทั่งหายใจแรง

คนผู้นี้หาใช่ใครอื่น มันคือซ่งเขิ่นเทียน

"ผู้สมัครที่ต้องการเข้าร่วมการทดสอบคัดเลือกเข้าเป็นศิษย์เม้งก่า เชิญเข้าสู่การทดสอบครั้งที่ 1 ... เยื้องย่างสู่สวรรค์" หลังจากที่ซ่งเขิ้นเทียนกล่าวจบ เขาพลันยกมือโบกสะบัดไปในอากาศ  ทันใดนั้นก่อเกิดพลังไร้สภาพประการหนึ่งแผ่ซ่านปกคลุมไปทั่ว ผู้ที่มีระดับบ่มเพาะ กลับกลายเป็นสูญสิ้นพลัง! ทั้งหมดกลับกลายเป็นเหมือนคนธรรมดาในทันใด ไม่มีผู้ใดใช้พลังงานที่แท้จริงได้!!

เยื้องย่างสู่สวรรค์นั้นก็ไม่มีอะไร เพียงแค่เดินขึ้นบันไดเท่านั้น  แต่บันใดขึ้นสู่เม้งก่านั้นมากมายกว่า 3,000 ขั้น!

"ผู้ใดที่สามารถเดินขึ้นไปจนถึงด้านบนได้ก่อนเที่ยงวันก็นับว่า ผ่านการทดสอบ ครั้งที่ 1" เมื่อซ่งเขิ่นเทียนกล่าวจบเขาก็เหินร่างขึ้นไปรอคอยด้านบน

เหล่าผู้สมัครก็เร่งรีบวิ่งขึ้นบันใดติดตามไปกันจ้าละหวั่น

...

เวลาไหลผ่านไปเรื่อยๆ เพียงพริบตา การทดสอบครั้งที่ 1 ก็จบสิ้นลง และมีผู้ที่ผ่านการทดสอบเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น

เหล่าผู้ที่ล้มเหลวล้วนซึมเศร้าไร้คำจะกล่าวเดินคอตกหอบสังขารกลับบ้านไปอย่างโรยรา ส่วนเหล่าผู้ที่ผ่านการทดสอบก็ยิ้มแย้มยินดี ต่างกล่าวคำสนทนากันอย่างอื้ออึง

ตอนนี้ซ่งเขิ่นเทียนก็นำทั้งหมดเดินมายังลานกว้างหลังของนิกายหน้าหอหลัก ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองรูปปั้นอธิษฐานภาวนา พร้อมจมอยู่กับภวังค์คิดไปครู่หนึ่ง ทว่าผู้คนที่ติดตามมาก็เริ่มกล่าววาจาเสียงดังออกมาอีกครั้ง

"ทั้งหมดเงียบ!" ซ่งเขิ่นเทียนที่ได้ยินเสียงดังโวยวายรีบคำรามสยบสรรพเสียงทั้งหมดในทันใด สีหน้าของมันแปรเปลี่ยนเป็นดุร้ายมืดลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเห็นว่าผู้คนเหล่านี้ส่งเสียงดังไม่เคารพสถานที่

"พวกเจ้าทั้งหมด จงแหงนมองรูปปั้นนี้อธิษฐานภาวนานี้ เป็นเวลา 1 วัน 1 คืน" ซ่งเขิ่นเทียนมองไปยังรูปปั้นอธิษฐานภาวนาก่อนที่จะกล่าวออกมา

ทันใดนั้นในกลุ่มคน ก็มีคนผู้หนึ่งกล่าวถามออกมาท่ามกลางความเงียบ “นิ..นี่เป็นการทดสอบรอบที่ 2 หรือขอรับ”

"มิใช่" ซ่งเขิ่นเทียนกล่าวตอบ

ในขณะที่ทุกคนได้ยินว่านี่ไม่ใช่การทดสอบรอบที่สอง ทันใดนั้นบางคนก็เริ่มกล่าววาจาออกมาโดยที่ไม่สนใจอะไรอีกต่อไป ใครที่หยิ่งยโสและมั่นใจในตัวเองก็เริ่มกล่าววาจาโผงผางพยายามทำเสียงดั่งข่มขู่ผู้อื่น

"มองรูปปั้นไร้สาระเช่นนี้จักมีดีอันใด!"

"รูปปั้นนั่นกำลังหัวเราะอยู่หรือ แลดูโง่งมนัก!"

“นั่นมันตัวอันใด ใช่ไก่หรือไม่? ฮาย! ช่างน่าเกลียดยิ่งนัก!”

"นิกายใหญ่โตถึงเพียงนี้ ใยให้ทำอะไรแปลกประหลาดเช่นนี้กันล่ะ?  ให้มองรูปปั้นบัดซบนี่ทั้งวัน  หวังให้ข้าตาบอดหรือไร?"

ซ่งเขิ่นเทียนที่ได้ยินวาจาบัดซบเหล่านี้ ใจคิดตบฟาดฝ่ามือสังหารพวกมันให้ตายหมดสิ้น แต่จำต้องสะกดข่มอารมณ์และกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงดุดัน  "รูปปั้นอธิษฐานภาวนานี้ คือวีรบุรุษผู้กล้าที่เสียสละตัวเองและกระทำคุณงามความดียิ่งกว่าผู้ใดในโลกนี้  หากมิคิดหยุดยืนแหงนมอง เช่นนั้นก็ติดตามข้ามาไปรับการทดสอบรอบที่ 2 ได้เลย"

ทันทีที่ทุกคนได้ยินวาจาเช่นนี้หัวใจของพวกมันพลันเต็มไปด้วยความสุข ! เนื่องจากพวกมันไม่จำเป็นต้องแหงนมองดูรูปปั้นโง่ๆนี่ก็สามารถเข้าทดสอบรอบที่ 2 ได้แล้วพวกมันจะดูไปทำนรกอะไร?  แน่นอนว่าพวกมันเลือกที่จะไปทดสอบรอบที่ 2 ต่อทันที!  เสียเวลาดูรูปปั้นบัดซบนี่ไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมากันเล่า!!

ทันใดนั้นทุกคนก็เดินตามซ่งเขิ่นเทียนไปทีละคนๆ  ในที่สุดก็เหลือเพียงคน 3 คนเท่านั้นที่ไม่ได้เดินตามไปทดสอบรอบที่ 2

อีกทั้งพวกมันยังไม่ได้ยืนแหงนมอง แต่เลือกที่จะคุกเข่าและโขกศีรษะคารวะ

ผู้ที่เดินติดตามซ่งเขิ่นเทียนไปหมายเข้าร่วมการทดสอบรอบที่ 2 ถึงกับมองด้วยสมองอื้ออึง! ตัวบัดซบเหล่านั้นเสียสติไปแล้วหรือไร? หรือพวกมันปัญญาอ่อน?! พวกมันไม่เพียงไม่ยืนมองรูปปั้น กระทั่งคุกเข่าคารวะ?!

"นี่พวกเจ้าไม่คิดไปทดสอบแล้วหรือ?" ซ่งเขิ่นเทียนกล่าวถามออกมา

“นายท่าน ครั้งหนึ่งเมืองของพวกเรากำลังจักถูกคลื่นทัพสัตว์อสูรทำลายล้างจนพินาศย่อยยับ  แต่มหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกเราด้วยเมตตา มิได้เรียกร้องหรือหวังสิ่งตอบแทนใดๆเลย  เขาช่วยชีวิตคนไว้มากกว่าพันล้านชีวิตแต่กลับมิคิดเสียเวลาอยู่รับคำขอบคุณของพวกข้าด้วยซ้ำ  พวกเราสืบรู้มาว่าท่านเป็นคนของเม้งก่า พวกเราจึงดั้นด้นเดินทางมานับ 300,000 ลี้เพื่อมาคารวะท่านเม้งก่า”

"ท่านประมุขน้อย...มิคิดเลยว่าท่านจักกระทำเรื่องราวดีงามไว้มากมายเช่นนี้" ซ่งเขิ่นเทียนกล่าวขึ้นมาขณะมองรูปปั้น ดวงตาเริ่มพร่ามัวเล็กน้อย

หลังจากนั้น ซ่งเขิ่นเทียนก็หันไปมองยังกลุ่มคนทั้งหลายที่เดินตามมาเพื่อไปทดสอบรอบที่ 2 "พวกเจ้าทั้งหมดถูกคัดออกแล้ว กลับไปซะ"

"อะไร?!" ในขณะที่ผู้หวังเข้าร่วมการทดสอบได้ยินคำกล่าวนี้ หนังศีรษะของพวกมันพลันชาด้านขึ้นมาทันใด นี่มันเกิดอันใดขึ้น? พวกมันมิได้แม้แต่ไปเข้าร่วมการทดสอบรอบ 2 เลยงั้นหรือ?! มันเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร?

"เอาล่ะ ส่วนเจ้าทั้ง 3 คนผ่านการทดสอบเข้าร่วมเม้งก่าแล้ว โปรดตามข้ามา"ซ่งเขิ่นเทียนมองไปยังผู้ที่คุกเข่าคำนับรูปปั้นทั้ง 3 คนพร้อมกล่าวคำออกมา และไม่คิดจะแยแสใดๆต่อกลุ่มคนโง่งมก่อนหน้าแม้แต่น้อย เตรียมพาทั้ง 3 เข้าไปทำเรื่องลงทะเบียนทันที

ทั้ง 3 คนที่คุกเข่ากราบรูปปั้นอยู่ก็อื้ออึงไม่แพ้กัน ไม่คิดเลยว่าพวกมันจะมีโอกาสเข้าร่วมเม้งก่าได้เพราะเรื่องเพียงเท่านี้?  นี่มิใช่มันง่ายเกินไปหน่อยหรือ?!

เปรี๊ยงงงงง!!!

ทันใดนั้นเองพลันบังเกิดเสียงระเบิดหนึ่งดังขึ้นจากด้านบนรูปปั้นอธิษฐานภาวนา

ซ่งเขิ่นเทียนที่กำลังจะเดินออกไป ชะงักร่างเอาไว้โดยพลัน ใบหน้าของมันแปรเปลี่ยนกลับกลาย ในขณะที่มันแหงนมองขึ้นไปยังรูปปั้นนั้น สองตาของมันพลันเบิกโพลงแทบถลนออกจากเบา ในแววตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

"ระ หรือว่า…?!"

ทันใดนั้นเสียงหนึ่งพลันดังก้องไปในอากาศ

“แม่งเอ๊ย! ในที่สุดพี่ประมุขก็เอาชนะไอการทดสอบบัดซบ ทรมานเหมือนตกนรกนั่นสักที! แม่งเอ๊ยเซลล์สมองพี่ตายไปกี่แสนล้านเซลล์วะเนี่ย โอ๊ยจะบ้า!กว่าจะหาวิธีออกจากสภาวะสับสน วกวนยังกับเขาวงกตบัดซบนั่นได้”

"พี่กลับมาแล้วววววว…!"

รีวิวผู้อ่าน