px

เรื่อง : Heavenly Curse ยอดเซียนเต๋า เขย่ายุทธภพ (นิยายแปล)
ตอนที่ 3 การกลับมา


ตอนที่ 3 การกลับมา

 

"กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง"

 

เสียงกระดิ่งที่เขาแขวนเอาไว้หน้าประตูดังขึ้นทันที ใจของมู่อี้เต้นระรัวขึ้นมา ขวานที่อยู่ในมือของเขาไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอุ่นใจขึ้นเลย เขารู้สึกได้ว่าที่ฝ่ามือของตนเองนั้นมีเหงื่อที่เย็นเยียบไหลออกมามากมาย 

 

เสียงกระดิ่งดังขึ้นเพียงครั้งเดียวก่อนจะเงียบไป มู่อี้คิดว่านี่อาจจะเป็นเพราะลมพัดเข้ามาหรือเปล่า 

 

ตอนที่เขากำลังจะออกไปตรวจสอบดูนั้น ก็มีวัตถุขนาดใหญ่ถูกโยนเข้ามาจากภายนอกวัดร้างทันที มันกระแทกกับพื้นอย่างรุนแรง

 

มู่อี้เข้าไปตรวจสอบดูใกล้ๆ สิ่งที่ถูกโยนเข้ามานั้นคือรูปปั้นของเทพเจ้า วันนี้มู่อี้พยายามเคลื่อนย้ายรูปปั้นชิ้นนี้ไปซ่อนแต่ด้วยขนาดและน้ำหนักของมันทำให้เขาใช้เวลาเคลื่อนย้ายรูปปั้นชิ้นนี้นานมาก ทำไมรูปปั้นถึงถูกโยนกลับเข้ามาที่นี่

 

ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาหาคำตอบ เพราะมีเงาสีดำรูปร่างสูงใหญ่กำลังตามเข้ามาภายในห้องโถงแห่งนี้

 

มู่อี้ได้เตรียมทุกอย่างเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วเขาดึงเชือกที่ติดตั้งเอาไว้โดยไม่คิดทันที

 

"ตึง!"

 

อีกด้านหนึ่งของประตูวัดร้างมีเสียงดังเกิดขึ้นมันเหมือนกับเสียงของอะไรบางอย่างที่ชนเข้าด้วยกัน ในค่ำคืนที่เงียบสงบแบบนี้เสียงที่เกิดขึ้นนั้นดึงดูดความสนใจของเงาสีดำนั้นได้เป็นอย่างดี

 

หลังจากเสียงของอะไรบางอย่างชนเข้าด้วยกันนั้นก็มีเปลวไฟที่ลอยขึ้นมาจากอ่างน้ำทันที จากนั้นเปลวไฟก็เคลื่อนตัวออกไปจนคล้ายกับอสรพิษไฟที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วไปทั่วห้องโถงแห่งนี้ทุกตำแหน่งที่อสรพิษไฟตัวนี้ผ่านไปจะมีเทียนถูกจุดขึ้นมา

 

ในขณะที่เงาดำมืดหันไปสนใจไฟที่ถูกจุดขึ้นมานั้น มู่อี้ก็อาศัยจังหวะนี้กำขวานในมือแน่นๆและกระโดดออกจากที่ซ่อนตัวทันที เขายกขวานขึ้นเล็งไปที่ศีรษะของเงาดำมืด

 

"ปัง!"

 

ขวานของเขากระแทกเข้าไปที่ไหล่ของเงาดำมืดอย่างจัง ในตอนแรกมู่อี้เล็งขวานเพื่อตัดศีรษะของศัตรูในทันที แต่ดูเหมือนว่าเงาดำจะสามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วจนทำให้การโจมตีของมู่อี้คลาดเคลื่อนไปโดนไหล่ของมันแทน 

 

เมื่อขวานสับลงไปที่ไหล่ของอีกฝ่ายนั้นมันให้ความรู้สึกเหมือนกับเขากำลังใช้ขวานสับต้นไม้

 

เงาดำมืดยกมือของมันขึ้น มู่อี้รู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งของมันในทันที มันใช้มือบดขยี้ด้ามขวานจนแตกอย่างง่ายดาย มู่อี้ต้องถอยหลังกลับไปหลายก้าวและเกือบล้มลงไปที่พื้น 

 

ในตอนนี้แม้ว่าอสรพิษไฟก็จุดเทียนทั่วทั้งห้องโถงไปได้เพียงแค่ครึ่งเดียวแต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ห้องโถงแห่งนี้สว่างไสวขึ้นมา 

 

"ท่านปู่หรอ?"

 

ในตอนนี้มู่อี้สามารถมองเห็นหน้าของเงาดำมืดได้อย่างชัดเจนและอดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง 

 

ในตอนนี้ผิวหนังของชายชราดูมันวาวราวกับโลหะ ตาของเขากลายเป็นสีขาวซีด ปากของเขาใหญ่มากขึ้นเผยให้เห็นฟันจำนวนมากที่อยู่ภายในปาก นอกจากสภาพร่างกายที่เปลี่ยนไปแล้วเขายังดูดุร้ายยิ่งกว่าเดิม

 

ไหล่ของชายชราที่ถูกขวานสับลงไปก่อนหน้านี้ไม่มีเลือดออกมาแม้แต่หยดเดียว

 

"ผีดิบ?" 

 

นี่คือความรู้สึกแรกเมื่อมู่อี้ได้เห็นชายชรา เขาเคยได้ยินชายชราพูดถึงเรื่องนี้แต่ก็คิดว่ามันเป็นเพียงเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งเท่านั้นและเขาไม่เคยคิดเลยว่าในโลกนี้จะมีผีดิบจริงๆ

 

แต่สิ่งที่ได้เห็นในคืนนี้ทำให้มู่อี้รู้ว่าเรื่องที่เขาได้ฟังมานั้นคือเรื่องจริง 

 

ตามที่ชายชราเคยบอกเขาเอาไว้นั้น การที่ศพจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นผีดิบนั้นต้องมีปัจจัยหลายๆอย่าง อย่างแรกเลยคือความแค้น ความกังวลอะไรบางอย่างกับใครสักคน และต้องถูกฝังในที่ร่มเงาไม่โดนแสงแดดเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 1 หรือ 2 เดือน จึงจะทำให้ศพกลายเป็นผีดิบ

 

และผีดิบที่เพิ่งจะถือกำเนิดขึ้นมานั้นไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่ามนุษย์ธรรมดาสักเท่าไหร่

 

แต่ในตอนนี้ท่านปู่ของเขาได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน มู่อี้จำได้ดีตอนที่ชายชรากำลังจะจากไป เขาจากไปพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า แล้วท่านปู่จะมีความแค้นหรือความกังวลใจได้อย่างไรกัน?

 

มันคงไม่มีประโยชน์ที่จะมาพูดอะไรในตอนนี้ ดูจากสายตาที่ปราศจากอารมณ์ใดๆของท่านปู่ที่อยู่ตรงหน้าเขา มู่อี้รู้ดีว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นไม่ใช่ท่านปู่อีกต่อไป

 

มู่อี้พยายามถอยกลับไปที่ใจกลางของห้องโถง ในตอนนี้เทียนทั้งหมดถูกจุดติดแล้ว เขาพยายามวิ่งหนีจากผีดิบ แต่ผีดิบเองก็ตามล่าเขาอย่างไม่ลดละ

 

มู่อี้ดึงผ้าของกระจกออกทั้งหมดออกมาพร้อมๆกัน ทันใดนั้นเองแสงจากกระจกทองแดงทั้ง7 บานที่สะท้อนแสงเทียนก็ส่องไปทางผีดิบทันที

 

"โฮกกก!" ผีดิบร้องคำรามออกมาด้วยความทุกข์ทรมาน ควันสีดำจำนวนมากลอยขึ้นมาจากร่างกายของมัน

 

ในตอนนี้มู่อี้หยิบขวดแก้วขึ้นมาและโยนเข้าไปใส่ผีดิบที่อยู่กลางห้องทันที 

 

"เพล้ง!"

 

ขวดแก้วแตกกระจายและเลือดสุนัขที่อยู่ภายในนั้นก็ไหลออกมาทันที 

 

เลือดสุนัขไม่ทำให้มู่อี้ผิดหวังมันทำให้ผีดิบเคลื่อนที่ช้าลง 

 

มู่อี้รีบหยิบยันต์ไล่ผีและยันต์ไล่ปีศาจออกมาจากในกระเป๋าเขาทันที เขาเริ่มท่องคาถาและขว้างยันต์ใส่ผีดิบ

 

ดูเหมือนว่าในตอนนี้จะมีอะไรบางอย่างผิดปกติและยันต์ทั้งสองชนิดของเขานั้นไม่ทำงาน มันลอยออกไปประมาณครึ่งเมตรและร่วงหล่นบนพื้นดิน 

 

ในตอนนี้ดูเหมือนว่าผีดิบจะสามารถหนีออกมาจากแสงที่ส่องจากกระจกทองแดงได้ มันเริ่มไล่ล่ามู่อี้อีกครั้ง

 

มู่อี้รู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาทันที ความสุขุมเยือกเย็นในใจของเขาได้หายไปหมดแล้ว เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่มีอายุ 14 ปีเท่านั้นและนี่ยังเป็นครั้งแรกที่เขาทำพิธีไล่ผีด้วยตัวเอง

 

นอกจากนี้ยังเป็นเพราะว่าเขามีความผูกพันอย่างลึกซึ้งกับท่านปู่ เมื่ออีกฝ่ายกลายเป็นผีดิบมันทำให้เขารู้สึกตกตะลึงยิ่งกว่ารู้สึกหวาดกลัวซะอีก

 

มู่อี้เหลือเพียงกระบี่ไม้ของเขาที่แขวนอยู่ที่เอว เขาจับด้ามกระบี่ไม้เอาไว้แน่นแล้วแทงไปที่ผีดิบในทันทีที่มันไม่ทันตั้งตัว ดูเหมือนว่ากระบี่ไม้เล่มนี้จะคุ้มค่าและไม่ทำให้มู่อี้ผิดหวัง เขาใช้กระบี่ไม้แทงผีดิบอย่างต่อเนื่องพร้อมกับหลบการโจมตีของผีดิบไปด้วย

 

มู่อี้ถอยไม่ได้อีกแล้วในตอนนี้ เขาได้ใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เตรียมไว้ไปหมดแล้วและมีแต่ต้องสู้ต่อไปเท่านั้น

 

มู่อี้หยิบยันต์ออกมาจากกระเป๋าของเขาและแปะมันลงไปบนร่างกายของผีดิบโดยตรง แต่น่าเสียดายที่ดูเหมือนว่าวิธีนี้จะไม่ได้ผลด้วยเหมือนกัน

 

ดูเหมือนว่าสิ่งที่ใช้ได้ผลมากที่สุดมีเพียงเลือดสุนัขเท่านั้น

 

แม้ว่าผีดิบจะเคลื่อนไหวได้เชื่องช้า แต่นิ้วมืออันแหลมคมของมันก็พร้อมที่จะทะลวงหัวใจของมู่อี้ถ้าหากว่าเขาหลบไม่ทัน

 

ในตอนที่มู่อี้คิดว่าเขาต้องตายแน่แล้วทันใดนั้นหน้าอกของเขาก็เปล่งแสงสีขาวออกมาทันทีตามด้วยความรู้สึกเจ็บปวดและร่างกายของเขาก็กระเด็นไปกระแทกกับเสาอาคารที่อยู่ด้านหลัง 

 

มู่อี้มองไปที่ผีดิบที่กำลังคุกเข่าอยู่ที่พื้นในตอนนี้ ดูเหมือนว่าดวงตาของผีดิบจะเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน มู่อี้หมดสติไปอีกครั้งเนื่องจากอาการบาดเจ็บและความเหนื่อยล้าของเขา

 

ในเช้าวันต่อมามู่อี้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความเจ็บปวดที่ศีรษะ ในตอนนี้ห้องโถงใหญ่เต็มไปด้วยสิ่งของมากมายที่กระจัดกระจายไปทั่วห้องแต่ผีดิบตัวนั้นหายไปแล้วและตัวเขาเองยังมีชีวิตรอดอยู่

 

มู่อี้ได้หมดสติไปถึง 2 ครั้งแต่ทำไมผีดิบตัวนี้ยังไม่ฆ่าเขา? มันมีเหตุผลอะไรด้วยหรอ? เกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เขาหมดสติไป?

 

หลังจากตื่นขึ้นมามู่อี้ก็ตัดสินใจไปตรวจสอบพื้นที่ด้านหลังวัดร้างแห่งนี้ทันที ตำแหน่งที่เขาฝังศพท่านปู่ของเขาเอาไว้นั้นถูกขุดขึ้นมาและโลงศพที่อยู่ในหลุมขนาดใหญ่ก็ถูกเปิดออกมาด้วยเช่นกัน สิ่งที่อยู่ในโรงศพนั้นมีเพียงศีรษะของรูปปั้นเทพเจ้าที่หายไปก่อนหน้านี้

 

มู่อี้กระโดดลงไปในหลุมศพเขากัดฟันและหยิบศีรษะของรูปปั้นเทพเจ้าขึ้นมาตรวจสอบ 

 

ศีรษะของรูปปั้นเทพเจ้านั้นมีน้ำหนักเบามาก มู่อี้พยายามตรวจสอบดูและเห็นว่ามันเหมือนกับไม้เนื้อแข็งที่ผุกร่อนไปแล้ว 

 

จากการสังเกตก่อนหน้านี้รูปปั้นเทพเจ้านั้นสร้างขึ้นมาจากวัสดุชิ้นใหญ่ซึ่งมีน้ำหนักมาก เขาต้องออกแรงเป็นจำนวนมากเพื่อที่จะลากรูปปั้นเทพเจ้าออกมาจากห้องโถง เมื่อเขาลองตรวจสอบดูนั้นรูปปั้นเทพเจ้าก็ไม่มีแม้แต่รอยแมลงกัดเลย อีกทั้งการผุกร่อนก็ไม่ได้เกิดขึ้น

 

ในเมื่อไม่รู้ว่าทำไมมู่อี้ก็เลิกสนใจมัน เขาโยนศีรษะของรูปปั้นเทพเจ้ากลับไปในโลงศพจากนั้นก็ก้มลงไปใช้นิ้วมือของเขาเคาะไปที่พื้นโลงศพ 

 

"ปัง ปัง!" "ปัง ปั้ง!"

 

รีวิวผู้อ่าน