px

เรื่อง : Heavenly Curse ยอดเซียนเต๋า เขย่ายุทธภพ (นิยายแปล)
ตอนที่ 22 สิ่งที่คิดอยู่ในใจ 


ตอนที่ 22 สิ่งที่คิดอยู่ในใจ 

 

บ่ายวันต่อมามีคนคนหนึ่งขึ้นมาที่วัดร้างบนภูเขาแห่งนี้และกลับลงไปเงียบๆ 

 

หลังจากที่มู่อี้ส่งคนคนนั้นลงเขาไปเขาก็ยิ้มขึ้นมาทันที "คิดว่าจะทนได้มากกว่านี้ ดูเหมือนคงได้แค่นี้สินะ"

 

มู่อี้พูดออกมาอย่างผ่อนคลายแต่สีหน้าของเขาไม่ได้ดูผ่อนคลายด้วยเลย 

 

นอกจากการต่อสู้กับเนี่ยนหนิวเอ้อร์และมารดาของนางก่อนหน้านี้มู่อี้ก็ไม่เคยมีประสบการณ์การต่อสู้จริงๆมาก่อนเลยโดยเฉพาะการต่อสู้กับวิญญาณ สำหรับยันต์สายฟ้านั้นมู่อี้พยายามเขียนมันขึ้นมาอีกหลายครั้งแต่ก็ไม่มีครั้งไหนที่เขาประสบความสำเร็จเลย ความสำเร็จครั้งที่ผ่านมาน่าจะเป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญ 

 

บางทีอาจเป็นเพราะว่าเขายกระดับการฝึกฝนทางจิตวิญญาณขึ้นมาได้จึงสามารถเขียนยันต์สายฟ้าออกมาได้สำเร็จ 

 

แต่ด้วยยันต์สายฟ้าและตะเกียงทองแดงที่อยู่ในมือของเขาในตอนนี้ แม้ว่ามู่อี้จะไม่ได้มีประสบการณ์การต่อสู้มากนักแต่เขาก็กล้าที่จะลองใช้พวกมันดูอีกครั้ง 

 

มู่อี้เปลี่ยนเสื้อผ้าและลงจากเขาไปเงียบๆ เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ก็เป็นเสื้อผ้าที่ซูจงซานมอบให้ก่อนหน้านี้เพราะว่ามู่อี้มีเพียงชุดคลุมสีขาวเพียงแค่ 2 ตัวเท่านั้นและเขาต้องสลับกันใส่ในแต่ละวัน 

 

แม้ว่าเนื้อผ้าจะหยาบไปสักหน่อยแต่คงไม่มีใครมาสังเกตเสื้อผ้าบนร่างกายของมู่อี้อย่างแน่นอน ดังนั้นมู่อี้จึงสวมหมวกเก็บเส้นผมของเขาไปด้วยเช่นกัน

 

ไม่อย่างนั้นแล้วหากเขาปล่อยผมและสวมชุดของนักพรตลัทธิเต๋าออกไปอาจจะทำให้เกิดความวุ่นวายได้และอาจจะทำให้ปัญหาที่ไม่จำเป็นเกิดขึ้นมากมาย

 

หลังจากพวกแมนจูเข้าปกครองและก่อตั้งราชวงศ์ชิงขึ้นมาเป็นเวลานับร้อยปี นอกจากบุคคลที่พิเศษบางคนแล้วประชาชนทุกๆคนต่างก็ต้องโกนผมครึ่งหน้าของตนเองออกหากใครไม่ปฏิบัติตามต้องมีโทษถึงประหารชีวิต (ชนเผ่าแมนจูได้เข้ามายึดครองแผ่นดินจีนและได้ออกคำสั่งบังคับเรื่องทรงผมให้กับชายชาวฮั่น โดยทรงผม คือ โกนศีรษะหน้าไว้เปียหลังหรือที่มักเรียกว่า “ทรงแมนจู”)  

 

มู่อี้แต่งกายด้วยชุดที่ไม่โดดเด่นจนเกินไป หลังจากได้เข้าไปในเมืองแล้วเขาก็เดินไปรอบๆตลาดก่อนจากนั้นก็เดินกลับมาที่ประตูด้านหลังของบ้านตระกูลซู มีใครบางคนกำลังรอคอยเขาอยู่ในตอนนี้ 

 

"ท่านชาย มาถึงแล้วหรอขอรับ" ชายคนนี้คือคนเดียวกันที่ขึ้นไปบนภูเขาก่อนหน้านี้ เมื่อได้เห็นมู่อี้เขาก็แสดงความเคารพออกมาทันที 

 

"ขอรับ ชายคนนั้นมาที่นี่แล้วหรือยัง?" มู่อี้พยักหน้าและถามกลับไปเบาๆเพื่อไม่ให้คนนอกได้ยิน  

 

"ชายคนนั้นและทุกๆคนกำลังรอคอยท่านอยู่ภายในสวนแล้วขอรับ" คนรับใช้คนนั้นตอบกลับมาทันที

 

"แล้วท่านหญิงชราเป็นอย่างไรบ้างขอรับ?" มู่อี้ยังคงถามต่อไป

 

"เขาได้ปลุกให้ท่านหญิงชราตื่นขึ้นมาแล้วขอรับ แต่ชายคนนั้นบอกว่าเขาจะรอจนกว่าค่ำคืนนี้จะมาถึง หลังจากวิญญาณร้ายถูกทำลายไปท่านหญิงชราก็ค่อยๆกลับมาหายดีขอรับ" คนรับใช้คนนั้นตอบกลับมาพร้อมกับนำทางเข้าไปในบ้านทันที

 

ตั้งแต่ต้นจนถึงเข้ามาที่นี่คนรับใช้คนนั้นก้มศีรษะลงและตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่สุภาพอ่อนน้อมอยู่เสมอแต่มู่อี้ก็รู้ว่าคนรับใช้ที่ดูธรรมดาและมีอายุประมาณ 30 ปีคนนี้น่าจะเป็นหนึ่งในคนที่ซูจงซานไว้ใจได้มากที่สุดและเขาเองก็วางตัวในตระกูลซูด้วยความต่ำต้อยอยู่เสมอ

 

ยิ่งไปกว่านั้นพลังในร่างกายของเขาไม่ได้ถือว่าต่ำเลย แม้มูยี่จะมี 3 คนหรือ 5 คนก็คงเอาชนะเขาได้ยากอย่างแน่นอน

 

มู่อี้แสยะยิ้มในใจทันทีเมื่อได้ยินคำตอบ ดูเหมือนว่าหมาป่าจะปรากฏตัวขึ้นมาแล้วและยังรีบมาที่นี่ภายในเวลาเพียงแค่วันเดียว เขารู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อยเพราะชายคนนั้นอาจโกรธแค้นที่เขาไปทำลายสมบัติที่กำลังจะมาอยู่ในมือ

 

สำหรับหญิงชรานี่ถือเป็นการฆาตกรรมโดยเจตนา หลังจากที่เขาจับเนี่ยนหนิวเอ้อร์ได้แล้วเขาอาจจะทำการรักษาให้กับหญิงชราเพราะเป้าหมายจริงๆของเขาก็คือการจับเนี่ยนหนิวเอ้อร์ไม่ใช่เพื่อฆ่าคน 

 

คนรับใช้พามู่อี้มาที่กระท่อมเล็กๆอันเงียบสงบที่อยู่ภายในสวนหลังบ้าน ที่นี่เงียบสงบมากและปกติแล้วจะห้ามไม่ให้ใครเข้ามา 

 

แต่ในตอนนี้มู่อี้ต้องรอต่อไป เขาต้องรอจนถึงตอนค่ำเพื่อให้ชายคนนั้นเริ่มพิธีกรรมและเมื่อถึงตอนนั้นเขาจะร่วมมือกับเนี่ยนหนิวเอ้อร์เพื่อฆ่าชายคนนั้น!

 

ตามคำที่ท่านปู่ได้บอกเขาเอาไว้อยู่เสมอ ไม่ว่าจะทำอะไรหรือไม่ทำอะไรก็ตามอย่าทำให้ตนเองต้องมีปัญหาภายหลัง 

 

เมื่อตัดสินใจเป็นศัตรูกันแล้วก็ต้องถอนรากถอนโคนทั้งหมด มู่อี้ยึดถือในความคิดนี้อยู่เสมอและไม่คิดว่ามันผิดปกติ แม้ว่าก่อนหน้านี้เจิ้งสือซงอาจจะคิดร้ายต่อเขาแต่ก็ยังไม่ได้ลงมือ ดังนั้นเขาจึงกลั่นแกล้งเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

 

ถ้าไม่ใช่เพราะการเกลี้ยกล่อมของซูหยิงหยิง มู่อี้คงไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ แน่นอนว่ามันเป็นเพราะเจิ้งสือซงไม่ได้ทำอะไรเขาด้วยเช่นกันไม่อย่างนั้นแล้วแม้ว่าจะเป็นซูหยิงหยิงเขาก็คงไม่ไว้หน้าอย่างแน่นอน

 

เมื่อถึงตอนเย็นก็มีคนนำอาหารมาให้เขาและจากนั้นก็เป็นซูจงซานที่ตามมาขอโทษที่ไม่ได้ออกมาต้อนรับเพราะไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่นและหวังว่ามู่อี้จะเข้าใจเรื่องนี้ 

 

ในเรื่องนี้มู่อี้รู้สึกเพียงว่าซูจงซานมีจิตใจที่มั่นคงและไม่เพิกเฉยต่อเรื่องนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังไม่สนใจเรื่องอื่นๆตราบใดที่มันทำให้เป้าหมายของเขาสำเร็จได้

 

ในเวลาเดียวกันนั้นเจิ้งสือซงก็เดินออกมาจากห้องด้วยความโกรธ

 

เจิ้งสือซงไม่ใช่คนโง่ ในทางกลับกันเขารู้ดีเรื่องความชั่วร้ายของจิตใจมนุษย์ยิ่งกว่าใครและเขายังพอคาดเดาได้ว่าใจของแต่ละคนนั้นเป็นอย่างไร แน่นอนว่าคนอย่างเขาย่อมสามารถปรับตัวไปตามสถานการณ์ได้อย่างดีเพื่อหลอกให้คนอื่นๆตายใจ

 

ถ้าหากว่ามู่อี้สามารถรักษาท่านย่าของเขาได้จริงๆ เช่นนั้นแล้วชายหนุ่มคนนี้จะกลายเป็นผู้มีบุญคุณของท่านปู่ของเขาและตระกูลซู เขาย่อมไม่อาจทำให้มู่อี้ต้องขุ่นเคืองใจได้ แม้ว่ามู่อี้จะกลายเป็นผู้มีบุญคุณของท่านปู่แต่ในใจของเขาก็ยังคงรู้สึกว่ามู่อี้คือพวกนักต้มตุ๋นอยู่ดี

 

เพราะไม่ว่ามู่อี้จะรักษาท่านย่าของเขาอย่างไร เขาก็ได้รู้จากปากของซูหยิงหยิงและไม่ได้เห็นด้วยตาของตัวเองเลย มู่อี้เก่งกาจมากเพียงใดนั้นเขาไม่มีทางรู้ได้เลย สิ่งเดียวที่เขารู้ก็คือมู่อี้ล้มเหลวในการรักษาไม่แตกต่างอะไรจากพวกนักบวชที่มาหลอกลวงก่อนหน้านี้

 

ซูจินหลุนและซูหยิงหยิงก็ไม่ได้พูดอะไรในคืนนั้น สีหน้าของทั้งสองคนดูเป็นกังวลแม้ว่าจะอยู่ในสวนหลังบ้านด้วยกันแต่ทั้งสองคนก็บอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นพวกเขาเองก็ไม่ทราบแน่ชัดว่ามันคืออะไร

 

เมื่อเป็นแบบนี้เจิ้งสือซงก็คิดว่ามู่อี้ต้องเป็นพวกนักต้มตุ๋นอย่างแน่นอน

 

ดังนั้นหลังจากได้เห็นท่านนักพรตอีกคนที่เข้ามาในตระกูลวันนี้และสามารถทำให้ท่านย่าของเขาตื่นขึ้นมาได้ทันที เจิ้งสือซงก็รู้สึกว่าชายคนนี้จะต้องเป็นนักพรตเต๋าที่เก่งกาจอย่างแท้จริงแน่นอนและถามคำถามที่อยู่ในใจของเขาออกไป  

 

หลังจากได้ยินชายคนนั้นบอกว่าการใช้เลือดของลูกหลานของหญิงชรามาเป็นหมึกในการเขียนยันต์เป็นแค่เรื่องตลกเท่านั้น เจิ้งสือซงก็รู้ทันทีว่ามู่อี้จะต้องตั้งใจกลั่นแกล้งเขาอย่างแน่นอนแต่เขาก็ไม่ได้เชื่อคำพูดของชายคนนี้เสียทั้งหมด 

 

แต่เมื่อเข้ามาในห้องที่มู่อี้ใช้ความพิธีกรรมก่อนหน้านี้เจิ้งสือซงก็เห็นคราบเลือดที่เปื้อนอยู่บริเวณกระถางดอกไม้ เขาก็เข้าใจได้ทันทีว่ามู่อี้จงใจกลั่นแกล้งเขาจริงๆและอีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องใช้เลือดของเขาด้วยซ้ำแต่ตั้งใจทำให้เขาต้องเจ็บปวด

 

หลังจากได้รู้เรื่องนี้สายตาของเขาก็แสดงความโกรธออกมาทันที เขาอยากจะไปฆ่ามู่อี้ตั้งแต่ตอนนี้เลยด้วยซ้ำ

 

แต่ในตอนนี้เขาต้องยับยั้งความโกรธของตนเองเอาไว้ก่อน ไม่ใช่เพราะว่าเขามีความเมตตาแต่เขารู้ว่านี่คือช่วงเวลาที่สำคัญของตระกูลและมันไม่เหมาะสมที่เขาจะลงมือในตอนนี้ ร่างกายของเขาก็ยังคงอ่อนแอและยังต้องพักผ่อนอีกสัก 2-3 วัน หลังจากผ่านช่วงเวลานี้ไปแล้วและท่านย่าของเขากลับมาหายเป็นปกติ เมื่อถึงตอนนั้นคงไม่มีใครสนใจมู่อี้อีกต่อไปและนั่นคือเวลาแก้แค้นของเขา 

 

ไม่ว่าเจิ้งสือซงจะคิดอะไรอยู่แต่มู่อี้ก็ไม่สนใจ สิ่งที่เขาต้องกลัวมีเพียงตระกูลซูเท่านั้นไม่ได้หวาดกลัวเจิ้งสือซงเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าตะกูลของเจิ้งสือซงจะยิ่งใหญ่มากแค่ไหนแต่ถ้าหากมอบเวลาให้มู่อี้มากพอแม้แต่ตระกูลซูเขาก็ไม่รู้สึกหวาดกลัวอีกต่อไป 

รีวิวผู้อ่าน