px

เรื่อง : Heavenly Curse ยอดเซียนเต๋า เขย่ายุทธภพ (นิยายแปล)
ตอนที่ 37 ฉากฆาตกรรม


ตอนที่ 37 ฉากฆาตกรรม

 

เผิงซ่งหลายจ้องมองมาที่มู่อี้ แม้ว่าซูจงซานจะเล่าเรื่องดีๆเกี่ยวกับมู่อี้ให้เขาฟังหลายๆเรื่อง แต่มู่อี้ก็ยังเด็กมากและด้วยอายุที่ยังน้อยทำให้เขาดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือ

 

แน่นอนว่าเผิงซ่งหลายไม่โง่พอที่จะพูดสิ่งที่เขาเป็นกังวลออกมา ยิ่งไปกว่านั้นมู่อี้เป็นคนที่แก้ไขสถานการณ์อันเลวร้ายของตระกูลซูได้และบางทีปัญหาของเขาก็อาจได้รับการแก้ไขเช่นกัน ตอนนี้ไม่มีไหนที่ดีกว่าการให้มู่อี้ลองทำดูอีกแล้ว แม้ว่ามันจะล้มเหลวก็คงจะไม่เป็นไร

 

"เถ้าแก่เผิง ถ้าท่านไม่ว่าอะไร โปรดพาข้าไปดูศพได้ไหมขอรับ" มู่อี้กล่าว เขารู้ว่าเผิงซ่งหลายคิดอย่างไรอยู่แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ เขามาที่นี่เพื่อพบหน้าซู่จงซาน นอกจากนี้หากมีคนประพฤติตนไม่ดีต่อมู่อี้ซูจงซานคงไม่นิ่งเฉยอย่างแน่นอน

 

"ได้สิ ท่านนักพรตเต๋าโปรดตามข้ามา" แม้ว่าเผิงซ่งหลายไม่ต้องการเห็นศพลูกเขยของเขาที่ถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม แต่เขาก็รู้ว่าในฐานะผู้นำตระกูลเขาจำเป็นต้องไปกับมู่อี้

 

เมื่อเห็นมู่อี้และคนอื่นๆเดินเข้ามา ทั้งสามที่อยู่ในห้องก็ยืนขึ้นพร้อมกันในหมู่คนธรรมดาพวกเขาเป็นบุคคลที่มีเกียรติและน่าเกรงขาม แต่กับตระกูลเผิงพวกเขาต้องแสดงความเคารพนับถือเพราะลูกเขยคนโตของเผิงซ่งหลายเป็นหัวหน้าของพวกเขาและถือเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งในมณฑลแห่งนี้

 

ผู้ชันสูตรศพเป็นอาชีพที่มีเกียรติเพราะเป็นคนของราชสำนัก แต่ถ้าพูดอย่างตรงไปตรงมามันก็คืองานชั้นต่ำ แม้ว่าในตอนนี้จะอยู่ในปลายยุคราชวงศ์ชิงแล้วแต่ในช่วงเวลานี้นี้ผู้คนก็ยังคงชื่นชมผู้ที่มีการศึกษาสูงเพราะผู้ที่สามารถทำงานกับราชสำนักได้ล้วนแต่เป็นนักปราชญ์ทั้งสิ้น 

 

"ขอขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของพวกเจ้า ท่านผู้นี้คือนักพรตเต๋ามู่อี้ซึ่งข้าเป็นผู้เชิญเขามา หลังจากนี้เขาอาจจะมีคำถามสำหรับพวกเจ้า" เผิงซ่งหลายพูดหลังจากพยักหน้าให้กับทั้งสามและเชิญมู่อี้เข้าไปในห้องที่ศพถูกเก็บเอาไว้

 

กลิ่นในห้องแย่มาก นอกจากกลิ่นของศพแล้วยังมีกลิ่นเหม็นอับในอากาศ โชคดีที่ตอนนี้เป็นฤดูหนาว ถ้าเป็นฤดูร้อนศพคงจะเน่าไปแล้วแม้ว่าเวลาจะผ่านไปเพียงแค่วันเดียวก็ตามโดยเฉพาะอย่างยิ่งศพที่ถูกลอกหนังจนหมดเช่นนี้

 

ผู้ชันสูตรศพเปิดผ้าขาวที่คลุมร่างกายของศพออก เผิงซ่งหลายและซูจงซานเบือนหน้าหนีไปทันที มีเพียงมู่อี้ ซูจินหลุน และผู้ชันสูตรศพเท่านั้นที่จ้องมองไปที่ศพ

 

ผู้ชันสูตรศพเคยเห็นศพมามากมายดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกอะไร แต่เนื่องจากซูจินหลุนต้องการที่จะพิสูจน์ตัวเองกับมู่อี้ แม้ว่าใบหน้าของเขาจะซีดแต่เขาก็ยังบังคับตัวเองให้มองดูศพ

 

เมื่อมู่อี้มองศพเขาก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที ศพถูกปกคลุมไปด้วยเลือดแห้งและสามารถเห็นกล้ามเนื้อในร่างกายได้อย่างชัดเจน ไม่มีร่องรอยบาดแผลใดๆบนร่างกาย มีเพียงดวงตาของศพที่อยู่นอกเบ้าตาและใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเลือด มันช่างน่ากลัวจริงๆ

 

ตอนนี้มู่อี้ค่อนข้างเข้าใจว่าทำไมลูกสาวคนเล็กของเผิงซ่งหลายจึงกลัวจนเกือบจะเสียสติเมื่อเธอเห็นสิ่งนี้ การตื่นขึ้นมาและพบว่าผู้ที่นอนอยู่ข้างๆเป็นศพก็น่ากลัวอยู่แล้ว แต่การตื่นขึ้นและพบว่าสามีที่นอนอยู่ข้างๆกลายเป็นศพที่อยู่ในสภาพถูกลอกหนังทั้งหมดเช่นนี้ดูเลวร้ายยิ่งกว่าเดิมมาก

 

"ท่านหมอ พวกท่านพบสิ่งที่น่าสงสัยในศพนี้บ้างหรือเปล่า?" มู่อี้ถามผู้ชันสูตรศพ ท้ายที่สุดนี่คืองานที่ผู้ชันสูตรศพเชี่ยวชาญและมู่อี้ไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความโหดร้ายของฆาตกร

 

"อย่าเรียกข้าว่าท่านหมอเลย ท่านนักพรตเต๋าโปรดเรียกข้าว่าซ่งฉีหรือผู้เฒ่าซ่งเถอะขอรับ" ซ่งฉีพูดด้วยความตกใจ เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับซากศพและแม้แต่สมาชิกในครอบครัวของเขาก็ไม่เคารพเขาเช่นนี้

 

แม้ว่าเขาจะยังไม่รู้จักตัวตนของมู่อี้ แต่การที่เผิงซ่งหลายปฏิบัติต่อเขาด้วยความสุภาพนอกจากนี้ยังมีซูจงซานที่เป็นคนใหญ่คนโตยืนอยู่ข้างๆแสดงว่ามู่อี้จะต้องเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงอย่างแน่นอน

 

"ท่านสุภาพเกินไปแล้ว ท้ายที่สุดเรามีอาชีพต่างกัน ข้าไม่มีความรู้ด้านการชันสูตรดังนั้นข้าจึงต้องขอคำแนะนำจากท่าน เพราะท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้จึงเป็นธรรมดาที่ข้าจะต้องให้เกียรติท่าน" มู่อี้พูดและยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาไม่เคยคิดเลยว่าการเป็นผู้ชันสูตรศพเป็นอาชีพที่ต้อยต่ำ นอกจากนี้เขายังเคารพและชื่นชมคนเหล่านี้

 

หลังจากได้ฟังสิ่งที่มู่อี้พูดออกมา ซ่งฉีก็รู้สึกซาบซึ้งและดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ มันหายากที่ใครบางคนยังคงมองเขาเช่นนี้ แน่นอนว่าเขาจะไม่พูดความรู้สึกที่มีอยู่ในใจออกมาเพราะคิดว่ามันอาจกลายเป็นเรื่องตลก

 

เมื่อเผิงซ่งหลายได้ยินสิ่งที่มู่อี้พูด เขารู้สึกตกตะลึงอย่างมากและความรู้สึกที่มีต่อมู่อี้ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลัน แม้ว่าเขาจะไม่เห็นด้วยกับคำพูดของมู่อี้แต่คำพูดเหล่านี้สามารถบอกได้ว่ามู่อี้เป็นผู้ที่มีจิตใจกว้างขวางอย่างมากและคนเช่นนี้มักจะประสบความสำเร็จในชีวิต

 

มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของซูจงซาน เขารู้สึกเลื่อมใสในตัวมู่อี้เป็นอย่างมาก เขารู้สึกไม่ผิดหวังที่มู่อี้เป็นแขกคนสำคัญของตระกูลซูและคิดไม่ผิดที่ให้ซูจินหลุนสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับมู่อี้

 

เขาเข้าใจตัวตนของมู่อี้และรู้ความสามารถของเขาเป็นอย่างดี

 

"ท่านักพรตเต๋ายกย่องข้าเกินไปแล้ว ถ้าท่านมีคำถามใดๆได้โปรดอย่าลังเลที่จะถามข้าเลย" ซ่งฉีกล่าว เขาอยู่ในวัย 47 ปีซึ่งในยุคนี้ถือว่ามีอายุค่อนข้างมากแล้ว ซ่งฉีสูดหายใจเข้าลึกๆและพยายามที่จะสงบสติอารมณ์เอาไว้

 

"เอาล่ะ ท่านมั่นใจไหมว่าเขาถูกฆ่าตายหลังจากถูกถลกหนัง?" มู่ยี่พยักหน้าและถามโดยตรง

 

"ข้ามั่นใจขอรับ ท่านนักพรตเต๋าโปรดดูกล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาจะเห็นว่ามันตึง ดวงตาที่เกือบจะหลุดออกมาจากเบ้าและเต็มไปด้วยเลือด นอกจากนี้กล้ามเนื้อบริเวณแขนและต้นขาของเขาบิดเบี้ยวอย่างเห็นได้ชัดและที่เอ็นร้อยหวายของเขาส่วนใหญ่จะคลายตัวเป็นเพราะกล้ามเนื้อของเขาเย็นตัวลงอย่างรวดเร็วหลังจากออกแรงขยับเขยื้อนตัวมากเกินไป แต่กล้ามเนื้อมือและเท้าจะแตกต่างกันเนื่องจากอุณหภูมิของร่างกายที่แตกต่างกัน"

 

"และท่านลองดูที่นี่ นิ้วของเขาได้รับบาดเจ็บ เขาเป็นช่างฝีมือที่มีทักษะสูงและคนเหล่านี้ใส่ใจงานของตนเองมากกว่าสิ่งอื่นใด นิ้วของพวกเขาเปรียบเสมือนเครื่องมือที่สำคัญพวกเขาจึงดูแลพวกมันเป็นอย่างดี ดังนั้นเขาควรได้รับบาดเจ็บที่นิ้วหลังจากที่เขาเสียชีวิตเท่านั้น"

 

"นอกจากนี้จากร่างของเขาแทบไม่มีร่องรอยการถูกตัดด้วยมีดดาบราวกับว่าผิวหนังของเขาถูกลอกด้วยมือ นี่คือสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับชายชราผู้นี้จะเข้าใจได้" ซูฉีอธิบายอย่างละเอียดและในที่สุดก็ตั้งคำถามที่เขาสงสัย

 

เพราะปกติหากไม่ใช้มีดตัดผิวหนังทีละแผ่นก็จะไม่สามารถลอกผิวหนังมนุษย์ด้วยมือได้ เว้นแต่ ...

 

มู่อี้รับฟังรายละเอียดทั้งหมดแล้วพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อจินตนาการถึงฉากการฆาตกรรมที่น่าสยดสยอง ทันใดนั้นทัศนวิสัยของมู่อี้ก็เริ่มเบลอและสภาพแวดล้อมรอบๆตัวเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป

 

ตอนนี้เขาอยู่ในห้องมืดและมีโต๊ะที่มีแสงเทียนริบหรี่ในความมืด เขาอยู่บนเตียงที่ชุ่มไปด้วยเลือดและมีร่างสีดำยืนอยู่เหนือตัวเขา

 

เขากำลังทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดอันแสนสาหัสและร่างกายกำลังดิ้นไปมาอยู่บนเตียง แต่เขาไม่สามารถส่งเสียงร้องออกมาแม้แต่น้อย นอกจากนี้ยังมีผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังหลับสนิทอยู่ข้างๆเขาโดยที่นางไม่สามารถรับรู้สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นได้เลย

 

หลังจากฆาตกรลอกผิวหนังเสร็จเรียบร้อยก็ใช้เวลาในการชื่นชมผลงานชิ้นเอกของตนเองอยู่ครู่หนึ่งด้วยความพึงพอใจ จากนั้นเขาก็แหย่นิ้วเข้าไปในหัวใจของตนเองแล้วดึงนิ้วเปื้อนเลือดออกมาจากนั้นก็ค่อยๆ เลียเลือดที่อยู่บนปลายนิ้วของเขา

 

ทันใดนั้นฆาตกรก็เงยหน้าขึ้นและมีดวงตาคู่หนึ่งที่ไม่มีสีจ้องมองผ่านความมืด

รีวิวผู้อ่าน