px

เรื่อง : Heavenly Curse ยอดเซียนเต๋า เขย่ายุทธภพ (นิยายแปล)
ตอนที่ 42 ความจริงใกล้ปรากฏ


ตอนที่ 42 ความจริงใกล้ปรากฏ 

 

เผิงซ่งหลายและภรรยาของเขาไม่เคยเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้ามาก่อนและทำได้เพียงตกตะลึงเท่านั้น โชคดีที่เขารู้ว่ามู่อี้ไม่ได้ทำร้ายลูกสาวของเขา กลับกันแสงสีขาวที่เกิดขึ้นนั้นทำให้จิตวิญญาณของลูกสาวของเขาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด 

 

แสงสีขาวหายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อมองไปยังลูกสาวคนเล็กของเผิงซ่งหลาย สีหน้าของนางยังคงซีดเซียวและผมของนางยังคงยุ่งเหยิง 

 

"นี่มันเวทมนตร์" เผิงซ่งหลายพึมพำขึ้นมาทันที

 

นอกจากคำว่าเวทมนตร์แล้วเขาก็นึกถึงอย่างอื่นไม่ออกเลยนอกจากนี้มันยังทำให้ลูกสาวของเขาดูดีขึ้นอย่างทันตาเห็น ยิ่งเป็นแบบนี้เขายิ่งรู้สึกหวาดกลัวมู่อี้มากยิ่งขึ้น ในเวลาเดียวกันเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมซูจงซานจึงประเมินมู่อี้เอาไว้สูงมาก เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นคนที่มีความสามารถอย่างแท้จริงไม่อาจดูถูกได้ด้วยวัยของเขา

 

ภรรยาของเผิงซ่งหลายก็รู้สึกมีความสุขด้วยเช่นเดียวกัน นางไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้มันเกิดเวทมนตร์อะไรขึ้น รู้แต่เพียงว่าลูกสาวของนางจะต้องรอดเท่านั้น

 

ตอนนี้ลูกสาวของนางไม่ใช่ตัวคนเดียวอีกต่อไปแต่ยังมีเด็กในท้องอีกด้วย ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นอาจจะสูญเสียทั้งสองชีวิต ลูกเขยของนางก็ตายไปแล้วและนางไม่อยากเห็นลูกสาวของตนเองต้องตามเขาไปด้วย 

 

"ชายชราผู้นี้ขอขอบคุณท่านมากจริงๆที่ช่วยลูกสาวข้าเอาไว้ได้ สำหรับความดีในครั้งนี้ตระกูลเผิงของข้าจดจำเอาไว้ในใจ" เผิงซ่งหลายรีบลุกขึ้นมาและพูดขอบคุณมู่อี้ด้วยน้ำเสียงสุภาพ

 

คำพูดของเขาอาจจะฟังดูเยินยออีกฝ่ายมากเกินไปหน่อยแต่มันก็มาจากใจของเขาจริงๆ

 

"ถ้าหากเถ้าแก่เผิงอยากจะขอบคุณ ก็ขอบคุณท่านผู้อาวุโสซูเถอะขอรับ" มู่อี้ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยจากนั้นก็มองไปยังหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียง 

 

หญิงสาวคนนี้ดูเหมือนคนที่มีอายุประมาณ 20 ปี แม้ว่านางจะยังไม่ได้สติในตอนนี้แต่ความงามของนางก็ไม่อาจซ่อนเร้นเอาไว้ได้ ถึงแม้นางจะไม่ได้งดงามเท่าซูหยิงหยิงแต่ก็แตกต่างกันไม่มากนัก หรืออาจจะพูดได้ว่าทั้งสองคนงดงามกันคนละแบบ

 

ในตอนนี้ราวกับว่านางกำลังฝันร้ายอยู่และตื่นขึ้นมาทันที

 

สิ่งแรกที่นางได้เห็นนั่นก็คือมารดาของนางที่ยืนอยู่ใกล้ๆเตียงนอนด้วยสีหน้าที่ดูกังวลจากนั้นนางก็ร้องไห้ออกมา

 

เมื่อเห็นแบบนี้มู่อี้ก็เดินออกมารออยู่ที่หน้าห้องพร้อมกับเผิงซ่งหลายทันที

 

พูดตามตรงหญิงสาวคนนี้ไม่ได้มีความชั่วร้ายอยู่หรือพลังหยินที่รุนแรงภายในร่างกายเลย นางก็แค่ตกอยู่ในความกลัวมากจนไม่อาจหลุดพ้นออกมาจากฝันร้ายของตนเองได้ 

 

ยันต์สะกดวิญญาณของเขานั้นส่งผลต่อทั้งภูตผีและจิตวิญญาณ แม้แต่ฝันร้ายก็ช่วยขจัดออกไปได้ นี่คือประโยชน์ของยันต์สะกดวิญญาณ โชคดีที่มู่อี้มีความก้าวหน้าในด้านการฝึกฝนจิตใจของเขา เขาจึงสามารถใช้ยันต์สะกดวิญญาณนี้ได้อย่างง่ายดาย

 

ยันต์สะกดวิญญาณนี้ในสายตาของคนธรรมดาอาจจะเป็นสิ่งล้ำค่าแต่สำหรับมู่อี้นั้นมันคือสิ่งที่เขาสามารถสร้างขึ้นมาด้วยตนเองได้ 

 

แต่ถึงอย่างนั้นมู่อี้ไม่ได้ใช้งานยันต์อย่างทิ้งขว้าง เพราะไม่ว่ายังไงยันต์ก็ถือเป็นของหายากและมีค่ามากก่อนหน้านี้เผิงซ่งหลายก็ดูไม่ค่อยเชื่อมั่นในตัวเขาสักเท่าไหร่ ดังนั้นถ้าหากไม่ใช่เพราะซูจงซานเป็นผู้ที่ออกหน้าเชิญ เขาคงไม่ลงมาจากภูเขาและเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้อย่างแน่นอน 

 

แม้ว่าจะยังไม่ได้เห็นตัวฆาตกรมู่อี้ก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ที่อยู่ในเส้นทางของการบ่มเพาะและระดับของเขาก็ไม่ได้อ่อนแอเลย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือจิตใจที่โหดเหี้ยมของฆาตกรผู้นี้

 

ดังนั้นถ้าหากไม่ใช่เพราะซูจงซานเป็นผู้ร้องขอ มู่อี้คงไม่เข้ามาข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน

 

ไม่ว่ายังไงเขาก็ผ่านประสบการณ์มามากมายในชีวิต บางเรื่องเขาก็อาจจะช่วยเหลือได้แต่เขาไม่ใช่คนที่จะเอาชีวิตของตัวเองไปเสี่ยงกับเรื่องไร้เหตุผลอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงไม่สนเลยว่าใครจะขอบคุณเขาหรือหัวเราะเยาะเขา

 

มู่อี้ไม่ได้เกิดมาเพื่อเส้นทางแห่งการต่อสู้ แผลเก่าที่อยู่บนหน้าอกของเขายังคงเจ็บปวดอยู่เสมอทุกครั้งที่เขาคิดถึงมัน มันยังเป็นประสบการณ์ที่ทำให้เขาเข้าใจได้ทันทีว่าการเป็นคนดีใช่ว่าจะได้รับรางวัลตอบแทนเสมอไป

 

นั่นเป็นตอนที่มู่อี้อายุประมาณ 10 ขวบ ในตอนที่เขาเห็นขอทานกำลังเดินอย่างหิวโหยอยู่นั้นเขาก็มอบซาลาเปาของตนเองให้กับขอทานคนนั้น แต่เขาก็ไม่คาดคิดเลยว่าขอทานคนนั้นยังคงต้องการปล้นทรัพย์ของเขาหลังจากที่ทานซาลาเปาเสร็จ ในตอนที่เขาพยายามขัดขืนนั้นขอทานคนนั้นก็พยายามฆ่าเขา

 

ถ้าไม่ใช่เพราะว่าท่านปู่เข้ามาช่วยเหลือได้ทันเวลา เขาคงจะตายไปแล้วในตอนนั้น

 

นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมามู่อี้ก็ไม่เคยแสดงความเมตตาอย่างไร้เหตุผล ไม่ใช่ว่าหัวใจของเขาเย็นชาแต่เขาใช้ความเย็นชาเคลือบหัวใจของตนเองเอาไว้เพื่อเป็นการป้องกัน

 

ในขณะที่เขากำลังนั่งรออยู่ที่ห้องรับแขกนั้น ลูกสาวคนเล็กของเผิงซ่งหลายก็เดินออกมาพร้อมกับแม่ของนาง เห็นได้ชัดว่าในตอนนี้หญิงสาวได้หวีผมและแต่งตัวใหม่แล้ว แม้ว่าสีหน้าของนางยังคงซีดเซียวแต่ก็มีดอกไม้ที่ประดับอยู่บนศีรษะของนาง ดอกไม้เล็กๆสีขาวนี้ทำให้เสน่ห์เย้ายวนใจของนางเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

 

"เผิงมี่ ทำความเคารพท่านนักพรตเต๋า ขอบคุณที่ท่านช่วยชีวิตข้าเอาไว้" ลูกสาวคนเล็กของเผิงซ่งหลายเดินเข้ามาในห้องรับแขก นางโค้งคำนับมู่อี้พร้อมกับมอบรางวัลตอบแทนให้

 

ในตอนนี้นางเป็นหญิงหม้ายที่รอดชีวิตมาได้หลังจากที่สามีของตัวเองตายไปแล้ว

 

"ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ก็ได้ขอรับ แต่ข้าอยากถามคำถามท่านสักสองสามข้อ" มู่อี้พูดอย่างตรงไปตรงมาทันที

 

"ท่านนักพรตเต๋าโปรดถามมาได้เลยเจ้าค่ะ" เผิงมี่ตอบกลับมาทันที

 

"สามีของท่านมีอะไรที่พิเศษกว่าคนอื่นหรือไม่?" มู่อี้ถามตอบมาตรงๆ

 

"สิ่งใดที่เรียกว่าพิเศษ? ท่านนักพรตเต๋าหมายความว่ายังไงกัน?" เผิงมี่จ้องมองมาที่มู่อี้ด้วยสีหน้าที่ดูงุนงงเล็กน้อย

 

"สิ่งที่ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ อย่างเช่น มีพฤติกรรมแปลก ๆ? หรือมีโรคอะไรภายในร่างกาย?" มู่อี้อธิบาย

 

เมื่อได้ยินคำพูดของมู่อี้ สีหน้าของเผิงมี่ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย สีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของนางไม่อาจรอดพ้นสายตาของมู่อี้ไปได้และแม้ว่ามู่อี้จะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นนี้แต่เขาก็ไม่ได้เร่งรัดเอาคำตอบจากอีกฝ่าย กลับกันเขาแค่รอคอยคำตอบจากเผิงมี่อย่างเงียบๆ

 

สีหน้าที่ซีดขาวของเผิงมี่ดูกังวลใจขึ้นมาทันทีแต่ในท้ายที่สุดนางก็กัดฟันและขมวดคิ้วขึ้นมา  

 

"คงปิดบังท่านนักพรตเต๋าต่อไปไม่ได้อีกแล้ว สามีของข้ามีบางสิ่งบางอย่างที่แตกต่างจากคนทั่วไปก่อนที่เขาจะเสียชีวิต" เผิงมี่ตอบกลับมา

 

"สิ่งใดหรือขอรับ?" มู่อี้ถามทันที

 

"เขาเป็นผู้ที่เกลียดดวงอาทิตย์มากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งความร้อนในตอนเที่ยง เขาไม่เคยปรากฏตัวออกไปเจอกับแสงแดดเลย ปกติแล้วเขาจะไม่ออกไปไหนในช่วงกลางวันและเลือกออกไปนอกบ้านในวันที่มีเมฆมากหรือไม่มีแสงแดดเท่านั้น" เผิงมี่อธิบายช้าๆ

 

"ท่านเคยถามเขาเรื่องนี้หรือไม่ขอรับ? หรือเขาเคยไปพบหมอหรือไม่?" มู่อี้ถามกลับมาอีกครั้ง

 

"ข้าได้ถามสามีไปแล้วแต่เขาบอกแค่ว่าร่างกายของเขาค่อนข้างอ่อนไหว เขาไม่อาจโดนแสงแดดได้เป็นเวลานานและเขายังแตกต่างจากปกติทั่วไป สำหรับการไปพบหมอปกติแล้วสามีของข้าเป็นคนค่อนข้างเก็บตัวและไม่เคยเชิญหมอเข้ามารักษาเลย" เผิงมี่ตอบกลับไปความจริงแล้วปัญหาเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับนางแม้แต่น้อยแต่มู่อี้ถามเรื่องนี้ หรือว่าการที่สามีของนางถูกฆ่าตายไปจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่แปลกประหลาดเหล่านี้อย่างนั้นหรือ?

 

"เมื่อพวกท่านแต่งงานอยู่ด้วยกันแล้ว สามีของท่านไม่ออกไปไหน แล้วปกติเขาออกนอกบ้านไปที่ไหนบ้างขอรับ?" มู่อี้ยังคงถามต่อไป เขารู้สึกว่าใกล้จะได้คำตอบของเรื่องนี้แล้ว ร่างกายของชายคนนี้ไม่อาจถูกแสงแดดได้เป็นเวลานานและเขายังถูกลอกผิวออกไปก่อนตาย บางทีทั้งสองเรื่องนี้อาจจะมีอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกัน

 

"ข้าเองก็ออกจากบ้านไปไม่กี่ครั้ง มีครั้งหนึ่งที่สามีของข้าออกไปพร้อมกับข้าเพื่อไปเลือกซื้อของขวัญวันเกิดให้กับท่านพ่อ และยังมีอีกไม่กี่ครั้งหลังจากนั้นที่ออกไปซื้อกระดาษและน้ำหมึก" เผิงมี่คิดเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่ง

 

"ซื้อกระดาษและน้ำหมึก? ตระกูลเผิงไม่ได้มีคนรับใช้ที่คอยซื้อของเหล่านี้ให้หรือขอรับ?" มู่อี้ถามด้วยความรู้สึกที่แปลกประหลาด

 

"มี มี แต่สามีของข้าชอบกระดาษและน้ำหมึกที่เขาเลือกเองเท่านั้น เขาบอกว่ามันให้ความรู้สึกที่ดีกว่า" เผิงมี่ตอบกลับมา

 

"ท่านทราบหรือไม่ว่าเขาไปซื้อกระดาษและน้ำหมึกจากร้านไหน?" มู่อี้ถามคำถามสุดท้ายทันที

 

"ข้าทราบดี" เผิงมี่ตอบพร้อมกับพยักหน้า 

รีวิวผู้อ่าน