px

เรื่อง : Heavenly Curse ยอดเซียนเต๋า เขย่ายุทธภพ (นิยายแปล)
ตอนที่ 44 คนที่คุ้นเคย


ตอนที่ 44 คนที่คุ้นเคย

 

เมื่อยามค่ำคืนมาถึงมู่อี้ก็ลงมาจากภูเขา แต่ในครั้งนี้เขาไม่ได้ลงมาเพียงคนเดียวยังมีเนี่ยนหนิวเอ้อร์ที่นอนอยู่บนหลังของเขาด้วยเช่นกันและแขนของนางโอบรอบคอของเขาเอาไว้ 

 

แม้ว่าร่างกายของนางจะไร้น้ำหนักใดๆแต่เนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็ชอบให้มู่อี้แบกและอุ้มนางเสมอ บางทีอาจเป็นเพราะนางรับรู้ได้ว่ามู่อี้นั้นคือผู้ที่รักนางจากใจจริงและนางก็รู้สึกมีความสุขด้วยเช่นกัน 

 

ตอนบ่ายของวันนี้ในที่สุดมู่อี้ก็สามารถวาดยันต์สายฟ้าขึ้นมาได้ถึง 2 ชิ้น แม้ว่าเขาจะเริ่มจับหลักการของการวาดยันต์สายฟ้าได้แล้วแต่การวาดยันต์สายฟ้าแต่ละชิ้นนั้นก็ทำให้เขารู้สึกเหนื่อยมากและต้องใช้กระแสจิตเป็นจำนวนมากด้วยเช่นกัน หลังจากวาดยันต์สายฟ้าขึ้นมาได้ 2 ชิ้นเขาก็รู้สึกเหนื่อยจนไร้เรี่ยวแรงและทำได้เพียงนั่งสมาธิเพื่อฟื้นฟูจิตใจของตนเองเท่านั้น

 

แต่ในตอนนี้มู่อี้เริ่มรู้สึกอีกครั้งหนึ่งว่าเขาสามารถควบคุมกระแสจิตของตนเองได้อย่างมั่นคงมากยิ่งขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้มากนักแต่ถ้าหากทำต่อไปเขาเชื่อว่ามันต้องสำเร็จได้อย่างแน่นอน 

 

ยิ่งไปกว่านั้นเขายังอยากสะสมยันต์สายฟ้าเอาไว้ให้มากกว่านี้เพื่อเตรียมเอาไว้สำหรับเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง มีแล้วไม่ได้ใช้ยังดีกว่าจะใช้แล้วไม่มี

 

น่าเสียดายที่แม้ว่าเขาจะสามารถวาดยันต์สายฟ้าขึ้นมาได้แต่อัตราความสำเร็จของมันนั้นก็ต่ำมากจนน่าตกใจ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปบางทีกระดาษและชาดอาจจะใช้ได้อีกประมาณ 10 วันเท่านั้น ส่วนเลือดที่ใช้วาดเขาสามารถหาได้อยู่แล้ว

 

การใช้เลือดของมู่อี้ในการวาดยันต์มันอาจจะทำให้โอกาสที่จะวาดยันต์สำเร็จนั้นเพิ่มมากขึ้นและประสิทธิภาพของยันต์ก็เพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกันแต่วิธีการแบบนี้ใช้ได้เฉพาะช่วงเวลาที่สำคัญเท่านั้น เพราะไม่อย่างนั้นแล้วเลือดในร่างกายของมู่อี้คงมีไม่พอแน่นอน

 

ความจริงแล้วในตอนนี้มู่อี้สามารถวาดยันต์สะกดวิญญาณและยันต์ปราบปีศาจได้โดยไม่ต้องใช้เลือด เขาใช้เพียงน้ำแร่ที่อยู่บนภูเขาผสมกับผงชาดเป็นน้ำหมึกในการวาดยันต์เท่านั้น

 

ท่ามกลางแสงจันทร์ที่ส่องสว่างในตอนนี้มู่อี้เดินลงมาจากเขาเรื่อยๆ เขาไม่เคยเจอหิมะที่ตกหนักขนาดนี้มานานหลายปีแล้ว แม้ว่าในอดีตเขาจะรู้สึกเกลียดชังหิมะอยู่นิดหน่อยเพราะว่าเมื่อหิมะตกลงมาอากาศจะหนาวเกินไปและเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่อยู่นั้นก็ไม่ทำให้เขารู้สึกอุ่นขึ้นเลย 

 

ทุกๆครั้งเมื่อเขารู้สึกหนาวจนทนไม่ไหวในตอนกลางคืน ท่านปู่จะสั่งให้เขาวิ่งไปรอบๆบ้านหรือรอบๆสถานที่ที่พวกเขาใช้พักอาศัยอยู่ในตอนนั้น เมื่อวิ่งจนรู้สึกเหนื่อยความหนาวก็จะหายไปเอง

 

แต่ในตอนนี้มู่อี้เริ่มรู้สึกรักหิมะขึ้นมาบ้างแล้ว

 

ในสายตาของเขามีเพียงแค่สีขาวเท่านั้นราวกับว่าทั่วทั้งโลกนี้เหลืออยู่เพียงสีเดียวและจิตใจของเขาก็รู้สึกสงบมากยิ่งขึ้น

 

ในตอนนี้มู่อี้กลับลงมาที่เมืองพร้อมกับแบกเนี่ยนหนิวเอ้อร์เอาไว้บนหลังของเขา ถนนที่อยู่ตรงหน้าของเขาในตอนนี้เขาเคยผ่านมันมาถึง 3 ครั้งแล้ว

 

ครั้งแรกเป็นตอนที่เขานำโรงศพไม้หลิวที่ซื้อมาจากเมืองนี้ขึ้นไปบนภูเขา แต่เพราะโลงศพนี้จึงทำให้ศพของท่านปู่ของเขาหายไปและนั่นยังเป็นเรื่องที่ยังหาคำตอบไม่ได้จนถึงทุกวันนี้

 

ครั้งที่ 2 คือตอนที่เขาลงมาจากภูเขาเพื่อตามหาเจ้าของร้านขายโลงศพแต่ก็พบเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น แต่ในครั้งนั้นเขาได้พบกับเจี่ยเหรินร้านขายเงินกระดาษ 

 

เขาเป็นช่างฝีมือคนหนึ่งอย่างแน่นอน อย่างน้อยที่สุดมู่อี้ก็รู้สึกได้ในตอนนั้น ฝีมือการตัดกระดาษของเขารวดเร็วจนถือว่าอยู่ในระดับสูง และสิ่งที่มู่อี้จำได้ฝังใจนั่นก็คือมือของเจี่ยเหรินที่ไม่เหมือนกับผู้ชาย มันละเอียดอ่อนยิ่งกว่ามือของผู้หญิงเสียอีก

 

ก่อนหน้านี้มู่อี้เพียงแค่รู้สึกสงสัยและรู้สึกเพียงว่าด้วยมือคู่นี้ของเขาทำให้เขามีความสามารถในการตัดกระดาษได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ในตอนนี้มู่อี้นึกถึงคราบเลือดที่อยู่บนหลังมือของเขา คราบเลือดนั้นแข็งตัวแน่นจนไม่หลอมละลายแม้แต่น้อย

 

ความจริงแล้วเมื่อเผิงมี่พูดถึงเรื่องราวที่แปลกประหลาดของสามีนาง ลางสังหรณ์บางอย่างก็เกิดขึ้นในใจของมู่อี้ทันทีโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเห็นว่าร้านขายกระดาษและน้ำหมึกนั้นอยู่ไม่ไกลจากร้านของเจี่ยเหรินเลย

 

มันน่าเสียดายที่ก่อนหน้านี้ในตอนที่มู่อี้เข้ามาที่นี่เขายังไม่ได้ก้าวเข้าสู่โลกของการบ่มเพาะทางจิตวิญญาณเลยดังนั้นเขาจึงไม่อาจสังเกตเห็นความแตกต่างของเจี่ยเหรินได้ ในตอนนั้นเขามาที่นี่ด้วยเหตุผลอื่นจึงไม่ได้สงสัยเรื่องความผิดปกติของเจี่ยเหรินมากนัก 

 

ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนยังไงแต่มู่อี้ไม่เคยตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอกอยู่แล้วและต้องตรวจสอบเรื่องนี้ให้แน่ชัด

 

แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็ได้ก้าวเข้ามาในถนนหลักของเมืองนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้ว

 

มู่อี้เดินไปอย่างเชื่องช้าแต่เมื่อมาจนถึงสุดปลายถนนก็มาหยุดอยู่หน้าร้านของเจี่ยเหริน 

 

ร้านขายโลงศพที่อยู่ตรงกันข้ามยังคงปิดอยู่แต่ตามที่เขาทราบมามีร้านขายโลงศพอีกแห่งหนึ่งเปิดใหม่ที่อีกด้านหนึ่งของเมืองนี้ แม้ว่าจะมีหลายคนที่รู้สึกไม่พอใจแต่โลงศพก็เป็นสิ่งจำเป็นในชีวิต เมืองนี้จะไม่มีใครตายเลยหรือไง? ถ้าหากไม่มีร้านขายโลงศพเมื่อคนในเมืองตายไปก็คงต้องโยนศพเข้าไปในป่าเท่านั้น

 

ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วบรรพบุรุษที่ตายไปคงปีนขึ้นมาจากหลุมศพเพื่อมาตบศีรษะของพวกเขาแน่นอน

 

ยิ่งไปกว่านั้นในยุคนี้สิ่งที่ผู้คนให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่งนั่นก็คือความกตัญญู พวกเขาต้องกตัญญูต่อบรรพบุรุษแม้ว่าจะยากจนและอดอยากมากแค่ไหนก็ต้องจัดงานศพให้ดูยิ่งใหญ่มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แม้ว่าจะไม่มีโลงศพดีๆแต่อย่างน้อยโลงศพก็ต้องสร้างขึ้นมาจากไม้ คงไม่มีใครใส่ศพเอาไว้ในกล่องขนาดใหญ่หรอกใช่ไหม?

 

ดังนั้นจึงต้องมีร้านขายโลงศพแห่งใหม่ที่เปิดขึ้นอีกครั้ง

 

แต่ในตอนนี้มู่อี้ไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ เพราะแม้ว่าจะมีร้านขายโลงศพเปิดใหม่แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับหลี่เฉียจื่อที่หายตัวไปก่อนหน้านี้และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะตามหาตัวอีกฝ่ายจากร้านโลงศพแห่งใหม่

 

ภายในร้านของเจี่ยเหรินไม่มีแสงไฟอยู่เลยแต่ร้านค้าที่อยู่รอบๆกลับมีสายไฟส่องสว่างออกมา มันไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะในวันที่อากาศหนาวเย็นแบบนี้ผู้คนมักจะเข้านอนเร็วอยู่แล้ว

 

"ปัง ปัง!"

 

มู่อี้ก้าวออกไปข้างหน้าและเคาะประตูทันที เขารออยู่สักพักแต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมาจากภายในบ้านเลย

 

"ปัง ปัง!"

 

มู่อี้ยังคงเคาะประตูต่อไป เขาเชื่อว่าถ้าหากมีคนอยู่ในบ้านแม้ว่าจะหลับอยู่ก็ต้องตื่นขึ้นมาแน่นอน 

 

"ใครน่ะ?" เมื่อมู่อี้กำลังจะเคาะประตูอีกครั้งหนึ่ง ก็มีเสียงตะโกนที่ไม่พอใจดังออกมาจากภายในบ้านทันทีซึ่งเป็นเสียงเดียวกับเสียงของเจี่ยเหรินที่มู่อี้เคยได้ยินมาก่อนหน้านี้

 

"ขอซื้อของหน่อย" มู่อี้ตะโกนเสียงดังหน้าประตู

 

"นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ค่อยกลับมาซื้อพรุ่งนี้ ข้าจะนอน" น้ำเสียงของเจี่ยเหรินดูไม่พอใจมากขึ้นเรื่อยๆ

 

"จ่ายเงิน 2 เท่า" มู่อี้ตอบกลับไปทันที

 

"ถ้าอย่างนั้นก็รอสักครู่หนึ่ง" เสียงเงียบไปก่อนหน้านี้ตอบกลับมาทันที

 

หลังจากนั้นมู่อี้ก็เห็นแสงไฟที่ถูกจุดขึ้นภายในบ้าน เขาก้าวถอยหลังกลับมาและยืนรอหน้าประตูเงียบๆ  

 

กึก!

 

ในที่สุดประตูบ้านก็ถูกเปิดออกจากข้างใน เจี่ยเหรินปรากฏตัวขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจมากนัก

 

ในตอนนี้เจี่ยเหรินสวมชุดคลุมหนาและถือตะเกียงน้ำมันเอาไว้ในมือของเขา 

 

"หืม เจ้าเองหรอกหรือ?"

 

หลังจากที่ได้เห็นมู่อี้ เจี่ยเหรินก็รู้สึกประหลาดใจทันที ด้วยร่างหน้าตาและลักษณะการแต่งตัวของมู่อี้ที่แตกต่างจากคนอื่นๆจึงเป็นที่จดจำได้ง่ายและยังมีเรื่องที่เจี่ยเหรินพยายามจะแย่งชิงจี้หยกไปจากมือของมู่อี้ก่อนหน้านี้ด้วยเช่นกัน

 

แน่นอนว่าในสายตาของเจี่ยเหรินมันเป็นแค่ความผิดพลาดทางธุรกิจเท่านั้น หากทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้ ก็ถือว่าไม่ได้เป็นการหลอกลวง

 

"ใช่แล้วข้าเอง" มู่อี้มองไปที่เจี่ยเหรินและพยายามสังเกตสีหน้าของเจ้าของร้านผู้นี้ แต่ต่อจากนั้นเขาก็ต้องรู้สึกผิดหวังเพราะว่าเขาไม่สามารถเห็นสีหน้าที่ผิดปกติใดๆของเจี่ยเหรินได้เลย 

 

"มีอะไรอีกล่ะ? แต่ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าอยากจะซื้อของใช่ไหม? จะซื้ออะไรอย่างนั้นหรือ? แล้วยังเพิ่มเงินเป็น 2 เท่าด้วย?" เจี่ยเหรินเห็นว่ามู่อี้ไม่พูดอะไรสักที จึงรีบพูดเข้าเรื่องทันที

 

"ฆาตกรถลกหนัง ตระกูลเผิง"

 

มู่อี้พูดพร้อมกับจ้องมองไปที่เจี่ยเหริน 

รีวิวผู้อ่าน