px

เรื่อง : Heavenly Curse ยอดเซียนเต๋า เขย่ายุทธภพ (นิยายแปล)
ตอนที่ 47 การต่อสู้ที่ดุเดือด


ตอนที่ 47 การต่อสู้ที่ดุเดือด

 

"ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะเกือบพลาดท่าให้เด็กหนุ่มที่ไร้ประสบการณ์เช่นเจ้า ถ้ามีใครรู้เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน" เจี่ยเหรินมองมู่อี้ด้วยใบหน้าเคร่งขรึม เขาไม่คิดเลยว่ามู่อี้จะมียันต์สายฟ้าอันทรงพลังอยู่ในมือซึ่งเกินระดับการบ่มเพาะในปัจจุบันของมู่อี้อย่างชัดเจน

 

อย่างไรก็ตามเจี่ยเหรินไม่รู้ว่ายันต์สายฟ้าของมู่อี้นั้นถูกวาดด้วยตัวเขาเองหรือเป็นของที่อาจารย์มอบให้ ถ้ามันเป็นแบบหลังมันก็พอเข้าใจได้ แต่ถ้าเขาสามารถวาดขึ้นมาเองก็เป็นเรื่องที่เหลือเชื่ออย่างมาก

 

ระดับการบ่มเพาะของเขาอยู่ในความยากในการฝึกจิตใจขั้นที่ 1 ก้าวที่ 3 และสามารถวาดยันต์สายฟ้าที่ทรงพลังเช่นนี้ออกมาได้ ถ้าเขาอยู่ในความยากขั้นที่ 2 จะแข็งแกร่งแค่ไหนกัน? ทุกวันนี้พวกคนหนุ่มสาวเป็นปีศาจหรือยังไง?

 

เจี่ยเหรินอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกรำคาญใจ

 

อีกด้านหนึ่งของสนามรบการต่อสู้ระหว่างเนี่ยนหนิวเอ้อร์และจงขุยก็เปลี่ยนไปเช่นกัน เนี่ยนหนิวเอ้อร์ที่พลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในการต่อสู้เริ่มเป็นผู้ไล่ต้อนจงขุยอยู่ฝ่ายเดียว ท้ายที่สุดจงขุยเป็นเพียงกระดาษแผ่นหนึ่งเท่านั้นซึ่งไม่สามารถเทียบกับร่างกายที่แท้จริงของนางได้ 

 

แต่ถ้าหากเป็นจงขุยตัวจริงเนี่ยนหนิวเอ้อร์คงพ่ายแพ้ในพริบตา

 

หลังจากเหลือบมองไปที่เนี่ยนหนิวเอ้อร์และพบว่านางไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด มู่อี้จึงใช้สมาธิทั้งหมดจดจ่ออยู่กับเจี่ยเหริน สำหรับคำพูดของเจี่ยเหรินมู่อี้ไม่โต้แย้งเพราะมันไม่มีความหมายอะไรสำหรับเขา

 

การต่อสู้ในตอนนี้ดำเนินต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และแม้ว่ามู่อี้จะยอมรับความพ่ายแพ้เจี่ยเหรินก็คงไม่ยอมปล่อยเขาไป

 

ดังนั้นการต่อสู้จะจบลงก็ต่อเมื่อมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตายไปเท่านั้น

 

เมื่อคิดเช่นนี้ เลือดในร่างกายของมู่อี้ก็ค่อยๆเดือด ร่างกายของเขาสั่นเล็กน้อยและเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายโดยไม่เกรงกลัว บางทีมันอาจจะเกี่ยวข้องกับความกดดันที่สะสมมานานหลายปี แต่ไม่ว่าอะไรก็ตามมู่อี้รู้เพียงว่าตอนนี้เขาต้องการที่จะต่อสู้

 

เจี่ยเหรินดูเหมือนจะรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของมู่อี้และรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่เขาไม่ได้เป็นคนใจกว้างพอที่จะรอให้อีกฝ่ายเตรียมพร้อมรับมือ เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ง้าวมังกรเขียวในมือของเขาฟันลงไปที่มู่อี้ด้วยความเลือดเย็น

 

เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการผ่าร่างกายของมู่อี้ออกเป็นสองส่วนโดยตรง

 

ดวงตาของมู่อี้จ้องมองไปที่เจี่ยเหรินและตะเกียงทองแดงในมือของเขาก็มีไฟลุกโชนขึ้นมาทันทีโดยที่ไม่ได้จุดไฟ จากนั้นแสงจางๆค่อยๆปรากฏออกมาและห่อหุ้มร่างเขาเอาไว้ มู่อี้รู้สึกได้ว่ากระแสจิตของเขาถูกกลืนหายไปอย่างต่อเนื่องและตะเกียงทองแดงจะใช้ได้อีกเพียงครึ่งก้านธูปเท่านั้น

 

เมื่อแสงจากตะเกียงทองแดงปะทะกับง้าวมังกรเขียวของเจี่ยเหรินในอากาศ หัวใจของมู่อี้ก็เต้นรัวในทันที

 

จริงๆแล้วเขาไม่มั่นใจว่าตะเกียงทองแดงสามารถต้านทานการโจมตีของเจี่ยเหรินได้หรือไม่ แต่ถ้าเจี่ยเหรินใช้อาวุธจริงๆเขาก็คงไม่ใช้ตะเกียงทองแดงอย่างแน่นอน ที่เขาเลือกใช้ตะเกียงทองแดงเป็นเพราะเจี่ยเหรินล้วนใช้กระดาษในการต่อสู้และง้าวมังกรเขียวที่เจี่ยเหรินถืออยู่ก็มาจากพลังของกระดาษเช่นกัน

 

มู่อี้ไม่เข้าใจว่าเจี่ยเหรินใช้กระดาษในการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งต่างๆได้อย่างไร แต่เขารู้ว่าการเปลี่ยนแปลงจากกระดาษเป็นมนุษย์กระดาษจะต้องหยิบยืมพลังบางอย่างที่เขาไม่รู้อย่างแน่นอน

 

มันก็เหมือนกับวิถีแห่งยันต์ของมู่อี้ที่ต้องใช้พลังของสวรรค์และโลกเพื่อให้ยันต์สามารถแสดงพลังของมันออกมาได้

 

แต่ตราบใดที่ต้องหยิบยืมพลังก็ต้องมีร่องรอยที่ทำให้รู้ว่าพลังนั้นมาจากไหน อย่างเช่นยันต์ปราบปีศาจและมนุษย์กระดาษเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าพลังของทั้งสองอย่างนั้นมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

 

ถ้าเป็นเช่นนั้น แล้วตะเกียงทองแดงจะใช้ได้ผลหรือไม่?

 

เมื่อคิดเช่นนี้มู่อี้จึงลองใช้ตะเกียงทองแดง เขารู้ว่าแม้ง้าวมังกรเขียวถูกสร้างขึ้นมาจากกระดาษแต่ก็ไม่อาจประมาทได้เลย ถ้าถูกมันฟาดฟันเข้าร่างกายของเขาคงแยกออกเป็นสองส่วน 

 

"ตู้ม!"

 

เมื่อง้าวมังกรเขียวปะทะกับแสงจากตะเกียงทองแดง พื้นรอบๆตัวมู่อี้ก็เริ่มสั่นในทันที

 

มู่อี้รู้สึกถึงพลังมหาศาลที่ปะทะเข้ามาและร่างของเขาก็ค่อยๆถูกดันไปข้างหลัง

 

ง้าวมังกรเขียวในมือของเจี่ยเหรินค่อยๆมีรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปและกลับไปเป็นร่างเดิมของมันเมื่อปะทะเข้ากับแสงจากตะเกียงอย่างรุนแรง

 

ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็จ้องมองไปยังตะเกียงทองแดงในมือของมู่อี้ราวกับว่าเขาเห็นสมบัติที่หายากเช่นเดียวกับตอนที่ฉือกุยเห็นเนี่ยนหนิวเอ้อร์ เห็นได้ชัดว่าตะเกียงทองแดงในมือของมู่อี้ทำให้เจี่ยเหรินต้องมนตร์สะกด

 

บางทีมู่อี้อาจยังไม่รู้เกี่ยวกับคุณค่าของตะเกียงทองแดงอย่างชัดเจน แต่เจี่ยเหรินที่มีชีวิตอยู่มาหลายปีแล้วรู้จักมันเป็นอย่างดีและสายตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่นั่น ในไม่ช้าเขาก็ตัดสินว่าโคมไฟทองแดงในมือของมู่อี้อย่างน้อยก็เป็นอาวุธวิญญาณชิ้นหนึ่ง 

 

แม้ว่ามันจะเป็นเพียงอาวุธวิญญาณชิ้นหนึ่งก็มีค่ามากพอที่จะฉกชิงมันมา

 

"ง้าวมังกรเขียว!"

 

มือขวาของเจี่ยเหรินสะบัดและมีง้าวมังกรเขียวปรากฏขึ้นบนมือของเขาอีกครั้งพร้อมกับเสียงฝ้าผ่า

 

มู่อี้ยังคงเพ่งกระแสจิตไปที่ตะเกียงทองแดง ในตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่นและทำได้เพียงป้องกันตัวด้วยความอดทนเท่านั้น ดูเหมือนว่าเขาไม่มีวิธีอื่นนอกจากพึ่งพาตะเกียงทองแดง

 

หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง

 

ง้าวมังกรเขียวในมือของเจี่ยเหรินแตกสลายในที่สุดและกลายเป็นกระดาษอีกครั้ง

 

แต่เจี่ยเหรินไม่สนใจเลย เขาเพียงถูนิ้วของเขาเบาๆก็มีกระดาษอีกอันปรากฏขึ้นในมือของเขา จากนั้นก็มีแสงส่องสว่างและง้าวมังกรเขียวอันเดียวกันก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

 

เมื่อมู่อี้เห็นสิ่งนี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธ นี่มันโกงกันชัดๆ

 

วิถีแห่งยันต์ของเขาไม่เหมือนกับกระดาษของอีกฝ่าย เขามีข้อจำกัดและไม่สามารถวาดยันต์สายฟ้าได้ตลอดเวลา ถ้าเขาสามารถเขียนยันต์สายฟ้าขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้เกรงว่าร่างกายของเจี่ยเหรินคงจะไหม้เกรียมก่อนที่จะมีโอกาสได้ตอบโต้เสียอีก

 

อย่างไรก็ตามมู่อี้เชื่อว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่เจี่ยเหรินจะพกกระดาษติดตัวไว้มากมาย เพราะทั้งกระดาษและยันต์มีเวลาที่จำกัด หลังจากผ่านไปช่วงเวลาหนึ่งพลังก็จะค่อยๆลดลงและหากทิ้งไว้ประมาณหนึ่งปีครึ่งมันก็จะกลายเป็นเศษกระดาษอย่างสมบูรณ์

 

แน่นอนว่าที่ยันต์ไม่สามารถเก็บรักษาได้เป็นระยะเวลานานเพราะมีระดับพลังที่ต่ำจนเกินไป หากมู่อี้บ่มเพาะจนถึงระดับความยากขั้นที่ 2 หรือแม้แต่ระดับความยากขั้นที่ 3 เขาเชื่อว่ายันต์ที่วาดขึ้นมาในเวลานั้นแม้จะไม่สามารถเก็บรักษาไว้ได้ตลอดไป แต่ระยะเวลาในการเก็บรักษาก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก

 

ในขณะที่มู่อี้คิดสิ่งเหล่านี้ในใจ เจี่ยเหรินก็ใช้กระดาษเพื่อเรียกง้าวมังกรเขียวออกมาอีกครั้ง

 

มู่อี้ลดรัศมีแสงจากตะเกียงทองแดงที่ถูกปกคลุมร่างกายลงเล็กน้อยเพื่อลดการใช้กระแสจิตของตนเองลงไป

 

อย่างไรก็ตามในขณะที่การปะทะกันยังคงดำเนินต่อไป มู่อี้ก็รู้สึกว่าไม่ช้าก็เร็วกระแสจิตของเขาจะต้องหมดไปอย่างแน่นอน

 

หลังจากง้าวมังกรเขียวกระดาษถูกใช้ไปสองเล่ม เจี่ยเหรินก็ไม่ได้หยิบอันที่สามออกมาซึ่งทำให้มู่อี้มองเห็นโอกาส ทันใดนั้นแสงสีขาวก็พุ่งออกไปจากมือของเขาซึ่งก็คือยันต์ปราบปีศาจ

 

หลังจากสวมชุดเกราะ ความเร็วในการตอบสนองของร่างกายเจี่ยเหรินก็ช้าลงอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าเขาจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อที่จะหลบ แต่เขาก็ไม่สามารถหลบการโจมตีของยันต์ปราบปีศาจได้

 

ในขณะเดียวกันมู่อี้ก็เพิ่มกระแสจิตของเขาลงในตะเกียงทองแดง ทันใดนั้นเปลวไฟภายในตะเกียงทองแดงก็ส่องสว่างขึ้นและแสงสว่างที่ออกมาจากร่างกายของเขาก็กระจายไปทั่ว

รีวิวผู้อ่าน