px

เรื่อง : ข้ามเวลาล่าฝัน!
ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 9 ตอนที่ 2


ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 9 ตอนที่ 2

 

“เรารับจนถึงวันพรุ่งนี้นะ ถ้าพาใครมาเพิ่มได้ ก็ขอให้พามาด้วย แล้วก็ นับตั้งแต่พรุ่งนี้ไป เราจะเริ่มทำตัวกันตามสบายแล้ว อย่าตกใจไปล่ะ”

 

ชมรมแยกย้ายกันไป หลังจากเสียงประกาศของเดนมิจบลง มารุและพรรคพวกมุ่งหน้าตรงไปที่ร้านอาหารใกล้ ๆ โรงเรียน โดจินบอกพวกเขาว่าจะพาไปเลี้ยงฉลอง

 

 “เดนมิสวยจัดเลยว่าปะ?” โดจินถามขึ้น นี่เป็นคำพูดแรกหลังเขาได้มาถึงร้านอาหาร

 

 “ฉันว่ายูนจังสวยกว่านะ แล้วก็เด็กปีหนึ่งอีกคนก็น่ารักดี” เดมยังพูดขึ้นบ้างก่อนจะยัดคิมบับลงไปในปาก

 

“นึกว่าจะเป็นคนเรียบร้อยนะแก ที่แท้ก็หื่นกามไม่ใช่เล่นนี่หว่า?”

 

 “ป-เปล่าสักหน่อย”

 

 “เปล่าก็เหี้ยแล้ว การส่องสาวน่ะมันเป็นเรื่องปกติของผู้ชาย ใช่ปะมารุ?”

 

มารุพยักหน้ารับ เขากำลังครุ่นคิด ชมรมการแสดง มันมีหลายส่วนที่น่าเป็นห่วง อย่างแรก ทำไมถึงไม่มีปีสามอยู่เลย มันน่าจะยังพอเหลือยู่บ้างสิ ถ้าดูจากจำนวนคนในรูปเมื่อปี 2002 แล้ว แต่กลับไม่มีเหลือเลย? ต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่ ๆ

 

พวกปีสองเองก็ดูท่าทางจะปิดบังอะไรไว้อยู่ด้วย ก็คงไม่แปลก ดูจากสีหน้าเศร้า ๆ ของพวกเขาในห้องชมรม มันไม่ได้เศร้าแค่เรื่องพวกปีหนึ่งหรอก

 

 “ทำไมถึงได้ไม่มีปีสามอยู่เลยนะ?” โดจินเองก็ดูท่าจะสงสัยเช่นกัน เดมยังก็เริ่มคิดขึ้นมาบ้าง

 

 “รู้ไหมว่าใครเป็นที่ปรึกษาชมรม?” มารุถาม โดจินเป็นคนประเภทที่ชอบหาข้อมูลของโรงเรียนไปทั่ว เขาอาจจะรู้ก็ได้

 

 “รู้สิ ครูที่สอนประวัติศาสตร์เราไง”

 

 “ปาร์ค แทซิค? หมอนั่นเหรอ?”

 

 “อืม ดูท่าจะเป็นคนดี แต่น่าเบื่อฉิบหาย”

 

มารุเองก็จำครูประวัติศาสตร์ได้ดี เขาเป็นคนที่ค่อนข้างน่าเบื่อ แต่ชอบเล่าเรื่องเก่า ๆ ให้นักเรียนฟัง ขณะที่โดจินกำลังลุกขึ้นสั่งอาหารเพิ่ม ก็มีใครบางคนเดินเข้ามาในร้านพอดี

 

‘ถึงหน้าจะไม่ได้หล่อเท่าไหร่ก็เถอะ’ มารุเพิ่มเอกลักษณ์อีกอย่างเข้าไปในหัว เพราะคนที่เดินเข้ามาในร้านนั้นก็คือครูประวัติศาสตร์ของพวกเขานั่นเอง

* * *

 

แทซิคโบกมือทักนักเรียนทั้งสามในร้านอาหาร

 

 “สามหนุ่มมาทำอะไรกัน? ค่ำแล้วนะ” เขาถาม

 

 “มาสานสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนพ้องครับครู” โดจินตอบกลับไปอย่างกวน ๆ

 

ตั้งแต่เริ่มเป็นครูมา สำหรับเขาปีนี้ก็เป็นปีที่ 13 แล้ว ในช่วงชีวิตที่ผ่านมาของเขา แทซิคสัญญากับตัวเองไว้ว่าจะจำชื่อนักเรียนของตัวเองให้ได้ทุกคน เวลาเรียกจะได้ไม่ต้องไปเรียกว่า ‘นี่เธอ’ ทุกครั้งไป เพราะเขาชอบที่จะเรียกพวกนั้นด้วยชื่อของพวกเขามากกว่า

 

เพราะเหตุนี้เอง ทำให้แทซิคจำชื่อของนักเรียนที่เขาสอนได้เกือบทุกคน ถึงจะยังจำบางคนไม่ค่อยได้ เพราะมันเพิ่งเปิดเทอมมาได้แค่อาทิตย์เดียวเท่านั้น เด็กตาตี่ ๆ ที่นั่งอยู่ด้านหลังนั้น ก็เป็นหนึ่งในคนที่เขายังจำไม่ได้

 

 ‘เด… ซิค? รึเปล่า? อ่า ขอโทษทีนะ ครูยังจำชื่อเราไม่ได้’

 

เด็กเสียงดังอย่างโดจินนั้นจดจำได้ง่าย ส่วนพวกที่เงียบ ๆ น่ะ จะค่อนข้างจำยากทีเดียว

 

 ‘และนั่นก็มารุ’

 

ฮาน มารุ เด็กชื่อแปลกจากเอกวิศวกรรมไฟฟ้า เด็กคนนี้ค่อนข้างมีชื่อเสียงในหมู่ครู เพราะชื่อแปลก ๆ นั้น ทำให้จำได้ไม่ลืม

 

 “มาเที่ยวสนุกกันมันก็ดีหรอก แต่ควรไปกินข้าวให้เป็นมื้อจะดีกว่านะ ไม่ใช่มากินขนมแบบนี้แทน” เขาแนะนำ

 

 “ไม่ต้องห่วงครับ เดี๋ยวกลับบ้านไปผมกินอีกแน่นอน”

 

 “งั้นก็ดี วัยกำลังโต กินเข้าไปเยอะ ๆ ”

 

แทซิคหันไปบอกพนักงานว่าให้ห่อ ต๊อกโบกี ซุนแด และผักทอดอีกนิดหน่อยให้เขาด้วย เขายังจำหน้าของลูกศิษย์ที่ทำความสะอาดห้องชมรมอย่างเหนื่อยยากได้ดี ตอนที่เขาออกมา ยังไม่มีทีท่าว่าจะเสร็จกันง่าย ๆ เขาเลยคิดจะซื้อขนมเข้าไปฝากพวกนั้นเสียหน่อย

 

 “ครูครับ ขอถามอะไรหน่อย”

 

แทซิคหันกลับมามองที่ต้นเสียง มันคือเสียงของมารุ เด็กหนุ่มผู้มีสายตามุ่งมั่นพร้อมคางที่ยาวหน่อย ๆ เมื่อได้เห็นมารุ ทำให้เขารู้ได้เลยว่าพ่อของเด็กหนุ่มจะต้องเข้มงวดมากแน่ ๆ เพราะเด็กคนนี้ไม่มีท่าทีขี้เล่นของเด็กวัยรุ่นอยู่เลย

 

ครูคนอื่นเองก็เห็นด้วยกับแทซิคเช่นกัน โดยเฉพาะครูประจำชั้นของเขา ครูประจำชั้นของมารุคิดว่าเขาดูเป็นผู้ใหญ่มาก ๆ

 

 “อะไรเหรอ?”

 

“เราเพิ่งเข้าชมรมการแสดงน่ะครับ”

 

 “อ่อ สามในหกคือพวกเธอเองเหรอ?”

 

แทซิคสั่งผักทอดมาให้ทั้งสามคนอีกชุดหนึ่ง

 

“ขอบคุณครับครู”

 

 “ขอบคุณครับ”

 

โดจินและเดมยังต่างพากันลงมือกินอย่างรวดเร็ว ส่วนมารุนั้นยังจดจ่ออยู่กับคำถาม

 

“แล้ว อยากรู้เรื่องอะไรเหรอ?”

 

 “วันนี้เราไปเจอแต่พวกพี่ปีสองมา ไม่เห็นปีสามเลย”

 

 “อ่า…”

 

แทซิคยิ้มออกมาอ่อน ๆ เด็กหนุ่มถามคำถามแรกมา ด้วยคำถามสุดแสนจะตอบยาก แต่ก็ไม่แปลกหรอก ทำไมจะไม่สงสัยล่ะ?

 

 “มีอะไรเกิดขึ้นเหรอครับ? พวกพี่ปีสองเองก็ดูท่าจะปิดบังอะไรอยู่ด้วย”

 

เด็กอีกสองคนเริ่มหันมาสนใจคำถาม ทั้งสองคนดูจะไม่ทันได้สังเกตเรื่องนี้เลย มารุคนนี้เป็นเด็กช่างสังเกตจริง ๆ เขามองเห็นปัญหาในชมรมได้ก่อนใครจะทันคิด แตกต่างกับคนอื่นมาก

 

 “มีเรื่องกันนิดหน่อย”

 

 “เหรอครับ”

 

มารุตัดบทลงตรงนั้น และเริ่มลงมือทานอาหารด้วยเช่นกัน ทำเอาครูไปไม่ถูกเลยทีเดียว ไม่ใชว่าเขาสงสัยเหรอ? ว่าทำไมไม่มีปีสามอยู่เลย และทำไมปีสองถึงทำท่าทางแบบนั้น? ทำไมเขาถึงไม่ถามล่ะ? ไม่ใช่ว่าสงสัยเหรอ?

 

 “ไม่อยากรู้เหรอ?”

 

 “อยากรู้ครับ”

 

 “บอกได้ไหมครับ?”

 

โดจินและเดมยังตอบกลับมาแทน ส่วนมารุนั้นได้แค่ส่ายหัว

 

 “ไว้ผมจะไปถามพวกปีสองเองครับ แบบนั้นน่าจะดีกว่า” เขากล่าว

 

 “…อ่า ดี แบบนั้นน่าจะดีกว่าจริง ๆ”

 

แทซิคลุกขึ้นหลังได้ยินพนักงานเรียกเขา มารุเองก็ลุกขึ้นยืนพร้อม ๆ กัน ส่วนเด็กอีกสองคนก็ลุกขึ้นตามในไม่ช้า เจ้าเด็กคนนี้ทำให้นึกถึงพวกเด็กใหม่ที่เพิ่งเข้ามาทำงานในบริษัทเลย รู้ว่าตรงไหนควรวางตัวอย่างไร ควรทำอะไร เพื่อไม่ให้โดนครูเกลียดขี้หน้า

 

 ‘พ่อเขาสอนมาดีจริง ๆ แบบนี้ไม่มีทางไปทำให้ใครไม่พอใจแน่ ๆ’

 

แทซิคเดินออกจากร้านพร้อมกับเด็กสามคนที่ก้มหัวทำความเคารพ อะ จะว่าไป… เขาเดินกลับเข้ามา พนักงานถามเขาว่าเขาลืมอะไรรึเปล่า

 

 “เปล่าครับ แต่ผมขอจ่ายให้พวกเขาได้ไหม เท่าไหร่เหรอ?”

 

 “6000 วอนค่ะ”

 

 “นี่ครับ”

 

ตอนนั้นเองที่สายตาของเขาหันไปสบกับมารุพอดี มารุก้มหัวลงทักทายเขาอีกครั้ง ทำให้แทซิคยิ้มออกมา

 

 ‘กินเยอะ ๆ ล่ะเด็กใหม่’

 

* * *

 

 “เยี่ยม ประหยัดเงินไปได้เยอะเลย” โดจินกล่าวพร้อมยกไม้ยกมือทำท่าทางดีใจ บ้านของเขากับเดมยังเหมือนว่าจะไปทางเดียวกัน สังเกตจากการที่เดินกลับไปด้วยกัน ระหว่างทางพวกเขาก็คุยเล่นกันไปเรื่อย เพราะการจะสนิทกันได้ ไม่มีอะไรดีไปกว่าการใช้เวลาด้วยกันอีกแล้ว

 

มารุมองทั้งคู่เดินออกไป ก่อนจะกลับบ้านของตัวเองด้วยจักรยาน หลังจากกลับมาถึงบ้านสิ่งแรกที่เขาทำก็คือรีบทำการบ้านให้เสร็จ แม่ของเขามองมาด้วยรอยยิ้ม พร้อมพูดกับตัวเองเบา ๆ ‘โตได้สักทีนะ’

 

 “วันเสาร์ผมกลับช้านะแม่”

 

 “ทำไมเหรอ?”

 

“เพิ่งเข้าชมรมน่ะ ชมรมการแสดง”

 

 “จริงเหรอ? ถ้ามันกินเวลาเกินไปออกมาจะดีกว่าไหม”

 

“ไม่เป็นไรหรอก ถ้าดึกจริง ๆ จะโทรมาบอก”

 

 “เฮ้อ พ่อลูกเหมือนกันไม่มีผิด ไม่เคยฟังอะไรแม่เลย แล้วก็ อยากได้ค่าขนมเพิ่มไหม?”

 

 “ยังพออยู่”

 

 “แปลกจริง ไหนว่าจะเก็บซื้อรองเท้าใหม่ไง?”

 

แม่ของเขาหยิบเงิน 10000 วอนออกมาจากกระเป๋า

 

 “นี่ เอาไปเก็บไว้ใช้นะ”

 

 “ไม่ต้องหรอก ผมไม่ต้องใช้อะไรขนาดนั้นสักหน่อย”

 

“…เป็นอะไรไปรึเปล่า?”

 

“ก็บอกว่าผมโตแล้ว เอาเงินไปให้บาดะเถอะ ยัยนั่นน่าจะอยากได้มากกว่าผมนะ”

 

มารุดันแม่ของเขาออกจากห้องไปเบา ๆ และปิดประตู ถ้าเขาอยากใช้ชีวิตสบาย ๆ เขาต้องตั้งใจเรียนก่อน แน่นอน เขาไม่ได้อยากจะสอบได้คะแนนดีหรืออะไร เขารู้ดีว่าการเรียนนั้น มันไม่ใช่อะไรสำหรับเขาเลย

 

 ‘แต่ฉันไม่อยากให้ชีวิตต้องมาถูกจำกัดเพราะเกรด’

 

ตอนเป็นเด็กเขาไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมผู้ใหญ่ถึงต้องบังคับให้เขาเรียนคณิตศาสตร์ จะเอาสูตรฟิสิกส์ไปใช้ได้ที่ไหนในชีวิต? แน่นอนว่าเมื่อโตขึ้น เขาได้รู้ว่าวิชาพวกนั้นมันไม่ได้จำเป็นกับชีวิตจริง ๆ แต่เขาก็ยังได้เรียนรู้ด้วยว่าการเรียนรู้พวกมัน จะสร้างทางเลือกให้กับชีวิตเขาได้มากกว่า

 

สำหรับมารุแล้วการเรียนนั้น คือใบเบิกทางเพื่อตัวเลือกในชีวิตที่มากขึ้น แต่…

 

 “เฮือก”

 

มันไม่เป็นไปอย่างที่หวังเลย

 

 “โคตรยาก”

 

ตอนนี้มารุตัดสินใจที่จะวางปากกาลงก่อน

 

รีวิวผู้อ่าน