ตอนที่ 12 ไม่มีแม่บุญธรรมอีกต่อไป
“เสี่ยวฮั่นกล่าวถูกต้องแล้ว”
ชายขายาวคนหนึ่งก้าวขาเข้ามาหยุดยืนอยู่ที่ลาน
ดวงตาของฟางเถียนและเเสี่ยวเถียนเบิกโพลงขึ้นทันที “เจียงเอ๋อ ! ”
ชายหนุ่มคนนั้นเผยรอยยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับคำนับ “ท่านย่า ท่านแม่”
นี่คือการมาถึงของบุคคลที่เป็นความภาคภูมิใจของตระกูลฟาง… ฟางหมิงเจียง
มันเป็นช่วงเวลาปิดเทอมที่เขาจะได้กลับมาพักผ่อนที่บ้าน ก่อนที่จะเข้าประตูมาเขาได้ยินลูกพี่ลูกน้องเสี่ยวฮั่นกำลังคิดเลขอย่างฉะฉาน
ฟางหมิงเจียงยืนมองลูกพี่ลูกน้องที่เคยอ่อนน้อมและถ่อมตน
นางเป็นเด็กหญิงที่ผอมแห้งและคล้าย ๆ กับเด็กผู้หญิงในหมู่บ้านหลาย ๆ คน
แต่ทว่าวันนี้เหมือนทุกอย่างจะแตกต่างไปแล้ว…
ใช่... ดวงตาคู่นั้นราวกับว่าต้องการจะเผาไหม้ทุกสิ่งอย่างให้มอดม้วย ความโกรธของนางแผ่กระจายออกมาจากแววตาคู่นั้นอย่างดุเดือดจนเขาสัมผัสได้
ฟางหมิงเจียงขมวดคิ้วพร้อมกับไม่รู้ว่าที่บ้านกำลังเกิดอะไรขึ้น เขาหันไปหาเสี่ยวฮั่นพร้อมกล่าวว่า “เจ้ากำลังทำอะไรอยู่งั้นเหรอ...”
ฟางฮั่นรีบกล่าวทักทายฟางหมิงเจียงพร้อมคำนับเล็กน้อย “พี่ใหญ่ ! ”
แขนของนางโอบกอดน้องทั้งสองคนเอาไว้ ฟางฉือหนาวสั่นและกำลังจะเป็นไข้ ส่วนฟางหมิงหวยร้องไห้จนเริ่มหายใจติดขัด สายตาของนางพุ่งตรงไปที่อาวุโสทั้งสองอย่างเดือดดาลพร้อมกับตะโกน “เดี๋ยวข้าจะนำเงินมาให้และท่านย่าจงอย่าลืมว่าพวกข้าแยกออกมาอยู่ลำพังแล้ว ถ้าหากเสี่ยวฉือและหวยเอ๋อทำอะไรไม่ดี จงบอกกล่าวมันกับข้า จากนั้นข้าจะดูแลสั่งสอนน้องทั้งสองคนนี้ด้วยตัวเอง ! ”
ฟางฮั่นทิ้งคำพูดไว้เพียงแค่นี้และพาเด็กทั้งสองออกไป
ใบหน้าของฟางหมิงเจียงแข็งทื่อพร้อมกับกล่าวออกมาสั้น ๆ “แยกบ้านแล้วงั้นหรือ ? ”
ฟางเถียนได้ยินที่ฟางฮั่นกล่าวทุกอย่าง คำพูดของนางหมายความว่าฟางเถียนจะไม่มีอำนาจในการต่อรองอะไรทั้งสิ้น ! นางกำลังจะตะโกนโต้กลับทว่าเห็นหลานชายคนโปรดกำลังสงสัยอย่างหนักหน่วง คำสาปแช่งแทบจะหลุดออกมาจากจิตใจที่มืดมิดของนางอย่างอดกลั้น หึ ข้าขอคุยกับหมิงเจียงก่อนเถอะ!
แน่นอนว่าในสายตาของฟางเถียนนั้น พี่น้องทั้งสามเป็นเพียงจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่ปราศจากความกตัญญูใด ๆ พวกเขาไม่เคยมีดีในสายตาของนางเลยสักครั้ง
ส่วนเเสี่ยวเถียนนั้นไม่ได้กล่าวอะไรต่อ นางเพียงแค่ยืนมองบุตรชายของตนอย่างชื่นชมและความรักที่เปี่ยมล้น
หลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด คิ้วของฟางหมิงเจียงเลิกสูงขึ้นอย่างไม่เข้าใจ เขาโพล่งออกมาอย่างอดกลั้น “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ! ไร้สาระจริง ๆ ! ใครทำให้เด็กหญิงคนนั้นกล้าหาญมากขนาดนี้ ทำไมนางจึงกล้าพาน้องชายและน้องสาวออกไปอยู่ข้างนอก ! ช่างโง่เขลา ! ”
อารมณ์ของเขาเปลี่ยนไปทันทีหลังจากที่ก้าวเข้าสู่บ้านแห่งนี้
ฟางเถียนจับจ้องใบหน้าของหลานชายพร้อมกับแสร้งตีหน้าเศร้า “ถ้าพวกเขาต้องการที่จะแยกตัวออกไป ย่าก็จำเป็นต้องยอม วันไหนที่ย่าดุด่าตักเตือน ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ค่อยพอใจในสิ่งที่ย่าสอนนัก”
ฟางหมิงเจียงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงค่อนข้างหดหู่ “แล้วเรื่องที่นางแยกตัวออกไปนั้นไม่สามารถแก้ไขอะไรได้แล้วใช่หรือไม่ ? ”
ถ้าเขาไม่ได้ออกไปจากบ้าน เขาคงจะคัดค้านเรื่องทั้งหมดนี้ได้ มันก็เป็นเพียงเด็กน้อยที่ซุกซนเท่านั้นเอง
“เอ่อ นางไปแล้ว” ฟางเถียนกล่าวออกมาอย่างติดขัดราวกับรับรู้ถึงความหนักใจบนใบหน้าของหลานชาย “มะ... มีอะไรงั้นหรือ ? หลานรัก ”
“ข้าเกรงว่าอาจารย์ของข้าจะไม่เข้าใจน่ะ การยินยอมให้เด็กเล็กออกจากบ้าน มัน...” ฟางหมิงเจียงรู้สึกว่าหน้าผากของเขาหนักอึ้ง เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พร้อมกล่าวต่อ “อย่างไรก็ลืมมันไปเสีย นี่เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น ถ้าหากมีคนถาม ข้าก็คงจะตอบโต้ไปว่าอาวุโสทั้งสองนั้นไม่สามารถโต้เถียงสู้หลานสาวที่โง่เขลาได้ จึงจำยอมให้พวกเขาออกจากบ้านไป เด็กพวกนั้นจำเป็นจะต้องถูกสั่งสอนให้เผชิญหน้ากับความเจ็บปวดด้วยตนเอง ท่านย่าไม่ต้องพูดถึงมันอีกหรอก”
ฟางเถียนเห็นสีหน้าหนักใจของหลานชาย แม้ว่านางจะไม่เข้าใจในความหมายนั้น แต่ก็รีบตอบรับอย่างหนักแน่น “ย่าจะไม่พูดถึงมันอีกเลย”
เเต่เสี่ยวเถียนพอจะมีความรู้อยู่บ้าง เมื่อเห็นใบหน้ากังวลของลูกชาย นางรู้สึกว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ดูเหมือนจะส่งผลกระทบกับเขาด้วยเช่นกัน เพราะเหตุนี้จึงทำให้นางยิ่งรู้สึกเกลียดชังครอบครัวของน้องชายสามีคนรองมากขึ้นไปอีก
ฟางฮั่นพาเด็กทั้งสองกลับมาที่บ้านของตนเอง ฟางฉือเข้ามาในบ้านพร้อมกับคุกเข่าลงอีกครั้งต่อหน้าพี่สาวของตน
คิ้วของนางผูกเข้าหากันแน่นหนาพร้อมกับเริ่มกล่าวกับเด็กหญิงตรงหน้า “รู้หรือไม่ว่าวันนี้ทำอะไรผิด ? ”
ดวงตาของเด็กหญิงเริ่มเปียกชื้นพร้อมก้มหน้าลงต่ำอย่างรู้สึกผิด “เพราะเสี่ยวฉือไม่ระวังให้ดี...”
ฟางฮั่นตบที่บ่าของเด็กหญิงเบา ๆ ด้วยความเจ็บปวด “เสี่ยวฉือ… เด็กโง่เอ๋ย เราแยกตัวออกมาจากบ้านหลังนั้นแล้ว เจ้าไม่ต้องกลัวแม่บุญธรรมเก่านั่นอีกต่อไปแล้ว ! จงจำไว้ว่าผู้ปกครองที่สามารถสั่งสอนเจ้าได้มีเพียงข้าคนเดียวเท่านั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเกี่ยวกับตระกูลฟาง เจ้าไม่จำเป็นจะต้องเชื่อฟังหรือทำตาม พวกเขาเพียงแค่สร้างปัญหาให้กับเรา แต่เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะลงโทษเจ้าเลย หลังจากวันนี้พี่สาวคนนี้จะเป็นคนดูแลเจ้า ! ”
ฟางฮั่นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างมาก นางจึงเลือกใช้คำว่าแม่บุญธรรมเก่าออกมา
ฟางหมิงหวยยกมือขึ้นพร้อมกล่าว “หวยเอ๋อก็จะอยู่กับพี่สาวด้วย ! ”
น้ำตาหยาดลงมาบนแก้มทั้งสองของเด็กหญิงราวกับเขื่อนแตก นางพยายามที่จะฝืนยิ้มและกล่าวตอบ “อื้ม ! เสี่ยวฉือรู้แล้ว ! ”
ฟางฮั่นดึงเด็กหญิงเข้ามากอดอย่างต้องการแบ่งเบาความเจ็บปวด โชคดีที่บาดแผลบนมือของนางนั้นไม่ได้ร้ายแรงมากนักและมันสามารถรักษาให้หายเองได้
เมื่อเห็นเด็กทั้งสองร่ำไห้ปานจะขาดใจ ฟางฮั่นก็อดไม่ได้ที่จะพลอยเสียใจไปกับพวกเขาด้วย
หลังจากที่กล่อมเด็กทั้งสองเข้านอน เสี่ยวฮั่นรู้สึกอ่อนเพลียอย่างมาก นางกำลังจะพักผ่อนเช่นกันแต่พลันเสียงเล็ก ๆ ดังขึ้นที่หน้าประตูบ้าน ซึ่งใครคนหนึ่งกำลังร้องเรียกชื่อนางอยู่
เสี่ยวฮั่นถอนหายใจยาวพร้อมกับลุกขึ้นจากเตียงและเดินออกไปที่ประตูหลัง
สวนหลังบ้านเป็นเพียงสวนครัวและกระท่อมนั้นมุงด้วยใบจากมีห้องด้านในเพียงสองห้อง หลังบ้านไม่ได้ถูกปิดกั้นด้วยรั้วแน่นหนามากนัก มันคล้ายกับรั้วไม้ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติเท่านั้นเอง
ร่างเล็ก ๆ ของฟางฮั่นเปิดประตูออกพร้อมกับเห็นใบหน้าที่กระวนกระวายของเด็กหนุ่มหมวกขนปุย
เมื่อเด็กหนุ่มเห็นหน้าเสี่ยวฮั่น รอยยิ้มกว้างเผยขึ้นมาบนใบหน้าทันที “เสี่ยวฮั่น น้องสาวของเจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่ ? ”
หลังจากนั้นเขาส่งตะกร้าที่เต็มไปด้วยลูกพลัมสีแดงพร้อมด้วยผักป่ามากมายคืนให้กับนาง
“อ้อ นางไม่เป็นอะไรแล้ว ขอบคุณมากนะเฉิงเจิ้งไค๋” ฟางฮั่นหยิบตะกร้าพร้อมกับวางมันไว้ที่เท้าของตนเอง รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าอย่างจริงใจ
ฉับพลันนางสังเกตได้ว่าใบหน้าของเด็กชายเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ใบหน้าทั้งหมดรวมไปถึงหูของเขาแดงเป็นลูกตำลึง
เด็กชายกล่าวตอบอย่างติดขัด “อ้ะ เอ่อ ไม่เป็นไรเลย อ่า ข้า… ข้าขอตัวก่อนนะ” เขาไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเสี่ยวฮั่นด้วยซ้ำพร้อมกับวิ่งออกไปราวกับกำลังหนีอะไรบางอย่าง
ฟางฮั่นรู้สึกมึนงงกับสถานการณ์ นางยืนแข็งทื่อเป็นเวลานานก่อนที่จะฟื้นคืนสติขึ้นมาได้
หลังจากนั้นมือเรียวเล็กลูบใบหน้าของตนเองด้วยความไม่เชื่อถือ
นางรู้ตัวดีว่าตอนนี้นางยังเด็กตราบใดที่ไม่มีอะไรผิดพลาด เมื่อโตขึ้นใบหน้านี้จะงดงามยิ่งแน่นอน แต่ว่าตอนนี้นางยังไม่โตและสีผิวของนางซีดเหลืองราวกับดอกกะหล่ำปลีเหี่ยว ๆ มันยังสามารถทำให้ผู้ชายใจเต้นได้ด้วยงั้นหรือ ?
ช่างเป็นอะไรที่เหลือเชื่อ…
ฟางฮั่นถอนหายใจยาวอย่างเอ็นดูเด็กน้อย พร้อมหยิบตะกร้าและเดินกลับเข้าบ้าน
นางเริ่มทำความสะอาดลูกพลัมสีแดงพร้อมกับเลือกมันใส่ลงในตะแกรงขนาดใหญ่ นางกระจายมันห่างกันพร้อมกับนำไปวางไว้ที่หน้าต่าง
ตอนนี้นางต้องการตากแห้งมันก่อนและค่อยดูว่ามันจะสามารถนำไปขายร้านน้ำชาในเมืองได้หรือไม่
ส่วนพืชผักที่เก็บมาจากในป่า นางคิดถึงร่างเล็กของน้องทั้งสองคนที่ผอมแห้งอย่างขาดสารอาหาร… พวกมันเหล่านี้ควรจะเป็นอาหารเพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับเด็ก ๆ !