ตอนที่ 14 ยาเบื่อหนู
น้ำซุปเปลี่ยนเป็นขาวขุ่นและเริ่มส่งกลิ่นหอมน่ากินออกมา ฟางฮั่นเอาผักป่าที่สับไว้โรยลงไปพร้อมกับเนื้อหมูสับเป็นก้อนเล็ก ๆ ต้มในหม้อคล้ายกับต้มจืดหมูสับทันทีเมื่อหมูเริ่มสุกและลอยตัวขึ้นด้านบน กลิ่นและรูปลักษณ์ของมันทำให้คนที่พบเห็นเป็นต้องเกิดความอยากอาหาร
ทุกอย่างเสร็จสิ้นและถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะกินข้าวอย่างระมัดระวัง ฟางหมิงหวยได้กลิ่นหอมโชยมา เขาลุกขึ้นพร้อมวิ่งมาอย่างรวดเร็วอย่างอดใจไม่ไหว
เด็กน้อยตื่นได้สักพักแล้ว เขากำลังช่วยฟางฉือจัดการเก็บกวาดบ้านให้เป็นระเบียบ แม้ว่าเขายังเด็กแต่เขาก็รู้ว่าครอบครัวของตนนั้นมีเพียงพี่สาวทั้งสองเท่านั้นที่จะพึ่งพาและพักพิงหัวใจที่บอบช้ำนี้ได้
“พี่ใหญ่ มันหอมเหลือเกิน สิ่งนี้สำหรับพวกเราจริง ๆ หรือ ? ” ฟางหมิงหวยรีบนั่งลงพร้อมกับยกมือสองข้างขึ้นสูงเพื่อให้พี่สาวของตนเห็นว่าเขาล้างมือเรียบร้อยแล้ว
แม้ฟางฉือจะแก่กว่าหวยเอ๋อไม่กี่ปี แต่นางก็ยังเด็กและอายุเพียง 6 ขวบเท่านั้น ริมฝีปากบางเม้มแน่นและไม่ได้กล่าวอะไรออกมา ดวงตาของนางหลุบลงเล็กน้อยอย่างขัดขืน แม้ว่านางอยากจะพูดออกไปว่าไม่กิน แต่ความคิดของนางกลับทรยศ !
ฟางฮั่นยิ้มออกมาเมื่อเห็นท่าทีของทั้งสอง “พวกเจ้ารีบกินเร็วเข้าสิ ฟังเสียงท้องของตนเอง จะปล่อยให้ทรมานอยู่ทำไมล่ะ”
ฟางหมิงหวยเห็นด้วยกับพี่ใหญ่ เขารีบหยิบช้อนขึ้นมาพร้อมกับตักหมูชิ้นหนึ่งเข้าปากในทันที สิ่งนั้นทำให้เขาพ่นลมหายใจอย่างรุนแรงและลิ้นกลายเป็นสีแดงฉานเพราะความร้อน
“ยอดเยี่ยม ! อร่อยมาก ! ” แม้ว่าปากของเขากำลังร้อน แต่เขาก็ยืนยันที่จะกินมันต่อไปทั้งน้ำตา
ฟางฮั่นอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ช้า ๆ ก็ได้ ไม่มีใครยื้อแย่งมันไปจากเจ้าได้หรอก ในหม้อนั้นมีพวกมันอยู่อีกมาก”
ส่วนฟางฉือนั้นค่อย ๆ เป่ามันและเริ่มลิ้มรส ทันทีที่ปากของนางได้สัมผัสรสอาหาร ดวงตาพลันสดใสพร้อมกับอุทานออกมา “อร่อย ! ”
ฟางฉือกัดฟันเล็กน้อยก่อนที่จะเงยหน้าพร้อมเอ่ยปากถามออกมาอย่างคาดหวัง “พี่ใหญ่… ในอนาคตพวกเราทุกคนจะมีชีวิตที่ดีใช่หรือไม่ …”
“แน่นอน” ฟางฮั่นกล่าวอย่างหนักแน่น “พวกเราจะต้องมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้แน่นอน”
ไม่ว่าใครก็ตามที่จะเข้ามาขัดขวางไม่ให้พวกเขามีชีวิตที่ดีได้ นางจะไม่มีวันปล่อยคนเหล่านั้นไปแน่นอน !
ทั้งสามกินข้าวกับต้มจืดหมูสับอย่างมีความสุข ฟางหมิงหวยกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อยและกินได้มากกว่าเดิม ฟางฮั่นกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เดิมทีนางเพียงต้องการที่จะให้เด็ก ๆ ได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น แต่ตอนนี้เมื่อเห็นว่าเด็ก ๆ กินข้าวเก่ง นางจึงรู้สึกพอใจกับการกระทำของตนเอง
ฟางหมิงหวยขอข้าวเพิ่มอีกชาม ฟางฉือก็ด้วยเช่นกัน
ฟางฮั่นรู้สึกว่าตนเองประเมินความต้องการอาหารของเด็ก ๆ ต่ำเกินไป...
เช่นนี้นางจึงต้องพาทั้งสองไปที่ห้องครัวและตักมันเพิ่มอีก
ทันทีที่ทั้งหมดเข้ามาในห้องครัว พวกเขาเห็นร่างหนึ่งกำลังนั่งยอง ๆ และถือชามพร้อมกินอย่างตะกละตะกลาม
ซึ่งในชามนั้นคือต้มจืดหมูสับที่ฟางฮั่นเป็นคนปรุง !
ฟางฮั่นโกรธจัดทันทีพร้อมกับตะโกน “ฮ่งเก๋อ ! เจ้าขโมยอาหารของข้างั้นหรือ ! ”
เมื่อก่อนฟางฮั่นมักจะถูกเด็กคนนี้รังแกอยู่เสมอ เขาคือคนที่ผลักฟางฮั่นตกน้ำแต่กลับพลาดไปโดนฟางอ้าย เรื่องราววุ่นวายทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะเขา
เขาคือผู้ที่กระทำความผิดในวันนั้น !
ร่างกายอ้วนกลมของผู้ที่กำลังกินอาหารตื่นตระหนก แต่เขาก็ยังไม่ยอมวางชามและดื่มมันจนหมดพร้อมกับวางลงอย่างขวยเขิน จากนั้นปากก็ตะเบงดุอีกฝ่ายทันที “เจ้าจะตะโกนหาพระแสงอะไร ! ข้าก็แค่ดื่มต้มซุปที่อยู่ในบ้านของข้า ! ”
ฟางหมิงฮ่งอายุเท่ากับฟางฉือคือ 6 ขวบ เขามักจะทำตัวใหญ่โตคับบ้านอยู่เสมอ สายตาจ้องเขม็งไปที่หวยเอ๋อซึ่งยืนอยู่ด้านหลังของฟางฉืออย่างเยาะเย้ย จากนั้นเขาเหลือบมองที่ฟางฮั่นอย่างเย่อหยิ่งพร้อมกล่าวออกมาด้วยถ้อยคำที่เกินเด็ก “ข้าได้ยินพี่สาวบอกกับข้าว่าพวกเจ้าถูกไล่ออกจากบ้านแล้ว เฮอะ แล้วมาทำอะไรที่บ้านหลังนี้กันเล่า ไสหัวไปดีกว่า”
ฟางฉือท้าวเอวของตนพร้อมกับดึงหวยเอ๋อไปยืนที่ด้านหลัง
นางตะคอกกลับใส่เขาอย่างดุเดือดเช่นกัน “เจ้าไม่มีสิทธิ์กลั่นแกล้งหวยเอ๋อ ! ”
ฟางฮั่นมองที่หม้อซุปซึ่งหลงเหลือไว้เพียงกลิ่นหอมพร้อมกับน้ำซุปอยู่ก้นหม้อ มันเหลือไว้เพียงกระดูกชิ้นใหญ่เท่านั้น
ฟางหมิงหวยที่เห็นว่าในหม้อว่างเปล่า ปากของเขาเริ่มขยับสั่นเครือพร้อมกับน้ำตาที่เริ่มเปียกชื้นราวกับรอเวลาทะลักออกมา
ฟางฮั่นกล่าวกับหวยเอ๋อพร้อมลูบหัวของเขาอย่างแผ่วเบา “หวยเอ๋อไม่ร้องไห้นะ เดี๋ยวพี่ใหญ่ของเจ้าจะทำมันอีกครั้งแน่นอน น่าเสียดายที่ซุปหม้อนี้ข้าเอายาเบื่อหนูใส่ลงไปแล้ว อ่า ดูเหมือนว่าเราต้องหาอย่างอื่นกินแล้วแหละ เพราะหนูมันกินไปหมดแล้ว”
ใบหน้าของฟางหมิงฮ่งซีดขาวทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขามองที่หม้อสลับกับชามของตนและร้องลั่นเรียกหาแม่ของตนเอง
แม้ฟางหมิงหวยยังเด็ก แต่เขาก็รู้ดีว่ายาเบื่อหนูนั้นเป็นอันตรายกับร่างกาย มือน้อย ๆ ของเขาดึงเสื้อของฟางฮั่นอย่างกังวลใจ “แล้วพี่หมิงฮ่ง…”
ฟางฮั่นหัวเราะออกมาเสียงดังพร้อมกับหยิกแก้มเด็กน้อยอย่างหมั่นเขี้ยว นางขยิบตาพร้อมกล่าวว่า “ข้าเพียงโกหกเขาเท่านั้น น้ำซุปที่อร่อยเช่นนั้นจะมียาเบื่อหนูได้อย่างไรล่ะ จริงหรือไม่ ? ”
ฟางหมิงหวยตบหน้าอกตนเองเบา ๆ อย่างโล่งอกพร้อมกล่าวพึมพำ “พี่ใหญ่ช่างเจ้าเล่ห์นัก”
จากนั้นฟางฮั่นกล่าวอย่างเขร่งขรึม “แล้วใครสั่งให้เขามาดื่มกินซุปของพวกเราล่ะ”
ในสายตาของฟางฮั่นเด็กคนนั้นน่ารำคาญและไร้มารยาทอย่างแท้จริง
สำหรับฟางฮั่นที่จะสั่งสอนเด็กนิสัยไม่ดีเช่นนั้น นางไม่รู้สึกผิดอะไรเลยแม้แต่น้อย
ฟางฮั่นมอบกระดูกชิ้นใหญ่ให้กับเด็กทั้งสองคน อย่างน้อยพวกเขาก็ได้ดูดไขกระดูกที่มีประโยชน์เหล่านั้น มันจะสามารถชดเชยบางอย่างที่ขาดหายในร่างกายได้
หลังจากที่กำลังจะพาเด็กทั้งสองคนออกจากครัว ฟางอ้ายเดินกลับมาพร้อมกับน้องชายของตนเองด้วย
ท่าทางที่อยากจะฉีกฟางฮั่นออกเป็นชิ้น ๆ “เหตุใดจึงใจไม้ไส้ระกำเช่นนี้ เจ้ากล้ามากที่วางยาพิษน้องชายข้า ! ”
ฟางหมิงฮ่งกำลังร้องไห้อย่างสะอึกสะอื้นอยู่ข้างๆ พี่สาวของตนเอง
หลังจากที่เขาวิ่งออกจากครัวไปและเห็นพี่สาวของตนกำลังเล่นอยู่ที่ลานบ้าน เขาฟ้องและร้องไห้เพื่อทวงถามความยุติธรรมให้กับตนเองทันที
ฟางฮั่นขมวดคิ้วเล็กน้อย แม้ร่างกายของนางจะผอมแห้งกว่าฟางอ้าย แต่ตอนที่อยู่โลกก่อนหน้านางเคยต่อสู้กับเด็กในป่ามาแล้ว ตอนนี้จิตใจของนางเป็นผู้ใหญ่ ทำไมนางจะต้องเกรงกลัวฟางอ้ายผู้ไร้ยางอายคนนี้
เมื่อฟางอ้ายพุ่งตัวเข้ามา นางเพียงแค่หลบมันอย่างสบาย ๆ พร้อมกับผลักม้านั่งตัวหนึ่งเข้าแทนที่ตัวเอง ฟางอ้ายที่สะดุดม้านั่งไม่อาจคว้าตัวของฟางฮั่นได้ นางล้มลงด้านหน้าพร้อมกับหัวทิ่มกับมูลสุนัขสีดำก้อนใหญ่ เสื้อตัวโปรดของนางคลุกฝุ่นและกลายเป็นสีดำ อีกทั้งยังเกิดรอยขีดข่วนมากมายบนผิวขาวนั้น
ฟางหมิงหวยกลัวกับภาพตรงหน้าอย่างมาก ดวงตาของเขาพลันเบิกกว้างเมื่อเห็นฉากน่าประทับใจ
ฟางอ้ายก็กรีดร้องราวกับหมูโดนน้ำร้อนอยู่บนพื้นด้วยเช่นกัน “อ๊ะ ! อ๊าย ! นังสารเลว ! ข้าจะไปฟ้องท่านย่า ! อ๊ะ โอ๊ย ! ”
ฟางฮั่นกล่าวออกมาด้วยใบหน้าที่ไร้เดียงสาอย่างเสแสร้ง “ใครก็เห็นว่าตอนแรกเป็นเจ้าที่พยายามจะทุบตีข้า อีกอย่างเจ้าล้มลงไปเองโดยที่ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลย ช่างเก่งกาจเหลือเกิน ! ทำไมเจ้าไม่ลองโทษเท้าของตัวเองดูล่ะที่มันไม่มั่นคง ! ”
หลังจากกล่าวจบ ทั้งสามเดินออกไปพร้อมและเด็กน้อยทั้งสองยังคงมีความสุขกับกระดูกชิ้นใหญ่ในมือ
หลังจากที่เดินออกมาได้สักพักหนึ่ง ฟางฉือกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงกังวล “พี่ใหญ่… พี่ฟางอ้ายล้มได้อย่างไร… แล้วเช่นนี้มันจะไม่เป็นไรใช่ไหม…”
พิจารณาจากสถานการณ์ในก่อนหน้านี้ทั้งหมด บ้านหลังใหญ่นั้นแทบจะไม่มีเหตุผลเลยในการกลั่นแกล้งทั้งสาม ไม่ว่าอะไรพวกเขาย่อมผิดอยู่เสมอ
ฟางฮั่นตบบ่าของเด็กหญิงเบา ๆ พร้อมกล่าวอย่างสบายใจ “ไม่เป็นไรหรอก พวกเจ้าแค่ไปนั่งแทะกระดูกรอที่บ้านเท่านั้น เดี๋ยวก็รู้ว่าจะจบอย่างไร”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เด็กทั้งสองที่เชื่อฟังและเชื่อมั่นในตัวพี่สาวของตนอย่างมากปล่อยความคิดนั้นให้ลอยออกไปจากศีรษะ พวกเขาตั้งหน้าตั้งตาแทะกระดูกอย่างมีความสุข เพราะพี่สาวของพวกเขาได้บอกกล่าวเอาไว้ว่าจะต้องแทะมันให้สะอาดเกลี้ยงเกลา…