Chapter 50 : ดาบจากพ่อ
ไม่มีอะไรพิเศษเกิดขึ้นในวันหยุด
ในวันศุกร์ตอนบ่ายหลังจากเลิกเรียน จางเทีย ได้ไปยังคลับต่อสู้เพื่อเป็นกระสอบทรายอีกครั้งแต่มันแตกต่างจากเมื่อสองวันก่อน จางเทีย ตอนนี้กลายเป็นนักสู้ระดับ 1 แล้วและสามารถรับมือกับการโจมตีของ แอนดริวเบเน็ต ได้ง่ายๆ บางครั้ง จางเทีย ก็ยังควบคุมจังหวะการโจมตีของเด็กนี่ด้วยเพื่อจงใจให้การโจมตีของเขาสอดคล้องไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย แน่นอน จางเทีย ทำท่าว่าโดนเตะและทำให้เด็กนั่นพอใจ เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาล้มลงไป เขาจะยืนขึ้นมาแล้วพูดว่า – “ เข้ามาสิ เด็กน้อย “ – ผลก็คือเด็กนั่นจะพุ่งเข้ามาหาเขาเหมือนกับคนบ้า
งานคู่ซ้อมนี้อาจจะดูเหมือนเป็นงานที่ยากสำหรับหลายๆคนแต่สำหรับ จางเทีย แล้วมันคือเกมส์ที่น่าสนใจ – เขาจะได้รับเงินตอบแทนตามการเจริญเติบโตของคลับ แม้ว่าจะโดนอัดแต่ จางเทีย ก็รู้ว่าทักษะต่อสู้ของเขาได้พัฒนาขึ้นมา เขายังสามารถตอบโต้การโจมตีของคู่ต่อสู้ได้เร็วกว่าแต่ก่อนและสามารถวิเคราะห์การโจมตีได้อีกด้วย บางครั้งเขายังควบคุมจังหวะการต่อสู้เลยก็มี
“ ไอ้โหดนั่นช่วยฉันไว้เยอะเลย ! “ - จางเทีย รู้สึกดีใจ
เพราะ จางเทีย ไม่ได้โดนน็อคมาหลายครั้งและทำดีขึ้นกว่าแต่ก่อน เขารู้สึกว่าตัวตนของเขาในคลับแห่งนี้ได้พัฒนาขึ้น อย่างน้อยๆไอ้บัดซบสองคนที่อยู่ในห้องแต่งตัวก็ไม่กล้าที่จะพนันเรื่องเขาน็อคอีกแล้ว อีกอย่างใตอนที่เขาออกจากคลับนี้ไป ผู้ดูแลเบ็ค ก็มากระตุ้นให้เขาทำงานให้หนักขึ้นและเพิ่มเงินให้เขาเป็น 3 เงินและ 40 ทองแดง นี่เป็นครั้งแรกที่ จางเทีย ได้เงินมากขนาดนี้
จางเทีย กำเงินในมือไว้แน่นในตอนที่กลับบ้าน ในตอนที่เขามาถึงบ้านเขาก็ตระหนักได้ว่าเหรียญพวกนั้นร้อนขึ้นมา เขาเอาเงินไปใส่มือแม่ไว้ เขารู้สึกพอใจเมื่อเห็นสีหน้าที่เธอแสดงออกมา สุดท้ายแล้วแม่ของเขาก็เอาไปแค่ 2 เงินและบอกเขาว่าเธอแค่เก็บเงินไว้ให้เขาเฉยๆและเอาส่วนที่เหลือให้เขาไว้ใช้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ช่วยครอบครัวบ้างทำให้เขารู้สึกได้ถึงความดีใจและภูมิใจที่เอ่อล้นออกมาในตัวเขาเอง
ในวันเสาร์ก็อย่างเช่นเคย จางเทีย ได้ช่วยแม่ทำเบียร์ข้าวอยู่ที่บ้านแต่ครั้งนี้มันต่างกัน ครั้งนี้พี่สะใภ้ของเขาได้มาช่วยด้วย ดังนัน จางเทีย จึงรู้สึกว่างานมันง่ายกว่าเดิมและไม่ค่อยมีอะไรให้เขาทำ พี่สะใภ้ของเขาทั้งเก่งและฉลาด เธอน่ะทำงานบ้านได้ดีและยังมีหน้ามีตาในระแวกนี้ เพราะการได้เธอมาอยู่ด้วย ทำให้ครอบครัวของเขายินดีต้อนรับเธอเข้ามาในบ้าน
เมื่อเห็นแม่สอนพี่สะใภ้ทำเบียร์ข้าว จางเทีย ก็รู้สึกสลดขึ้นมา แม่เขาเริ่มแก่แต่เขากลับมีเวลาน้อยนิดที่จะอยู่กับเธอ...
การใช้ชีวิตของคนธรรมดานั้นมีขึ้นมีลง ในวันเสาร์เดียวกัน จางเทีย ก็พบว่าราคาของข้าได้เพิ่มขึ้นอีก ครั้งนี้ราคามันเพิ่มขึ้นจาก 4 เงิน 58 ทองแดงต่อ 25 กก.เป็น 4 เงิน 61 ทองแดงต่อ 25 กก. เขาได้ถามเรื่องราคานั้นแล้วลองต่อดู อีกอย่างเขายังเห็นว่าราคาของอาหารต่างๆเองก็เพิ่มขึ้นด้วย ในบรรดาของเหล่านั้นน้ำตาลราคาขึ้นสูงที่สุด เทียบกับราคาข้าวแล้ว ราคาของน้ำตาลนั้นได้เพิ่มขึ้นกว่า 10% ต่อกิโลกรัม ราคามันสูงกว่า 1 เงิน 11 ทองแดงต่อกิโลกรัมแล้ว...
แต่ จางเทีย ไม่มีตัวเลือกนอกจากต้องซื้อมัน ผลก็คือครอบครัวจางต้องเพิ่มราคาเบียร์ข้าวขึ้นไปอีกซึ่งแน่นอนว่าต้องทำให้ยอดขายลดลง แน่นอนว่ามันต้องส่งผลต่อการดำรงชีวิตของพวกเขา
เมื่อได้ยินเรื่องของขึ้นราคา รอยย่นบนหน้าผากแม่ของเขาก็เหมือนจะมากขึ้นแม้ว่าสีหน้าจะยังคงเหมือนเดิมก็เถอะ
ในเย็นวันนั้น จางเทีย ได้ฝังเมล็ดฟักทองไว้ใน Castle of Black Iron เมล็ดเหล่านี้ได้มาจากฟักทองที่แม่เขาตักเอาเมล็ดออกเมื่อหลายวันก่อน แม่ของเขารู้สึกเสียดายที่จะโยนมันทิ้ง ดังนั้นเธอจึงล้างและเอาไปตากที่หลังบ้าน เธอรู้ว่าเมล็ดฟักทองเหล่านี้น่ะจะอร่อยถ้ามันเอาไปทอด
จางเทีย ฝังเมล็ดกว่า 200-300 เมล็ด เขาทำแบบนี้เพราะสองเหตุผล อย่างแรกคือราคาที่เพิ่มขึ้นของธัญพืชต่างๆ อย่างที่สองคือเขาตะหนักได้ว่า Castle of Black Iron นั้นเหมาะกับการทำเพาะปลูก นั่นรวมถึงเมล็ดที่เขาได้มาจาก ย่าเทเรซ่า ด้วย เขาฝังมันลงหมด ตอนนี้มันก็เริ่มงอกออกมาแล้ว มันฝรั่งและข้าวโพดนั้นเติบโตได้ดีอย่างมากและผลก็คือ Castle of Black Iron นั้นเริ่มเติบโตเร็วขึ้นเรื่อยๆ ในวันเสาร์นี้ค่าออร่ามันเปลี่ยนเป็น 70 เกินค่าอื่นๆมาเยอะ
หลังจากที่เอาขยะไปทิ้งลงในบ่อแห่งความยุ่งเหยิงแล้ว จางเทีย ก็ได้ค่าพลังงานมาอีก 0.1 หน่วย หลังจากทำการรดน้ำแล้วเขาก็มาเช็คผลไม้ที่อยู่บนต้นไม้เล็กๆIron Body Fruit นั้นสุกแค่ 50% ดูเหมือนว่าเขาจะกินมันได้หลังจากที่โดนอัดอีกสักสองรอบ อีกอย่าง Leakless Fruit ผลที่สองเองก็จะสุกในเย็นวันพฤหัสหน้า ต้นไม้เล็กๆนี่คือแหล่งความมั่นใจของ จางเทีย ที่จะแข็งแกร่งขึ้นมาในยุคนี้
ในตอนที่เขากลับออกมาและกำลังจะบ่มเพาะในห้องของตัวเอง จางเทีย ก็ได้ยินเสียงแหลมๆยาวๆดังขึ้นมาจากนอกหน้าต่างจากที่ไกลๆ เพราะเสียงเตือนไฟไหม้นั้นส่งออกมาได้ไกลในตอนเย็น จางเทีย จึงสามารถได้ยินมันทันที ดังนั้น จางเทีย จึงรีบไปที่หน้าต่างแล้วเปิดออกดู ในค่ำคืนอันมืดมิดมีไฟลุกโชติช่วงสว่างไปทั่วท้องฟ้า ตัดสินจากกองไฟแล้ว จางเทีย รู้สึกว่าเหมือนกับคนทั้งเมืองได้ไปรวมตัวกันที่นั่น มีเสียงร้องและตะโกนดังขึ้นจากที่ไกลๆ...
จางเทีย สงสัยว่าบ้านไหนใกล้ๆสถานีที่ไฟไหม้ จากนั้นเขาก็เลิกสนใจและปิดหน้าต่างลง เขาหยิบคริสตัลข้างๆหน้าต่างออกมาก่อนจะไปนั่งขัดสมาธิและเริ่มทำการบ่มเพาะ
หลังจากที่ปลุกจุดชีพจรขึ้นมาได้ จางเทีย รู้สึกได้ถึง ‘ จุดเล็กๆ‘ ใกล้ๆกับกระดูกสั่นหลังสั่นไหวในตอนที่เขาเข้าทำสมาธิ ในทิศทางตรงกันข้ามกับจุดชีพจร จุดชีพจรแรกบนสันหลังคือเป้าหมายต่อไปของ จางเทีย ก็ตามที่ครูประวัติศาสตร์ได้บอกเอาไว้ในวันศุกร์ จุดชีพจรนี้คือจุดที่เขาต้องปลุกขึ้นมาเพื่อให้ขึ้นไปถึงระดับ 2 ตามลำดับฟิโบนัลชีแล้ว เขาต้องปลุกชีพจรอีกสองจุดเพื่อให้ถึงระดับ 3, ตามมาด้วยอีก 3 จุดเพื่อให้ไปถึงระดับ 4, จากนั้นก็ 5 จุดเพื่อให้ถึงระดับ 5, 8 จุดเพื่อให้ถึงระดับ 6,...., มีจุดชีพจรบนสันหลัง 34 จุดบนร่างกายมนุษย์ มีความลับมากมายซ่อนอยู่ในจุดชีพจรบนกระดูกสันหลังของมนุษย์ จุดชีพจรนั้นจะเป็นตัวช่วยและคือแหล่งความแข็งแกร่งของมนุษย์ ในตอนที่ปลุกมันขึ้นมาแล้วจะทำให้ร่างกายของคนและความเข็งแกร่งนั้นเพิ่มขึ้นมาก นั่นเป็นเหตุผลที่อธิบายว่าทำไมนักเรียนคนอื่นๆถึงเทียบเท่ากับ เกรซ ที่เป็นนักสู้ระดับ 2 ไม่ได้ ..
หลังจากที่เข้าการทำสมาธิ พลังงานจากคริสตัลได้ไหลเวียนผ่านจุดชีพจรแรกบนสันหลัง หลังจากนั้นมากกว่า 2 ชม. จางเทีย ทำได้แค่ทำให้จุดชีพจนนั้นมันสว่างกว่าเดิมเล็กน้อย มันมีไฟสีแดงดวงเล็กๆขนาดพอๆกับเม็ดข้าวลุกไหม้ขึ้นมา เทียบกับจุดชีพจรที่ลุกไหม้แล้ว มันแค่แมลงวันตัวเล็กๆ มันต้องใช้เวลาและพลังงานอย่างมากกว่าที่คนจะปลุกจุดชีพจรแต่ละจุดได้...
ในวันอาทิตย์ตอนบ่าย จางเทีย อยู่บ้านเพื่อดูแลร้านเบียร์ข้าว พ่อแม่ของเขาได้เปลี่ยนชุดและออกไปกับพี่สะใภ้พร้อมกับของเต็มมือ เป็นธรรมดาที่ จางเทีย จะรู้ว่าพวกนั้นจะไปไหน ในเย็นวันนั้นแม่ของเขาและพี่สะใภ้ได้กลับมาอย่างอารมณ์ดี เมื่อเห็นทั้งสองคน จางเทีย ก็รู้ทันทีว่าพวกนี้คงไปเยี่ยมพ่อแม่ของพี่สะใภ้
วันนี้เขาได้เพิ่มราคาของเบียร์ข้าวขึ้นมาอีก 1 ทองแดง แม้ว่าจะประกาศไว้ก่อนแต่ยอดขายก็ลดลงทันที วันนี้พวกเขาขายไปได้แค่ครึ่งเดียวจากปกติ
“ แม่ พ่อล่ะ ? “ –เมื่อเห็นทั้งคู่ จางเทีย ก็ถามออกมาด้วยความสงสัย
“ เขาไปจัดการบางอย่าง เดี๋ยวพ่อก็กลับมา ! ” – แม่ของเขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงฟังดูน่าสงสัย
ในตอนที่เตรียมมื้อเย็น พ่อขงเขาก็กลับมาพร้อมกับของที่มีผ้าห่อมาอย่างดี เมื่อเห็น จางเทีย พ่อของเขาได้ยิ้มออกมาและแกะห่อเผยให้เห็นฝักดาบสีดำวางไว้ตรงหน้า จางเทีย
“ อ่า ?! นี่มันดาบที่มีคมด้านเดียว ดาบแบล็คฮ็อตนิ ...” - จางเทีย อุดทานออกมาและวิ่งไปราวกับเห็นสมบัติ เขาคว้าเอาดาบจากมือของพ่อแล้วชักออกมาเผยให้เห็นดาบสองมือคมๆตรงหน้า ตรงตัวดาบจนถึงฝักมีคำสองคำสลักไว้ --- จางเทีย เขาอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา นี่คือของขวัญจากพ่อของเขา
“ ลูกจะต้องไปฝึกเอาตัวรอดอาทิตย์หน้า งั้นนี่ก็ของขวัญ ฮี่ฮี่.. “ – พ่อของเขาดูอายเล็กน้อย – “ นี่คือดาบธรรมดาที่หลอมขึ้นมาของเมือง แม้ว่ามันจะเทียบกับดาบของกองทัพไม่ได้และฝักมันก็ทำขึ้นมาจากเหล็กและไม้ธรรมดาแต่มันก็ดีที่สุดที่พ่อหาให้ได้ ดังนั้นพ่อหวังว่าลูก...”
“ ผมชอบมัน พ่อ ! “ – ก่อนที่พ่อจะได้พูดจบ จางเทีย ก็วิ่งเข้าไปกอดและหอมแก้มพ่อ เขาพอใจอย่างมากกับของขวัญชิ้นนี้ จางเทีย รู้ดีว่าดาบนี่น่ะราคาอย่างน้อย 1 ทอง นี่คือของที่แพงที่สุดสำหรับครอบครัวของเขา
เมื่อเห็น จางเทีย ดีใจ พ่อเองก็ยิ้มออกมา...
“ สองคนนั่นมานี่เลย มากินข้าวตอนร้อนๆเนี้ย... “ – แม่เตือนขึ้นมาทำให้บรรยากาศดีขึ้นบ้าง
ในยุคนี้ดาบเล่มแรกของหลายคนนั้นจะเป็นของขวัญที่ได้จากพ่อรึพี่ชาย นอกจากเป็นคำอวยพรและความเป็นห่วงแล้ว ดาบยังสื่อถึงการเอาตัวรอดให้ได้ด้วยตัวเอง นี่คือโชคชะตาที่ผู้ชายต้องเจอ !
ในอาทิตย์สุดท้ายก่อนที่เขาจะออกจากโรงเรียน จางเทีย เด็กน้อยวัย 15 ปีได้ยอมรับโชคชะตาตัวเองเผชิญหน้าไปพร้อมกับดาบที่มีชื่อเขาสลักไว้อยู่....