ตอนที่ 30 อาสามโดนตอบโต้
ใบหน้าของแม่เจิ้งไค๋แข็งทื่อไปสักพัก
ฟางฮั่นถอนหายใจยาวแต่นางก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ส่วนเฉียนต้ายาตะโกนเสียงดังพร้อมกระโดดเขย่งมองเข้าไปในิบ้าน “พี่เจิ้งไค๋ตื่นอยู่หรอกหรือ ! ? ข้ากับฟางฮั่นมาเยี่ยมท่าน ! ”
รอยยิ้มของแม่เจิ้งไค๋หายไปในพริบตา
ฟางฮั่นรู้สึกทำอะไรไม่ถูก นางยิ้มออกมาอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงสับสน “ท่านป้าให้ข้าเข้าไปข้างในได้หรือไม่ ? ”
สิ่งที่ต้องการนั้น โชคชะตามักจะเล่นตลกกับเราอยู่เสมอ นางรู้ดีว่าลูกชายป่วยเพราะกลัวที่จะไม่ได้แต่งงานกับเด็กหญิงคนนี้ในอีกห้าปีข้างหน้า เขาตรากตรำเรียนหนังสืออย่างหนักทั้งวันทั้งคืนจนร่างกายรับไม่ไหว เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้วทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดอยู่ไม่น้อย แต่นางก็รู้ดีว่ารูปลักษณ์ของฟางฮั่นนั้นดูดีกว่าหลายเท่ากับเมื่อเทียบกับเฉียนต้ายา เด็กคนนี้ไม่เห็นแก่ตัวและมีน้ำใจต่างจากเด็กคนอื่นในหมู่บ้านลิบลับ แต่อย่างไรก็ตามครอบครัวของฟางฮั่นยากจนเกินไป ฐานะของนางสู้กับเฉียนต้ายาที่เป็นบุตรสาวเจ้าของแผงขายหมูไม่ได้เลยแม้แต่น้อย !
แต่ถึงอย่างไร เฉียนต้ายาก็ไม่ควรที่จะได้แต่งงานกับลูกชายของนางเด็ดขาด
แม่ของเจิ้งไค๋ยังไม่ได้กล่าวอะไร เสียงที่เต็มไปด้วยความกังวลของเจิ้งไค๋ดังออกมาพร้อมกับไออย่างหนัก “แค่ก ฟางฮั่น แค่ก ๆ อย่าเข้ามาเดี๋ยวติดไข้จากข้า แค่ก ๆ ๆ ๆ ๆ ” อาการไอของเขาค่อนข้างที่จะรุนแรงพอสมควร
เฉียนต้ายาค่อนข้างหดหู่เล็กน้อยที่เด็กชายพูดถึงอีกคนมากกว่า แต่นางก็ยังกังวลใจและตอบกลับไป “พี่เจิ้งไค๋ไม่ต้องกังวล พวกเราไม่ได้จะเข้าไปหรอก ท่านกินยาบ้างหรือไม่ ทำไมยังไอหนักเช่นนี้อยู่”
ฟางฮั่นเริ่มพูดออกมาบ้าง “เจิ้งไค๋ เจ้าต้องดูแลสุขภาพของตนเองบ้างนะ”
เพียงประโยคเดียวของฟางฮั่น มันยอดเยี่ยมยิ่งกว่ายาทุกชนิดที่เขาได้ดื่มกิน เฉิงเจิ้งไค๋นอนอยู่บนเตียงด้วยหัวใจที่พองโตราวกับได้รับน้ำผึ้งเดือนห้า หัวใจชุ่มชื่นอย่างบอกไม่ถูก ร่างกายร้อนวูบวาบ เสียงของเขาประหม่าเล็กน้อยขณะตอบกลับ “ข้ารู้แล้ว แค่ก ๆ พวกเจ้ากลับไปก่อนเถอะ”
ฟางฮั่นและเฉียนต้ายาคุยกับเขาต่ออีกสองสามคำและเด็กชายก็พยายามที่จะตอบกลับในประโยคของฟางฮั่น
จากนั้นฟางฮั่นฝากถุงขนมไว้กับแม่ของเขาและกล่าวลา
เฉียนต้ายายอมแพ้อย่างไม่เต็มใจ หลังจากเดินห่างออกมาจากบ้านของเฉิงเจิ้งไค๋สักพัก นางรู้สึกอึดอัดจนต้องกล่าวอะไรสักอย่าง “วันนี้พี่เจิ้งไค๋พูดกับข้าเยอะมาก ข้ามีความสุขเหลือเกิน เจ้าคงจะไม่เคยเป็นเช่นนี้สินะ”
ไม่ว่าอย่างไร เฉียนต้ายาก็ยังต้องการจะยัดเยียดความพ่ายแพ้ให้กับฟางฮั่นเสมอ “อย่าเที่ยวเอาเรื่องนี้ไปพูดเชียวล่ะ ! ”
ฟางฮั่นรู้สึกเบื่อหน่ายและไม่ต้องการจะกล่าวอะไรออกมา แต่นางต้องพูดสักหน่อยเพื่อปรามเด็กแก่แดดคนนี้ “ตราบใดที่เจ้าไม่มายุ่งกับข้า แน่นอนว่าข้าจะไม่ยุ่งกับเจ้า ข้าก็เบื่อหน่ายเหมือนกัน”
สายตาของเฉียนต้ายาเหลือบมองฟางฮั่น
การที่นางกล่าวเช่นนั้นเป็นเพียงแค่การเหน็บแนมเบา ๆ ก่อนที่อีกฝ่ายจะกล่าวอะไรออกมา นางเหลือบไปเห็นต้นไม้ใหญ่ที่ทางเข้าหมู่บ้าน คนหนุ่มสาวที่ไม่มีอะไรทำกำลังนั่งล้อมวงทอยลูกเต๋ากันอยู่ หนึ่งในนั้นมีฟางฉางอิงซึ่งเป็นอาสามของฟางฮั่นด้วย
เฉียนต้ายาเหลือบมองฟางฮั่น ต่อหน้าอันธพาลพวกนี้นั้นนางไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม พวกเขาน่ากลัวเกินไป
เฉียนต้ายาเอื้อมมือไปดึงเสื้อของฟางฮั่นและต้องการให้นางเป็นเกราะกำบัง นางดึงเสื้อเบา ๆ พร้อมกระซิบ “ทำไมอาสามของเจ้าจึงนั่งอยู่ในวงพนันอย่างนั้น” การกระซิบนี้เบามาก เพราะนางกลัวว่าคนพวกนั้นจะได้ยินเข้า
ฟางฮั่นประหลาดใจเล็กน้อย ดูเหมือนว่าการพนันชนิดนี้จะมีมาตั้งแต่ยุคสมัยโบราณเลยงั้นหรือ ตอนนี้ฟางฉางอิงติดพนัน แล้วฟางเถียนรู้เรื่องนี้หรือไม่ ?
คนที่นั่งอยู่ในวงล้อมเห็นฟางฮั่นกับเฉียนต้ายาเดินมา เขาหัวเราะและกล่าวกับฟางฉางอิงว่า “นั่นไม่ใช่ลูกของพี่รองเจ้างั้นเหรอ ยิ่งโตยิ่งสวยเป็นบ้าเลย ! ”
ฟางฉางอิงกำลังจดจ่ออยู่กับการพนันตรงหน้า เขาไม่เงยหน้าและไม่สนใจสิ่งที่เพื่อนได้กล่าวแม้แต่น้อย มือของเขาค่อย ๆ เปิดถ้วยเพื่อดูตัวเลขและพบว่าตัวเองแพ้อีกครั้ง เขาโกรธจัดพร้อมตะโกนออกมาสุดเสียง “ก็แค่สวะที่อยู่ในบ้าน ! ”
ชายที่ชนะคนนั้นคือชายที่ชาวบ้านในหมู่บ้านเรียกว่าชายตาเดียว เมื่อตอนยังเด็ก เขามีปัญหาด้านสายตานิดหน่อยเพราะเข้าไปอาละวาดในเมืองจนถูกทุบตีกลับมา เมื่อเขาชนะการพนันครั้งนี้ เขาตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจและต้องการจะเย้าแหย่ฟางฉางอิง “ข้าชนะทันทีหลังจากที่นางเดินมา แอบคิดนะเนี่ยว่าหลานสาวตัวน้อยของเจ้าน่ะอาจจะเป็นดาวแห่งโชคลาภก็ย่อมได้ เพียงแต่นางไม่เหมาะกับเจ้าไงล่ะ โชคลาภเลยปฏิเสธเจ้า ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”
ทุกคนที่อยู่ในวงล้อมเริ่มหัวเราะออกมาด้วยเช่นกัน
ความโกรธของฟางฉางอิงรุนแรงมากยิ่งขึ้นเมื่อถูกหัวเราะเยาะโดยคนอื่น เขาลุกขึ้นยืนอย่างเกรี้ยวกราดพร้อมกับก้าวเข้าหาฟางฮั่นและง้างมือเพื่อจะทุบตีนาง แต่ฟางฮั่นไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป เขาไม่สามารถทุบตีนางได้เช่นเดิมอีกแล้ว
ฟางฮั่นถอยหลังพร้อมกับตะโกน “อาสามเป็นบ้าอะไร ! ”
เฉียนต้ายารู้สึกตกใจมากเมื่อเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ คนแบบไหนกันที่จะทุบตีผู้อื่นเพียงเพราะตนเองพ่ายแพ้พนัน?
คำที่นักพนันเกลียดชังคือคำว่า พ่ายแพ้ อีกทั้งคำว่าอาที่ฟางฮั่นเปล่งออกมานั้นออกเสียงคล้ายกับคำนั้น (叔 ชู แปลว่า อา ส่วน 输 ชู แปลว่าแพ้ ซึ่งออกเสียงเหมือนกัน)
ฟางฉางอิงขาดสติพร้อมคำราม “ข้าจะทุบตีดาวโชคลาภนี้ให้ตาย ! ”
เขาเริ่มดุด่าและลงมือหนักขึ้นเรื่อย ๆ การเตะลมแต่ละครั้งหนักหน่วงเกินกว่าบรรยาย ชาวบ้านที่มุงดูพยายามห้ามดึงรั้งเขาเอาไว้ แต่ฟางฉางอิงกลับไม่สนใจและเริ่มด่าทุกคนที่ขวางทาง
เฉียนต้ายาเห็นพฤติกรรมที่โหดร้ายเช่นนี้เริ่มตัวสั่นด้วยความตื่นตระหนก กลายเป็นฟางฮั่นที่ต้องปลอบใจอีกฝ่าย
เฉียนต้ายารู้สึกราวกับว่าตนเองรอดชีวิตจากสถานการณ์ที่เลวร้าย นางถอนหายใจพร้อมกล่าว “อาสามของเจ้าเป็นคนแบบไหนกัน ข้ารู้สึกว่าเขาจะฆ่าเจ้าแล้ว”
ฟางฮั่นไร้อารมณ์จะกล่าวอะไร
นางยังแอบสงสัยว่าไปทำเวรทำกรรมอะไรกับอาสามไว้นักหนา?
ถ้าหากไม่มีคนหยุดเขาเอาไว้ แน่นอนว่านางคงจะถูกฟางฉางอิงฆ่าทิ้งแล้วเป็นแน่ !
ฟางฮั่นรู้สึกขมขื่นในใจ พ่อของนางก็เป็นพี่ชายของเขา แต่น้องชายคนนี้กลับต้องการสังหารบุตรของพี่ชายตัวเองงั้นหรือ ? เขาจะทำแบบนั้นไปทำไมกัน ?
หลังจากที่ฟางฮั่นกลับมาที่บ้าน นางพบว่าฟางฉางอิงยังไม่เลิกคลั่ง เขายืนอยู่ที่หน้าประตูพร้อมกับก่นด่าสาปแช่งเด็กน้อยทั้งสองอย่างเหี้ยมโหด ประตูไม้ถูกเตะอย่างต่อเนื่องจนแทบจะพัง เด็กน้อยทั้งสองกอดกันตัวกลมและร้องไห้จ้าอย่างหวาดกลัว
เมื่อฟางฮั่นเห็นเช่นนั้น ความโกรธในใจของนางจึงลุกโชนทันที เลือดขึ้นหน้าจนนางแทบจะเสียสติ ! ขาน้อย ๆ สองข้างวิ่งเข้าไปเพื่อที่จะหยุดยั้งฟางฉางอิงเอาไว้และต้องการผลักเข้าออกไปจากบริเวณนี้ !
เมื่อเห็นว่าพี่ใหญ่กลับมาแล้ว ฟางหมิงหวยร้องไห้อย่างสะอึกสะอื้น ทั้งสองเปิดประตูให้พี่สาวพร้อมกับวิ่งเข้าหาอ้อมแขนนั้นอย่างหวาดกลัว
ฟางฮั่นกล่าวออกมาอย่างจริงจัง “เสี่ยวฉือ พาหวยเอ๋อเข้าบ้าน ! ”
ฟางฉือที่ร้องไห้อยู่พยักหน้ารับพร้อมกับพาน้องชายเข้าไปด้านใน
ฟางฮั่นมองไปรอบ ๆ สนามหญ้าที่บ้านและพบกับพลั่วเล็ก ๆ นางหยิบมันและเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้นางคิดจะใช้วิธีตาต่อตา ฟันต่อฟันกับเขา ! นางพยายามแทงพลั่วใส่เขาอย่างสุดกำลัง
ฟางฉางอิงถึงกับตกใจ เขาหลบอย่างรวดเร็ว แม้เขาจะเป็นผู้ใหญ่ซึ่งมีข้อได้เปรียบในเรื่องร่างกายที่แข็งแรงกว่า แต่เขาเป็นคนที่ชอบทำกร่าง ทว่าภายในใจมักขี้ขลาดเป็นประจำ แลละคนขี้ขลาดมักกลัวคนที่สู้สุดแรง ฟางฮั่นแทงพลั่วใส่เขาอย่างไม่คิดชีวิต จนทำให้เสื้อผ้าของเขาเป็นรอยฉีกหลายจุด
นี่คือเสื้อผ้าที่หนาที่สุดสำหรับฤดูหนาว ถ้าหากเขาสวมใส่ชุดของฤดูร้อน แน่นอนว่าฟางฮั่นคงจะตัดเนื้อของเขาออกมาสักสองสามชิ้นแล้ว !
ฟางฉางอิงหลบไปด้านหลังและตะโกนออกมา “แกเป็นบ้าไปแล้วงั้นหรือ ! ”
ฟางเถียนเดินมาเก็บผักที่หลังบ้านแทบจะล้มลงกับพื้นเมื่อเห็นลูกชายตนเองทะเลาะกับฟางฮั่น นางตะโกนลั่นอย่างเกรี้ยวกราด “นังจิ้งจอก แกกล้าที่จะฆ่าอาสามของตัวเองเชียวหรือ ! ”
ฟางฮั่นถอยหลังกลับไป ร่างกายของนางอ่อนแรงจากการใช้พลังงานไปอย่างหนักหน่วง ตอนนี้นางยังคงจับถือพลั่วไว้อย่างแน่นหนาและสายตายังคงโกรธแค้นฟางฉางอิงอย่างไม่ยอมลดละ
ฟางเถียนไม่เข้าใจว่าฟางฮั่นเป็นอะไร แต่รู้สึกว่าอีกฝ่ายต้องกลายเป็นบ้าไปแล้วแน่ ๆ
ฟางฉางอิงตะโกนออกมาอย่างลนลาน “นางเป็นบ้า นางเป็นบ้า นังเดรัจฉาน นังบ้า ! ”
เพื่อนบ้านที่อยู่โดยรอบเริ่มชะเง้อลำคอยืดยาวออกมาเมื่อได้ยินเสียงของคนทะเลาะกัน พวกเขาล้วนแต่อยากรู้อยากเห็นเรื่องของคนอื่นเสมอ
ฟางฮั่นไม่สนใจคนอื่นอีกต่อไป รอยยิ้มเย็นชาปรากฏขึ้นบนใบหน้าพร้อมกล่าวว่า “ใช่ ข้าต้องการจะฆ่าบุตรชายสุดที่รักของท่านย่า เพราะอาสามคนนี้กล้าที่จะเปลี่ยนพวกข้าสามพี่น้องให้กลายเป็นกระสอบทรายเมื่อตัวเองแพ้พนัน ! ”