ตอนที่ 31 เรียกขวัญ
ฟางเถียนเบิกตาโพลงทันทีเมื่อได้ยินประโยคนั้น นางเลิกสนใจฟางฮั่นพร้อมกับคว้าแขนของฟางฉางอิงอย่างรุนแรงและตะคอกถาม “เจ้าไปเล่นพนันอีกแล้วงั้นหรือ ? ! นี่เจ้ากล้าขัดคำสั่งของข้า ? ไหนเจ้ารับปากข้าว่าจะเลิกเล่นมันไง ! ”
ฟางฉางอิงกำลังถูกข่มเหงจากผู้เป็นแม่อย่างหนักหน่วง เขาตะโกนออกมาอย่างหมดความอดทน “โอ้ย ท่านแม่ ! ท่านอย่าทำตัวน่ารำคาญได้หรือไม่ นังเด็กนั่นมันก็พูดจาเรื่องไร้สาระไปทั่ว ทำไมท่านถึงต้องโวยวายเสียงดังด้วยเล่า ? ข้าเพียงแค่ไปเล่นพอหอมปากหอมคอในเทศกาลตรุษจีนเท่านั้นเอง”
หลังจากที่ฟางฉางอิงกล่าวจบ เขาพลันรู้สึกว่าที่แขนของเขานั้นมีบาดแผลและเลือดกำลังไหลออกมาจากบาดแผลนั้น สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไปทันที !
ฟางเถียนเห็นว่าลูกชายกำลังบาดเจ็บและดูท่าว่าเขาก็จะไม่ได้ทำผิดอะไรมากนัก นางจึงฟื้นคืนสติและหวนคิดถึงความบ้าระห่ำของฟางฮั่น เสียงสาปแช่งดังขึ้นอีกครั้ง “แม้ว่าอาสามของเจ้าจะเล่นการพนัน แล้วมันเป็นธุระกงการอะไรของเจ้างั้นหรือ ? นังเด็กบ้า เหตุใดเจ้าจึงไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีและกล้าที่จะทุบตีอาของตนเอง วันนี้ข้าจะใช้พลั่วนั่นทุบตีเจ้าด้วยเหมือนกัน ! ความผิดของเจ้ามากเกินกว่าที่ข้าจะยอมละเว้นให้ ! ถึงข้าจะฆ่าเจ้าทิ้งซะ วันนี้ก็ยังทดแทนกันไม่ได้เลย ! ”
ฟางเถียนโกรธจัดและเมื่อคิดถึงเรื่องต่าง ๆ พลันยิ่งโกรธมากขึ้น ดวงตาแดงฉานจับจ้องที่ฟางฮั่นอย่างโหดเหี้ยม
มุมปากฟางฮั่นยกขึ้นพร้อมกับเยาะเย้ย “ท่านย่าสมองเสื่อมแล้วงั้นหรือ ? ผู้พิพากษาพูดสิ่งใดไว้เมื่อสองสามวันที่แล้ว ? ไม่ใช่ว่าพวกท่านไม่ได้รับอนุญาตให้รังแกข้าแม้พวกท่านจะเป็นผู้อาวุโสกว่าก็ตามงั้นหรือ ! ”
ฟางเถียนเห็นว่าฟางฮั่นกล้าที่จะต่อปากต่อคำกับตนเอง นางยิ่งโกรธจัด แต่พลันนึกถึงสิ่งที่ผู้พิพากษาได้ออกคำสั่งเอาไว้ ความโหดเหี้ยมและต้องการทุบตีได้หายไปจากใจหมดสิ้น ความกลัวกลับเข้ามาแทนที่ คำสั่งเด็ดขาดนั้นยังตราตรึงอยู่ในหัวของนางอย่างชัดเจน
ฟางฮั่นใช้พลั่วชี้ไปที่ฟางฉางอิงพร้อมสาปแช่ง “หากท่านอาสามอยากจะเล่นพนันอะไรก็เล่นไป แต่ท่านจงอย่าเอาความโกรธที่พ่ายแพ้มาลงกับน้อง ๆ ของข้าเด็ดขาด ! ! ! อีกทั้งถ้าไม่มีใครหยุดท่านไว้ที่ทางเข้าหมู่บ้าน ชัดเจนว่าข้าคงจะตายคามือและเท้าของท่านเป็นแน่ ! การกระทำของข้าทั้งหมดในวันนี้คือการระบายความโกรธแทนน้องทั้งสองคนของข้า ท่านจงจำไว้ด้วย ! ความจริงแล้วข้า… ฟางฮั่นคนนี้ อยากจะตีท่านให้ตายคามือเพื่อให้ท่านไปพบกับพ่อแม่ของข้าสักหน่อย ไปบอกเขาสิว่าท่านมีวิธีดูแลลูกของพี่ชายตนเองอย่างไร ! ”
เสียงของฟางฮั่นเต็มไปด้วยความเยือกเย็นและดูท่านางจะเอาจริง ฟางฉางอิงทำเกินกว่าเหตุไปมาก ในใจของเขาเริ่มละอายพร้อมกับเริ่มเอ่ยปากพูดอย่างแผ่วเบา “เอาล่ะ ตกลง… นี่เป็นช่วงเทศกาลตรุษจีน อย่าได้กล่าวแช่งใครให้ตายตกเลย อาสามของเจ้าเพียงขาดสติไปครู่หนึ่งและทำให้เจ้าโกรธมาก ข้าขอให้มันจบเท่านี้ เจ้าจงกลับเข้าบ้านไปดูแลน้อง ๆ เถิด”
ฟางฮั่นไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีกนอกจากปักพลั่วลงพื้นอย่างรุนแรงพร้อมกับสายตาอาฆาตที่จับจ้องฟางฉางอิงอย่างไม่วางตา
ความโกรธในใจของฟางฉางอิงได้หายไปจนหมดสิ้น เขาตกตะลึงเมื่อเห็นหลานสาวโกรธจัดเช่นนี้ ความเจ็บปวดที่แขนเริ่มลุกลาม ร่างกายของเขาได้รับบาดเจ็บมาก เขาสบถออกมาสองถึงสามคำก่อนที่จะเดินคอตกกลับบ้าน “ท่านแม่หลบทาง ข้าจะกลับไปทำแผล ! ”
ฟางเถียนเห็นแผลมากมายบนร่างกายลูกชายนางยิ่งเป็นกังวลมากขึ้น การกระทำของฟางฮั่นทำให้นางยิ่งหวาดกลัวแต่ก็ยังไม่วายที่จะหันมาเหน็บแนมอีกฝ่าย “นังบ้า ! ”
จากนั้นนางจึงรีบเดินตามลูกชายกลับบ้านอย่างรวดเร็ว
เรื่องทั้งหมดนี้ดูดพลังงานชีวิตของฟางฮั่นไปเยอะมาก นางถือพลั่วเพื่อต่อสู้นานเกินไป ตอนนี้นางกำลังสงบสติอารมณ์และลากร่างกายอันหนักอึ้งเข้าบ้าน
ภายใต้แสงเทียนในห้อง ฟางฉือและฟางหมิงหวยต่างกอดกันตัวกลมอยู่บนพื้น
เด็กทั้งสองตกอยู่ในสภาวะหวาดกลัวตัวสั่น เมื่อเห็นพี่ใหญ่ของตนเดินเข้ามา พวกเขาคลายออกจากกันและพุ่งหาที่พึ่งของตนเองในทันที หมิงหวยน้ำตาอาบหน้าพร้อมตะโกนเสียงสะอื้น “พี่ใหญ่ ! ”
ฟางฮั่นกอดเด็กทั้งสองคนในอ้อมแขนเป็นเวลาเนิ่นนานกว่าที่จะเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาหยุดร้องไห้ได้
ส่วนฟางฉือสะอื้นและเริ่มเล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ข้ากับหวยเอ๋อออกไปเล่นกันที่สนามหญ้า สักพักท่านอาสามก็เดินมาที่ประตูพร้อมกับเริ่มดุด่าพวกเราอย่างบ้าคลั่ง...”
ฟางหมิงหวยตัวสั่นและหวาดกลัวอย่างมาก เขายังไม่หยุดร้องไห้และเริ่มสนับสนุนพี่สาว “พี่ใหญ่ อาสามน่ากลัวมาก ! ”
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับเด็กคือการคุกคาม เพราะมันอันตรายจนอาจถึงชีวิตได้…
ฟางฮั่นก่นด่าสาปแช่งฟางฉางอิงในใจเป็นร้อยพันครั้ง นางต้องใช้เวลาเกือบครึ่งคืนสำหรับปลอบโยนเด็กน้อย ฟางหมิงหวยยังเด็กและเขาไม่เคยพบเจอสถานการณ์ที่โหดร้ายเช่นนี้มาก่อน แม้ว่าทุกวันนี้นางจะพยายามเลี้ยงดูเขาอย่างดี แต่จิตใจของเขาก็ยังเปราะบาง ความกลัวทำให้คืนนี้ร่างกายเด็กน้อยมีไข้สูงขณะหลับ และเพราะฤทธิ์ไข้นี้เองทำให้ปากของเขายังละเมอแต่คำเดิม ๆ “อาสามอย่าฆ่าพวกเรา อย่าฆ่าพวกเรา”
แม้แต่ฟางฉือที่โตกว่ายังมีอาการหวาดกลัวไม่หายด้วยเช่นกัน แววตาของนางไร้ชีวิตชีวาและดูบอบช้ำอย่างมาก
สถานการณ์เลวร้ายมากขึ้นกว่าเดิม สิ่งนี้ยิ่งทำให้ฟางฮั่นเกลียดชังฟางฉางอิงมากขึ้น !
นางลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าอย่างเร่งรีบ เวลาเช่นนี้การจะหารถม้าเมื่อพาเขาเข้าไปหาหมอในเมืองนั้นเป็นไปไม่ได้เลย นางจำเป็นต้องบากหน้าไปพบหมอประจำหมู่บ้านและขอให้เขามาดูอาการของเด็ก ๆ แทน
ในคราแรกลี่ฉือผู้ตาบอดโกรธมากที่มีคนมาเคาะประตูในยามวิกาลเช่นนี้ แต่เมื่อเขาเห็นว่าเป็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ยากจนในตระกูลฟาง ความโกรธพลันหายลงกระเพาะไปจนหมดสิ้น เขาไม่สามารถเมินเฉยต่อเด็กหญิงตัวเล็กคนนี้ได้เลย อีกทั้งนางยังบอกว่าน้องตัวเล็กของตนกำลังมีไข้สูงมากเนื่องจากประสบเรื่องเลวร้าย เขาหยิบยาระงับไข้บางชนิดติดมือมาด้วยและเดินไปที่บ้านของนางเพื่อดูอาการของหมิงหวย
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือเด็กก็คือเด็ก จิตใจของพวกเขายังไม่แข็งแกร่งมากพอจะเผชิญเรื่องเลวร้ายได้ ความกลัวทำให้มีไข้และอาจทำให้จิตใจไม่มั่นคงไปอีกนาน
ยาที่เขานำมาด้วยนั้นเขาสั่งให้ฟางฮั่นบดมันและต้มให้เด็กชายกินเพื่อลดไข้ตามสูตรยา ส่วนฟางฉือได้ยาสมุนไพรที่มีฤทธิ์คลายเครียดด้วยเช่นกัน เขาให้ฟางฮั่นดูแลเด็กทั้งสองอย่างใกล้ชิดและในวันพรุ่งนี้เขาจะมาดูอาการอีกครั้ง
ฟางฮั่นขอบคุณและเดินออกไปส่งลี่ฉือ
ก่อนที่เขาจะจากไป เขาหันกลับมากระซิบกับเด็กหญิงว่า “เด็ก ๆ กำลังหวาดกลัว ไม่ว่าจะกลัวมากหรือน้อย มันมีอีกวิธีหนึ่ง เขาเรียกกันว่าเรียกขวัญ”
หลังจากนั้นเขาพูดถึงวิธีการเรียกขวัญอยู่สักพัก
แม้ว่าฟางฮั่นจะเกิดมาในยุคสมัยใหม่ มันเป็นเพราะความลึกลับทำให้นางถูกดึงกลับมาอยู่ในยุคโบราณเท่านั้น… ไม่รู้เหตุใดดลใจ ความลึกลับเข้าครอบงำจิตใจและตอบรับคำของลี่ฉือในคราวเดียว
ฟางฮั่นบดยาให้กับเด็ก ๆ อย่างต่อเนื่องและให้ทั้งสองคนแยกออกจากกันเพื่อป้องกันการติดไข้ จากนั้นนางทำพิธีเรียกขวัญเพื่อเรียกดวงวิญญาณของเด็กน้อยกลับมาตามที่ลี่ฉือได้บอกกล่าวเอาไว้ ฟางฮั่นใช้รองเท้าเล็ก ๆ ของหมิงหวยเดินไปรอบ ๆ รั้วของบ้านและเอารองเท้าตีผนังของกระท่อมพร้อมตะโกน “หวยเอ๋อกลับมาได้แล้ว หวยเอ๋อกลับมา ! ”
ฟางฮั่นตะโกนอยู่อย่างนั้นอยู่ 2 เค่อและเสียงของนางเริ่มแหบแห้ง จากนั้นนางจึงเดินขึ้นบ้านและเฝ้าดูทั้งฟางฉือและหมิงหวยอย่างใกล้ชิดตลอดทั้งคืน
นางไม่รู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะยาต้มหรือการเรียกขวัญเมื่อคืนนี้กันแน่ที่ทำให้ไข้ของหมิงหวยลดลงในเช้าวันถัดมา ส่วนฟางฉือก็มีอาการดีขึ้นด้วยเช่นกัน
หลังจากหมอลี่ฉือที่ตาบอดเห็นว่าเด็กทั้งสองเริ่มดีขึ้น เขาถอนหายใจยาวออกมาอย่างโล่งอก จากนั้นทิ้งยาไว้ให้กับฟางฮั่นประมาณสองถึงสามชุด ฟางฮั่นจ่ายเงินค่ารักษาให้กับเขาและกล่าวขอบคุณพร้อมกับเดินออกไปส่งลี่ฉืออย่างสุภาพ
น้าหกได้ยินข่าวลือจากในหมู่บ้าน นางรีบรุดมาที่บ้านของฟางฮั่นอย่างรวดเร็วด้วยความกังวลใจ พลันเห็นใบหน้าที่หดหู่และอดหลับอดนอนของฟางฮั่นยิ่งทำให้นางโศกเศร้าตามไปด้วย มือใหญ่ลูบหัวของหญิงสาวอย่างห่วงใย “โธ่ ฟางฮั่นของป้า…”
ฟางฮั่นพยายามยิ้มออกมาเพื่อให้น้าหกคลายความกังวลใจลงบ้าง
แต่ถึงอย่างไร ในสายตาของน้าหก ฟางฮั่นก็ยังคงเป็นเด็กน้อยคนหนึ่ง นางก็ต้องการคนดูแลด้วยเช่นกัน…
น้าหกช่วยดูแลเด็กน้อยทั้งสองคนอยู่สองสามวัน ซึ่งเรื่องนี้ฟางฮั่นไม่สามารถปฏิเสธความช่วยเหลือของนางได้เพราะนางก็เหนื่อยมากแล้ว อีกทั้งน้าหกยังไม่ต้องการให้นางเจ็บป่วยไปด้วยอีกคน นางจึงต้องยอมให้น้าช่วยดูแลเด็ก ๆ
อาจเป็นเพราะความรุนแรงของฟางฮั่นในสองสามวันที่ผ่านมา ผู้อาวุโสของตระกูลฟางไม่มีใครกล้าที่จะมาสร้างความวุ่นวายให้กับนางอีกเลย ชื่อเสียงของพวกเขายิ่งย่ำแย่มากขึ้นเรื่อย ๆ ข่าวมากมายกระจายสะพัดไปทั่วหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว ชื่อของฟางฮั่นยิ่งเลวร้ายกว่าเดิมมากด้วยเช่นกัน นางสามารถทุบตีผู้อาวุโสของตระกูลได้อย่างหน้าตาเฉย การดูหมิ่นผู้เฒ่าเช่นนี้ทำให้คนในหมู่บ้านเอือมระอา
ส่วนฟางหมิงเจียงซึ่งเป็นพี่ใหญ่แห่งตระกูลฟาง เขารับรู้สถานการณ์ในปัจจุบันทั้งหมดเป็นอย่างดี ในความเห็นของเขาแล้วถ้าหากว่าพฤติกรรมของฟางฮั่นเลวร้ายเกินไป มันก็สมควรที่จะตัดนางออกจากตระกูล นี่คือการกำจัดจุดอ่อนที่แท้จริง หลังจากที่เขาสามารถสอบผ่านในด้านศีลธรรมได้แล้ว วันข้างหน้าเรื่องเหล่านี้จะไม่มีวันรบกวนหนทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบของเขาได้อีก
บรรยากาศกลับมาสงบสุขอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเทศกาลตรุษจีนจะมาถึงแล้ว…