px

เรื่อง : แม่สาวชาวสวน **(จบแล้ว)**
ตอนที่ 36 ไปคุยถึงบ้าน


ตอนที่ 36 ไปคุยถึงบ้าน

 

ฟางฮั่นกล่าวขอบคุณหวังอี้เฟยและพ่อของเด็กชายซ้ำแล้วซ้ำอีก นางพร้อมที่จะพาน้องทั้งสองคนกลับบ้านแล้ว นี่คือเทศกาลตรุษจีนที่ควรจะมีความสุข ไม่มีใครควรต้องมาเผชิญเรื่องราวเช่นนี้

 

หวังอี้เฟยมองฟางฉือที่ถือผ้าเช็ดหน้าเปื้อนเลือด ชุดของนางก็ยังเลอะเทอะด้วยเช่นกัน เขากล่าวกับฟางฮั่นอย่างอ่อนแรง “ข้าทำผ้าเช็ดหน้าของน้องสาวเลอะเทอะเสียแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะนำเงินมาจ่ายให้น้องสาวเอง”

 

กุ้ยฟ่งตื่นตระหนกเมื่อได้ยิน นางร้องออกมาทันที “มันคือของของข้า เจ้าต้องจ่ายให้ข้าสิ เพราะเมื่อข้ากลับบ้าน ข้าจะถูกท่านแม่ดุเอา ! ”

 

หวังอี้เฟยชะงักไปชั่วขณะพร้อมกล่าวอย่างเขินอาย “โอ้… โอ้ ข้าต้องจ่ายอยู่แล้ว”

 

กุ้ยฟ่งพยักหน้าอย่างพอใจ

 

ฟางฮั่นไม่ได้สนใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านั้น ใบหน้าของนางเรียบเฉยขณะพาน้องทั้งสองคนกลับบ้าน

 

ขณะที่เดินมาใกล้จะถึงบ้านแล้ว นางเห็นฟางหมิงฮ่งกำลังเดินไปเดินมารอบ ๆ ประตูบ้านของนาง หลังจากเขาเห็นว่านางกลับมา เขาตกใจราวกับเห็นผีในเวลากลางวันแสก ๆ

 

ฟางฮั่นก้าวไปข้างหน้าและคว้าตัวฟางหมิงฮ่งไว้ทันที “เจ้าบอกครอบครัวเกี่ยวกับเรื่องที่เจ้าทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บหรือยัง ! ? ”

 

ฟางหมิงฮ่งแก้ตัวทันควัน “ปล่อยข้า ! ข้าจะบอกหรือไม่บอก มันก็ไม่ใช่เรื่องของเจ้า ! ”

 

“เจ้าเกือบจะทำร้ายน้องสาวของข้า แต่กลับบอกว่ามันไม่ใช่ธุระของข้างั้นหรือ ! ? ” ฟางฮั่นโกรธจัดทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น นางสาปแช่งเด็กชายพร้อมกระชากเขาเข้ามาใกล้ตัวและเริ่มตีก้นเขาอย่างไร้ปรานี

 

“วันนี้ข้าจะสั่งสอนเจ้าเอง ! ในเมื่อไม่มีใครสอนสั่งสอนเจ้า ข้าก็จะสอนเอง ! ข้าจะทำหน้าที่นี้แทนพ่อแม่เจ้าเอง ! ”

 

ฟางหมิงฮ่งร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด เด็กชายตัวอ้วนพยายามดิ้นรนให้หลุดออกจากพันธนาการ เขาถูกตีสี่ถึงห้าครั้งและความรุนแรงของมันไม่ใช่สิ่งที่เขาจะอดทนได้เลย

 

ฟางหมิงฮ่งร้องไห้อย่างหนักพร้อมตะโกน “ข้าจะไปฟ้องท่านย่า ! ”

 

ฟางฮั่นกล่าวเยาะเย้ย “รีบไปฟ้องซะสิ ถึงเจ้าจะไม่พูด ข้าก็จะไปพูดเรื่องนี้อยู่แล้ว ! เจ้ากล้าที่จะลงมือแต่ไม่กล้าที่จะรับผิดชอบ ! อายุของเจ้าเพียงเท่านี้แต่กล้าใช้ก้อนหินปาหัวคนอื่น มันแปลว่าอะไรกัน ? ! ฟางฉืออายุน้อยกว่าเจ้าด้วยซ้ำ ! เจ้าถูกเลี้ยงดูมาแบบไหนถึงกลายเป็นเด็กที่ป่าเถื่อนเช่นนี้ ทำไมจึงมีความคิดที่จะหยิบก้อนหินปาใส่หัวของนาง ? ถ้าหากไม่มีใครมาขวางหินก้อนนั้นไว้ ข้าก็คงจะต้องฆ่าเจ้าให้ตายตามฟางฉือไปแน่ ! ”

 

ฟางฮั่นคำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราด ดวงตาสีแดงฉานกลายเป็นดุร้ายมากเมื่ออยู่ต่อหน้าเด็ก

 

ฟางหมิงฮ่งหวาดกลัวจนตัวสั่น

 

ส่วนฟางหมิงหวยและฟางฉือก็ตกตะลึงเพราะไม่เคยเห็นพี่สาวของตนดุร้ายเช่นนี้มาก่อน

 

ฟางฮั่นโกรธเด็กอ้วนตรงหน้าอย่างบอกไม่ถูก นางคว้าน้องทั้งสองคนให้เดินเข้าบ้านพร้อมกับปิดประตูกระแทกใส่หน้าของฟางหมิงฮ่งอย่างตั้งใจ

 

หลังจากทั้งสามเดินเข้าบ้านมาแล้ว ฟางฮั่นนั่งลงบนพื้นพร้อมกับสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ ส่วนเด็กน้อยทั้งสองเหลือบมองหน้ากันพร้อมร่างกายที่แข็งทื่อ

 

ฟางฉือคลานเข้าไปหาพี่ใหญ่พร้อมกล่าวอย่างประจบ “พี่ใหญ่ ข้าจะเชื่อฟังทุกอย่างและจะเป็นเด็กดี โปรดอย่าตีเราเหมือนกับที่ท่านตีหมิงฮ่งเลย”

 

ฟางฉือไม่แม้แต่จะเรียกอีกฝ่ายว่าพี่ นางเรียกชื่อของหมิงฮ่งออกมาโดยตรง

 

ฟางหมิงหวยพยักหน้าเห็นด้วยพร้อมตอบรับ “ข้าก็จะเป็นเด็กดีนะ”

 

ฟางฮั่นถอนหายใจยาวพร้อมกับอ้าแขนโอบกอดทั้งสองเอาไว้โดยไม่ได้กล่าวอะไร

 

นางสาบานภายในใจว่าสักวันนางจะต้องพาน้องทั้งสองคนออกไปจากขุมนรกนี้ให้ไกลที่สุด เท่าที่จะไกลได้ !

 

วันถัดมา ครอบครัวของหวังอี้เฟยทั้งหมดได้มาที่บ้านของตระกูลฟางอย่างพร้อมเพรียง ทั้งพี่ชาย 3 คนของเขาเองและพี่ชายต่างแม่อีก 3 คน แม้แต่ปู่ของเขาก็ยังมาที่นี่โดยใช้ไม้เท้าค้ำยันเช่นกัน

 

กลุ่มคนขนาดใหญ่นี้ทำให้ชาวบ้านที่อยู่โดยรอบชะเง้อคอยาวอย่างอยากรู้อยากเห็น

 

หวังอี้เฟยและพ่อแม่ของเขาเฝ้ารออยู่ที่บ้านตลอดคืนที่ผ่านมา พวกเขาคิดว่าเด็กที่กระทำผิดจะพาครอบครัวมาเพื่อขอโทษ แต่ทุกสิ่งเงียบสงัดไร้แม้เงา เช่นนี้ยิ่งทำให้พวกเขาโกรธจัดมากขึ้นไปอีก

 

เมื่อวานนี้มีชาวบ้านมากมายรู้ว่าหลานชายสุดที่รักของนักวิชาการเก่าหัวแตก แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าใครเป็นผู้ลงมือ หนึ่งก็คือเพราะพ่อแม่ของหวังอี้เฟยคิดว่าลูกของอีกฝ่ายยังเด็กมากและคงไม่รู้ประสา เขาคงจะกลับบ้านไปบอกกล่าวมันกับพ่อแม่และให้พ่อแม่ตัดสินใจว่าควรจะทำอย่างไรต่อ หลังจากนั้นพวกเขาคงจะมาที่บ้านและขอโทษหวังอี้เฟยด้วยตนเอง ถ้าหากเป็นเช่นนี้เรื่องทุกอย่างก็จะจบลงอย่างง่ายดาย สองคือกุ้ยฟ่งกลัวแม่ของนางอย่างมาก เสื้อผ้าและผ้าเช็ดหน้าของนางเปรอะเปื้อนไปหมดและนางไม่กล้าจะบอกเรื่องนี้กับครอบครัวตนเอง

 

ส่วนฟางหมิงฮ่งนั้นคิดว่าไม่ต้องการให้ครอบครัวรู้ว่าเขาสร้างปัญหา เขาจะไม่พูดอะไรทั้งนั้นพร้อมกับปล่อยเรื่องราวให้เงียบหายไปเอง แม้ชาวบ้านจะชอบยุ่งเรื่องคนอื่น แต่มีไม่กี่คนหรอกที่จะรู้เรื่องราวจริง ๆ

จนกระทั่งครอบครัวของหวังอี้เฟยมุ่งหน้าไปที่บ้านตระกูลฟาง ชาวบ้านทุกคนรู้ทันทีว่าตระกูลฟางสร้างปัญหาอีกแล้ว

 

ทุกคนเริ่มจับจองพื้นที่ในการซุบซิบ ปีที่ผ่านมาตระกูลฟางได้แสดงหลายสิ่งให้ทุกคนได้เห็น แต่ดูเหมือนตรุษจีนนี้ตระกูลฟางก็ยังไม่หยุดที่จะสร้างปัญหาให้กับตนเอง…

 

ฟางฮั่นรู้ดีเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวนั้น

 

เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพวกนางด้วย ดังนั้นมือหนึ่งของนางจับฟางฉือ อีกมือจับฟางหมิงหวยเอาไว้ มันมีส่วนที่นางจะต้องรับผิดชอบด้วยเช่นกัน

 

ตระกูลฟางยังคงพูดคุยกันอยู่ในบ้านอย่างไม่รู้ว่ามีเรื่องราว ฟางหมิงเจียงจะต้องไปพบอาจารย์ที่วิทยาลัยในเมือง พวกเขากำลังหารือกันเกี่ยวกับของขวัญที่ควรจะหยิบติดมือไปสวัสดีปีใหม่อาจารย์ ฉับพลันนั้นฟางอ้ายวิ่งเข้ามาพร้อมตะโกนขึ้นว่า “ท่านย่า ไอ้ อี ที่ไหนไม่รู้อยู่เต็มหน้าบ้านเราเลย”

 

ฟางเถียนค่อนข้างถือเรื่องคำพูดในช่วงปีใหม่อย่างมาก แต่คำพูดที่เลวทรามกลับถูกพ่นออกมาจากปากของหลานรักตนเอง นางระงับอารมณ์เอาไว้และกล่าวเสียงเย็นชา “มีอะไรงั้นหรือฟางอ้าย ? อีกอย่างเราไม่ได้ตกลงกันงั้นหรือว่าห้ามพูดคำหยาบในเทศกาลตรุษจีน”

 

ฟางอ้ายตื่นตระหนกอย่างกังวลใจ ส่วนฟางหมิงเจียงมองออกไปด้วยความตื่นตระหนกเช่นกัน เขาเปิดประตูออกไปข้างนอกพร้อมอุทานเสียงดัง “ท่านอาจารย์ ทำไมท่านจึงมาอยู่ที่นี่ได้ขอรับ ? ”

 

กลางลานบ้าน หวังเหล่าซิ่วยืนอยู่พร้อมกับไม้เท้าค้ำยันพื้น เขาคืออาจารย์ของฟางหมิงเจียง ผู้อาวุโสคนนี้คือคนที่เขียนจดหมายแนะนำตัวเพื่อส่งเขาไปเรียนในเมือง

 

หวังเหล่าซิ่วกระแอมออกมาเล็กน้อยก่อนจะกล่าว “โอ้ หมิงเจียง… เป็นเจ้างั้นเหรอ ไม่เลวเลย ไม่เลว”

 

ฟางหมิงเจียงเห็นตระกูลใหญ่เดินทางมาถึงบ้านของเขาด้วยตนเอง แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เขาก็เข้าใจได้ว่าสถานการณ์คงจะเลวร้ายพอสมควร เพราะครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นการต่อสู้ที่รุนแรงก็คือเด็กสามคนเดินออกจากตระกูลฟางและยอมให้น้าหกกลายเป็นผู้ดูแลเด็กแทนอย่างชอบธรรม

 

ฟางหมิงเจียงมึนงงกับเหตุการณ์นี้เล็กน้อย ยิ่งอาจารย์ของเขากล่าวออกมาเช่นนั้นยิ่งทำให้เขารู้สึกกังวลมากยิ่งขึ้น

 

เมื่อได้ยินเสียงอุทานของฟางหมิงเจียง กลุ่มผู้อาวุโสตระกูลฟางลุกขึ้นพร้อมวิ่งออกมาหน้าบ้านทันที จากนั้นเขาก็ได้เห็นว่านั่นคืออาวุโสหวังเหล่าซิ่วจากโรงเรียนในหมู่บ้านถัดไป

 

ในยุคนี้นักวิชาการที่ยอดเยี่ยมยังคงเต็มไปด้วยความน่าเชื่อถืออย่างมาก แม้แต่หญิงสาวในชนบทยังอดไม่ได้ที่จะเกรงกลัวอำนาจของตระกูลหวังซึ่งมีหวังเหล่าซิ่วเป็นผู้อาวุโส

 

“ผู้อาวุโสหวังเหล่าซิ่ว เหตุใดท่านจึงมาถึงที่นี่ได้งั้นหรือ ? ” ฟางเถียนเผยรอยยิ้มพร้อมก้าวไปด้านหน้า “เข้ามาข้างในก่อนเถิด ข้างนอกค่อนข้างหนาว”

 

หวังเหล่าซิ่วเคาะไม้เท้าบนพื้นพร้อมไอออกมาสองสามครั้งก่อนจะกล่าวว่า “ไม่ต้องเข้าไปในบ้านหรอก ข้ามาที่นี่วันนี้เพียงเพราะต้องการคำอธิบายให้กับหลานชายที่น่าสงสารของข้า”

 

จากนั้นหวังเหล่าซิ่วเอ่ยกับอี้เฟยที่อยู่ข้าง ๆ เขา “อี้เฟย บอกเล่าเรื่องราวกับผู้อาวุโสทั้งสองคนนั้นสิ”

 

อี้เฟยเดินไปด้านหน้าอย่างเงียบเชียบ

 

อี้เฟยยังเด็กมาก แต่เขาเป็นคนฉลาดและเต็มไปด้วยไหวพริบ แม้นี่จะไม่ใช่สิ่งที่เขาตั้งใจจะทำ แต่เขาก็รู้ดีว่าครอบครัวของเขาต้องการทวงความยุติธรรม เขาไม่สามารถจะโต้แย้งหรือยอมความใด ๆ ได้

 

ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายยังเด็กมากและมีนิสัยก้าวร้าว เขาได้ยินมาว่าหมิงฮ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของเด็กหญิงตัวเล็กคนนั้น เขารุนแรงกับผู้อื่นจนน่าหวาดกลัว ถ้าหากคราวนี้ไม่ปรามเขาเอาไว้ ในอนาคตเด็กหญิงตัวเล็กคนนั้นคงจะต้องพิการหรือได้รับบาดเจ็บสาหัส เช่นนี้เด็กชายอ้วนจะต้องถูกผู้พิพากษาตัดสินโทษในอนาคต

 

บนศีรษะของหวังอี้เฟยมีผ้าพันแผลผูกเอาไว้ แม้เขาจะเด็กอยู่แต่ก็กล่าวออกมาอย่างชัดเจน “ ท่านปู่ฟาง ท่านย่าฟาง เมื่อวานนี้หลานชายของท่านขว้างก้อนหินใส่ศีรษะของข้า ครอบครัวของข้าเฝ้ารอคำขอโทษจากเขาทั้งคืนแต่ก็ไร้วี่แวว ดังนั้นในวันนี้ข้าและครอบครัวจึงมาที่นี่เพื่อถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

 

ฟางฮั่นอดไม่ได้ที่จะลอบพยักหน้ารับ

 

หวังอี้เฟยมีอายุใกล้เคียงกับฟางหมิงฮ่ง แต่ดูจากการสนทนาและคำพูดจาของเขาแล้วห่างไกลกว่าหมิงฮ่งหลายเท่า !

 

หวังเหล่าซิ่วกล่าวเสริมอย่างเย็นชา “เจ้าก็รู้ว่าครอบครัวของข้าเต็มไปด้วยทายาทมากมาย แต่อย่าหาว่าข้าโอ้อวดหรืออะไรเลยเถอะ หลานชายคนนี้เป็นอัจฉริยะของตระกูล การที่หลานชายของเจ้าขว้างหินใส่ศีรษะของเขาโดยตรงเช่นนี้มันหมายความว่าอย่างไร ถ้าหากเขาตายขึ้นมา พวกเจ้าสามารถชดใช้ให้กับครอบครัวของข้าได้หรือไม่ ? ”

 

“หลานชายของข้างั้นหรือ ? ” ฟางจงโยว่เหลือบมองฟางหมิงเจียงโดยไม่รู้ตัว อีกฝ่ายส่ายศีรษะอย่างมืดมน

เมื่อวานเขาออกไปเยี่ยมเพื่อนมาก็จริง แต่ทุกคนล้วนแต่มีการศึกษาและไม่มีใครทำตัวเป็นอันธพาล ทำไมเขาจะต้องทำพฤติกรรมแบบนั้นด้วยล่ะ ?

 

ทันใดนั้นฟางเถียนก็คิดถึงฟางหมิงหวยทันที ดวงตาของนางเบิกกว้างพร้อมกล่าวออกมา “จะต้องเป็นเจ้าเด็กแสบตัวเหม็นนั่นแน่ ! ” นางตะโกนเสียงดัง “ท่านอย่าเพิ่งโกรธไปเลย ข้าจะไปลากเด็กตัวเหม็นพวกนั้นมาขอโทษท่านทั้งหมดเดี๋ยวนี้”

 

ฟางหมิงหวยซึ่งยืนอยู่ข้างพี่ใหญ่ของตนรีบตะโกนออกมาในทันที “หวยเอ๋อไม่ได้ทำ ! ”

 

ดวงตาดุร้ายของฟางเถียนตวัดไปหาฟางหมิงหวยอย่างเย็นชา สีหน้าที่แสดงออกถึงความรังเกียจเด่นชัดขึ้นบนใบหน้า

 

“ถ้าไม่ใช่แกแล้วจะเป็นใคร…” นางกล่าวออกมาก่อนที่ประโยคสุดท้ายจะค่อย ๆ เลือนหายไป

แต่นางยังมีหลานชายอีกคนหนึ่ง

 

ฟางหมิงฮ่ง

 

หวังอี้เฟยรู้สึกเห็นใจเด็กชายตรงหน้าจึงกล่าวออกมาอย่างชัดเจน “หวยเอ๋อเป็นเด็กดี เขาไม่ได้ทำร้ายข้า คนที่ขว้างหินใส่ข้าคือฟางหมิงฮ่ง”

 

เสียงประกาศกร้าวดังก้อง !

 

ศีรษะของฟางเถียนราวกับถูกฟ้าผ่า

 

ฟางหมิงฮ่งทำมันจริงหรือไม่ ! ?

 

ใบหน้าของฟางหมิงเจียงเปลี่ยนสีทันที ฟันกรามของเขาขบเข้าหากันแน่นจนเจ็บปวด !

 

เขากำลังจะมีอนาคตที่สดใสในปีนี้ แต่ครอบครัวกลับพยายามที่จะดึงเขาลงต่ำอยู่เสมอ ! น้องชายตัวดีของเขาไปเรียนรู้วิธีการเอาก้อนหินขว้างหัวคนอื่นจากที่ไหนกัน ! แถมอีกฝ่ายกลับเป็นถึงหลานคนโปรดของอาจารย์เขาอีกด้วย !

 

อีกฝ่ายไม่ใช่คนที่จะสามารถยั่วยุได้ เหตุใดเขาจึงดุร้ายกับคนอื่นได้มากขนาดนี้ แล้วตอนนี้ไอ้หมาตาขาวตัวการของเรื่องนั้นไปหลบอยู่ที่ไหน !

 

รีวิวผู้อ่าน