px

เรื่อง : แม่สาวชาวสวน **(จบแล้ว)**
ตอนที่ 41 ส่วนแบ่ง


ตอนที่ 41 ส่วนแบ่ง

 

ท่านผู้หญิงของบ้านผู้พิพากษากำลังปวดหัวจากปัญหาที่ลูกชายคนที่สองได้ก่อเอาไว้ นางคิดว่าจะเรียกหาแม่บ้านสักหน่อยเพื่อให้อีกฝ่ายนวดศีรษะคลายเครียดให้ แต่ในขณะที่กำลังคิดเช่นนั้นอยู่ นางรู้สึกว่าแม่บ้านของตนที่กำลังจัดผลไม้ใส่ถาดและจานอย่างเป็นระเบียบเช่นทุกวัน แต่วันนี้กลับมีสิ่งที่ผิดแปลกไปจากเดิม ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะดูดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา มันเป็นเพราะเหตุใดกัน ?

 

“หงจิ้ง… วันนี้เจ้าดูดีกว่าที่เคยนะ” ท่านผู้หญิงกล่าวขึ้นอย่างเป็นกันเอง “ดูเหมือนผิวพรรณของเจ้าจะสดใสและดูอ่อนเยาว์กว่าวัยไปมากโขเชียว”

 

หงจิ้งที่ได้ยินเช่นนั้นนางรีบคุกเข่าลงทันที “เรื่องนั้นข้าต้องขอบคุณท่านผู้หญิงที่เมตตาข้าอย่างแท้จริง”

 

“โอ้ ? ทำไมเจ้าจะต้องขอบคุณข้าด้วยล่ะ ? ” ท่านผู้หญิงอุทานออกมาพร้อมกล่าวติดตลก “เจ้าแอบขโมยกินของบำรุงของข้างั้นหรือ?”

 

หงจิ้งตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวทันทีพร้อมกับก้มหัวต่ำและตอบอย่างซื่อตรง “เมื่อสองสามวันก่อนท่านได้มอบกล่องไม้แกะสลักให้กับข้า ข้างในมีสบู่อยู่ 5 ก้อน มันเป็นสิ่งที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน กลิ่นหอมของมันเย้ายวนอย่างมาก ข้าจึงใช้มันทุกวันและดูเหมือนว่ามันจะทำให้ผิวพรรณของข้าดีขึ้นอย่างบอกไม่ถูก”

 

แววตาของท่านผู้หญิงทอประกายอย่างใคร่รู้ “มีสิ่งของดี ๆ เช่นนั้นด้วยหรือ ? ”

 

ดูเหมือนว่าเวลานั้นนางจะไม่ค่อยประทับใจกล่องไม้แกะสลักนั้น แต่ตอนนี้กลับอยากรู้ขึ้นมา “มันมีอะไรอื่นอีกไหม เอามาให้ข้าดูบ้างสิ”

 

หงจิ้งวิ่งกลับไปที่ห้องพักของตนเองอย่างรวดเร็วพร้อมกับหยิบสบู่ที่เหลือออกมา ขนาดของมันเล็กมากแต่ผลลัพธ์ค่อนข้างยอดเยี่ยม นางมอบมันให้กับครอบครัวของตนเองไปบ้างและเหลือมันไว้เพียงแค่ชิ้นเดียว

 

ท่านผู้หญิงกวาดสายตาไปรอบ ๆ สบู่ก้อนเล็กจ้อยในมืออย่างสนใจ นางรู้สึกตกหลุมรักกลิ่นของมันในทันทีที่พบและอดไม่ได้ที่จะโกรธตัวเอง ทำไมในวันนั้นนางจึงไม่ลองเปิดดูมันสักหน่อย แต่คิดเช่นนั้นไม่มีประโยชน์อะไร

 

นางรีบกล่าวอย่างสนใจว่า “รีบไปเอาน้ำมาเร็วเข้า”

 

หลังจากที่ได้ลองแล้ว ท่านผู้หญิงตื่นตระหนกกับผลลัพธ์ของมันอย่างมาก ตอนนี้นางถือว่าเป็นสาวใหญ่ซึ่งผิวพรรณของนางย่ำแย่มาก มันทั้งแห้งและหยาบกร้าน แต่สบู่ก้อนนี้มันสามารถคืนความชุ่มชื้นให้กับผิวได้อย่างชัดเจน แทบจะเห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้ด้วยซ้ำ

 

“เรียกคนเฝ้าประตูมาพบข้าเดี๋ยวนี้” ท่านผู้หญิงที่เห็นว่าใบหน้าของตนดูดีขึ้นเช่นนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะเร่งเร้าเพื่อสืบความ

 

นางถามทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นอย่างละเอียดพร้อมกับได้รู้ว่ามันคือเด็กหญิงตัวเล็กคนหนึ่งและนางได้บอกกล่าวไว้ว่าจะมาอีกครั้งในภายหลัง…

 

จากนั้นจึงสั่งคนรับใช้ว่าถ้าหากนางมาอีกครั้งให้รีบพานางเข้ามาข้างในทันที

 

คนรับใช้พลันนึกถึงเงินที่เด็กหญิงตัวเล็กให้ไว้ เขาจึงกล่าวออกมาอีกประโยคหนึ่งว่า… นางบอกว่าท่านผู้พิพากษาได้ชวนนางมาที่บ้านด้วย

 

ท่านผู้หญิงเมื่อได้ยินเช่นนั้นนางพลันคิดถึงสิ่งที่สามีได้บอกกล่าวไว้ก่อนหน้า นางจำได้ว่าสามีบอกเล่าเกี่ยวกับเรื่องราวของเด็กหญิงคนหนึ่งซึ่งมีความสัมพันธ์กับขุนนางที่ไม่สามารถยั่วยุได้ นางไม่ได้โกรธเคืองเรื่องนี้เลยพร้อมสั่งให้คนรับใช้ต้อนรับนางอย่างดีในฐานะแขก

 

นางรู้สึกทุกอย่างช่างผิดพลาดไปหมด ท่านผู้หญิงรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยที่ไม่อาจรักษาความสัมพันธ์ที่ดีเอาไว้ในคราวนั้น นางโบกมือไล่ให้คนรับใช้ออกไปอย่างคิดใคร่ครวญ หลังจากนั้นนางก็ตัดสินใจที่จะสร้างมิตรกับเด็กหญิงตัวน้อยให้ดีที่สุดถ้าหากว่านางมาที่นี่อีกครั้ง

 

ฟางฮั่นกลับมารอที่บ้านสองสามวันแล้ว แต่นางก็ไม่รีบร้อนที่จะไปพบผู้พิพากษาอีกครั้ง เพราะในยุคนี้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวนั้นหาได้ยากเย็นยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อเอาสบู่ของนางเทียบกับของเดิมที่มีในยุคนี้เรียกได้ว่ามันแตกต่างกันอย่างมาก สบู่ของนางสามารถเอาชนะของดั้งเดิมได้อย่างง่ายดาย

 

ฟางฮั่นไม่กลัวว่าท่านผู้หญิงจะไม่สนใจมันเลยแม้แต่น้อย

 

ตราบใดที่เจ้ายังเป็นผู้หญิง เจ้าจะไม่สนใจความสวยงามของตนเองได้อย่างไรกัน ?

 

เมื่อคิดเช่นนี้ ฟางฮั่นจึงหยุดอยู่บ้านสักสองสามวันและนางนั่งคิดเรื่องราวไปเรื่อย พร้อมกับนึกถึงฟางหมิงหวยที่อายุ 5 ขวบและฟางฉือที่อายุได้ 7 ขวบแล้ว ถ้าหากเทียบกับโลกใบเก่าของนาง เด็กสองคนนี้ควรจะอยู่ในชั้นประถมและสามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้แล้ว

 

ฟางฮั่นจึงนั่งรถเข้าเมืองเพื่อซื้อคัมภีร์สามอักษร นางมองดูมันด้วยตนเองก่อนจะพบว่ามันค่อนข้างแตกต่างจากที่นางรู้จักสักหน่อย แต่ก็ไม่ยากเกินการคาดเดาที่เก่งกาจของนางได้ หลังจากนี้นางตั้งใจว่าจะจับหมิงหวยและฟางฉือมานั่งเรียนหนังสือ !

 

ฟางฉือพลันนึกถึงแม่ของตนเองทันที นางเคยสอนให้พี่ใหญ่อ่านหนังสือ แต่เวลานั้นนางยังเด็กและไม่พร้อมเรียนรู้ นางจำได้เพียงสองถึงสามคำแต่มันก็เลือนรางเพราะผ่านมาเนิ่นนานแล้ว

 

ทั้งสองคนนั่งยอง ๆ อยู่ในสนามหญ้าพร้อมกับเริ่มฝึกอ่านคำอย่างแข็งขัน

 

ฟางฮั่นสอนให้เด็กน้อยทั้งสองเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของตนเอง ในยุคนี้ยังมีสิ่งนี้เหลืออยู่ซึ่งหลังจากนี้มันจะกลายเป็นจุดจบของราชวงศ์ฮั่น ในยุคนี้โบราณเกินไปและนางไม่ค่อยรู้เรื่องราวในประวัติศาสตร์มากนัก มันเกินขอบเขตที่นางได้ร่ำเรียนมา จนถึงตอนนี้นางก็ยังไม่รู้ว่าตนเองกำลังอยู่ในยุคของราชวงศ์ไหนกันแน่

 

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ฟางฮั่นนำสบู่ดอกเหมยสองสามชิ้นและขนมเข้าเมืองอีกครั้ง

 

สองสามวันที่ผ่านมาคนรับใช้ที่เฝ้าประตูทำงานอย่างยากลำบาก พวกเขาถูกเรียกขึ้นไปที่อาคารทุกวันเพื่อสอบถามว่าเด็กหญิงตัวน้อยคนนั้นกลับมาอีกหรือยัง

 

ทันทีที่คนเฝ้าประตูเห็นฟางฮั่นปรากฏตัวขึ้นที่ประตูใหญ่ เจ้าหน้าที่ทุกคนแทบจะวิ่งมาล้อมรอบนางและต้อนรับนางอย่างยินดี

 

“เด็กน้อยเข้ามาด้านในเร็วเถิด” คนรับใช้วิ่งมาหาฟางฮั่นพร้อมกับช่วยนางถือของอย่างกระตือรือร้นและกล่าวกับนางอย่างสุภาพ “ท่านผู้หญิงเฝ้ารอการกลับมาของเจ้าอย่างใจจดจ่อ”

 

เมื่อเห็นท่าที่เร่งรีบของคนรับใช้ที่มีต่อนาง ฟางฮั่นอดคิดไม่ได้ว่าสบู่ดอกเหมย 5 ก้อนนั้นมันไม่เพียงพองั้นหรือ ? เหตุใดอีกฝ่ายจึงดูเร่งรีบเช่นนี้ ?

 

หรือว่านางอาจจะรู้สึกถึงผลลัพธ์ยอดเยี่ยมของมันและต้องการซื้อ ?

 

ฟางฮั่นคาดเดาไปต่าง ๆ  นานาอย่างสนุกสนานพร้อมกับเดินตามคนรับใช้เข้าไปด้านในด้วยความตื่นเต้น

ท่านผู้พิพากษาเข้ามาถึงในห้องโถงพร้อมกับนั่งรอแขกคนสำคัญอย่างตื่นเต้น ทันทีที่รู้ว่าเด็กหญิงตัวน้อยมาถึงแล้วเขาอดไม่ได้ที่จะยืนขึ้นอย่างเฝ้ารอ

 

ส่วนท่านผู้หญิงก็ตื่นเต้นมากเช่นกัน เมื่อนางเห็นร่างเล็กเดินเข้ามาดวงตากลับทอประกายเจิดจ้าราวกับได้พบสิ่งของที่อยากได้ “โอ้ สาวน้อย เจ้าช่างน่ารักเหลือเกิน”

 

“ฟางฮั่น ดีใจที่ได้พบเจ้าอีกครั้ง” ฟางฮั่นเดินเข้ามาพร้อมกับรีบโค้งคำนับให้กับอาวุโสทั้งคู่ด้วยความเคารพ ท่านผู้หญิงรีบกล่าวออกมาอย่างเป็นกันเอง “เจ้าเป็นเด็กดีมาก ข้ารู้สึกตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบเชียว”

 

นางต้องการที่จะถอดกำไลหยกและมอบมันให้กับฟางฮั่น แต่ทว่านางกลับชะงักพร้อมหัวเราะออกมาขณะคิดอะไรบางอย่างได้ “โอ้ บ้าจริง ข้าทำอะไรลงไปเนี่ย สิ่งของชิ้นนี้ทั้งเก่าและล้าสมัยอย่างมาก เด็กสาววัยแรกรุ่นจะชอบมันได้อย่างไรกัน ข้าคิดน้อยเกินไปจริง ๆ ”

 

ไม่ ไม่ ไม่ ! ข้าไม่ใช่เด็กน้อย ! ข้าชอบมัน ! ชอบมาก !

 

ฟางฮั่นมองดูกำไลหยกที่อยู่ในมือของอีกฝ่ายพร้อมกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งอยู่ภายในใจ

 

นางชอบสิ่งของที่ทำจากหยกมาก มากเหลือเกิน !

 

หลังจากนั้นท่านผู้หญิงจึงหยิบสิ่งของชิ้นใหม่ออกมา มันมีความหรูหราและน่ารักเหมาะสมกับฟางฮั่นอย่างมาก ซึ่งก็คือปิ่นปักผมสีเงินคู่หนึ่ง น้ำหนักของมันไม่มากนักแต่เป็นสิ่งที่สวยงามและดูดีมาก

 

ฟางฮั่นเป็นเด็กน้อยที่มาจากครอบครัวยากจน เมื่อนางเห็นปิ่นปักผมชิ้นนี้พลันตกหลุมรักมันในทันที รอยยิ้มสดใสผุดขึ้นมาบนใบหน้าพร้อมกับรับสิ่งของนี้ไว้อย่างเต็มใจ จากนั้นนางกล่าวขอบคุณท่านผู้หญิงอย่างใสซื่อ

 

เสร็จสิ้นการมอบของขวัญแรกพบ สายตาของท่านผู้หญิงจับจ้องไปที่กล่องไม้แกะสลักเล็ก ๆ พร้อมกับอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถามออกมา “เด็กน้อยฟางฮั่น นี่คือสบู่ที่เจ้านำมาให้ข้าครั้งที่แล้วใช่หรือไม่ ? ”

 

ฟางฮั่นพยักหน้ารับพร้อมกับเปิดกล่องไม้ออกและด้านในมีสบู่ดอกเหมยวางเรียงกันอยู่ 5 ก้อน “ท่านผู้หญิง นี่คือสบู่ดอกเหมย มันถูกสกัดมาจากดอกเหมยบริสุทธิ์ซึ่งมีคุณประโยชน์มากมาย ไม่เพียงแต่มันจะช่วยทำให้ผิวพรรณเรียบเนียนและอ่อนนุ่ม มันยังช่วยลดริ้วรอยและจุดด่างดำต่าง ๆ ทำให้ผิวสดใสยิ่งกว่าเดิม”

 

ท่านผู้หญิงได้ยินเช่นนั้นหัวใจของนางแทบจะถลนออกมา นางรีบหยิบกล่องไม้เล็ก ๆ ขึ้นมาพร้อมกับจับสบู่ดอกเหมยอย่างรักใคร่ “ข้าไม่เคยเห็นสบู่ดอกเหมยนี่มาก่อนเลย ฟางฮั่น เจ้าซื้อมันมาจากไหนหรือ ? ”

 

นางต้องการจะซื้อมันสัก 10 ตำลึง ! ไม่สิ 50 ตำลึงต่างหาก !

 

ฟางฮั่นส่ายศีรษะพร้อมตอบกลับ “ข้าไม่ได้ซื้อ แต่ข้าทำมันขึ้นมาเอง”

 

ก่อนที่ท่านผู้หญิงจะทันได้ตกใจอะไร ฟางฮั่นชิงคุกเข่าลงอย่างเร่งรีบพร้อมกล่าวออกมาอย่างไร้เดียงสา “เด็กน้อยคนนี้ได้รับสูตรของมันมาโดยบังเอิญ ข้าจึงจัดทำสบู่ดอกเหมยนี้ขึ้นมา แต่ข้าน้อยคนนี้ก็รู้ดีว่าข้ายังอ่อนแอเกินกว่าจะทำการซื้อขายครั้งใหญ่ในเมืองนี้ได้ด้วยตนเอง ถ้าหากข้ามีสมบัติมากมายติดตัวก็คงจะเป็นอันตรายอย่างแน่นอน เรื่องราวมันควรจะจบลงที่ข้าขอมอบธุรกิจนี้ให้กับท่านผู้หญิงได้สานต่อมันให้สำเร็จ… ข้าหวังว่าท่านจะเมตตา”

 

ท่านผู้หญิงอุทานออกมา “สูตรอะไรกันที่สามารถวิเศษได้ขนาดนี้ เป็นของขุนนางทั้งสองคนนั้นหรือ ? ”

 

ขุนนางสองคน ?

 

ฟางฮั่นตกใจเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นจะถูกเข้าใจผิดหน่อยก็ดีเหมือนกัน เพราะในตอนนี้นางไม่ต้องการอธิบายที่มาของสบู่ดอกเหมยนี้

 

นอกจากนี้นางอาจจะไม่ได้พบเจอกับสองคนนั้นอีกแล้ว อย่างไรก็ตามนางควรจะยืมชื่อของพวกเขามาสักหน่อย ทันใดนั้นรอยยิ้มจาง ๆ ผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเด็กน้อยและไม่มีคำพูดใดตอบกลับมา

 

ท่านผู้หญิงเข้าใจสถานการณ์และโบกมือเป็นพัลวัน “ตามสูตรที่ขุนนางสองคนนั้นมอบให้งั้นหรือ… อืม แล้วเราจะแบ่งผลประโยชน์กันอย่างไรล่ะ ? ”

 

แม้ว่านางจะมองเห็นโอกาสทางธุรกิจที่ยอดเยี่ยม แต่เมื่อนึกถึงอิทธิพลของขุนนางทั้งสองคนในวันนั้นแล้ว นางรู้สึกว่าจะต้องมีส่วนแบ่งอะไรสักอย่างให้กับเด็กหญิงตรงหน้าด้วยเช่นกัน

 

ฟางฮั่นยืนยันซ้ำไปซ้ำมาว่ามันไม่มีใบสูตรใด ๆ ทั้งสิ้น ทุกสิ่งล้วนแต่อยู่ในหัวของนางเท่านั้น นางจะเป็นคนดูแลจัดการผลิตพวกมันเอง ส่วนแบ่งที่ท่านผู้หญิงควรจะได้คือห้าในสิบ

 

กล่าวอีกนัยหนึ่ง นี่คือค่าคุ้มครองหรือส่วยนั่นเอง…

 

ในคราวแรกท่านผู้หญิงไม่ต้องการส่วนแบ่งใด ๆ เพราะเกรงกลัวอิทธิพลของขุนนางทั้งสองคนนั้น แต่สุดท้ายแล้วนางก็ไม่อาจต้านทานเหตุผลของฟางฮั่นได้เลย นางจึงขอลดค่าตอบแทนเหลือแค่สามในสิบก็เพียงพอ

 

ทั้งสองตกลงกันเป็นเอกฉันท์และประทับลายนิ้วมือด้วยกัน การเจรจาธุรกิจเสร็จสมบูรณ์แล้ว

 

มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่ท่านผู้หญิงจะเป็นคนคุ้มครองธุรกิจนี้ของฟางฮั่น มันเป็นงานสบาย ๆ และสบู่ดอกเหมยของฟางฮั่นวิเศษเกินกว่าที่นางจะหักห้ามใจได้ เพียงแค่คิดถึงสรรพคุณของมัน นางก็อดใจไม่ไหวที่จะได้รับมันอีกครั้งแล้ว

 

รีวิวผู้อ่าน