ตอนที่ 46 สิบแปดตำลึง
หลังจากนี้ท่านผู้หญิงเชิญชวนฟางฮั่นให้อยู่ต่อเพื่อรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน แต่เด็กน้อยเผยรอยยิ้มขมขื่นพร้อมกล่าวปฏิเสธอีกครั้ง
ท่านผู้หญิงจับจ้องใบหน้าที่อึดอัดของฟางฮั่นอย่างสงสัยก่อนจะบ่นอย่างหยอกเย้า “ข้าถูกเด็กน้อยอย่างเจ้าปฏิเสธอีกแล้วหรือเนี่ย เฮ้อ ข้าก็ขยันชวนเจ้าอย่างน่าไม่อายจริง ๆ นั่นแหละ… แต่มันเป็นความรู้สึกที่แย่นิดหน่อย”
ท่านผู้หญิงอดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา
ฟางฮั่นรู้ดีว่าท่านผู้หญิงกำลังบ่นอย่างขมขื่น แต่นางก็อธิบายเหตุผลด้วยใบหน้าหดหู่เช่นกัน “ตอนนี้อาเล็กของข้ากำลังป่วยอยู่ในโรงหมอซึ่งข้าควรจะไปเยี่ยมนางสักหน่อยเพื่อให้รู้ว่านางยังสบายดี”
วันนี้ตาเฒ่าฟางก็เข้าเมืองมาด้วยเช่นกัน นางพยายามคำนวนเวลาอย่างรอบคอบและมาถึงโรงหมอได้ทันเวลาก่อนที่จะถูกจับได้
อย่างไรก็ตามฟางเซียงหยู่ตอนนี้กำลังตั้งครรภ์ การที่นางมีสภาวะครรภ์เป็นพิษสืบเนื่องมาจากผ้าเช็ดหน้าของฟางฮั่นเอง ฟางฮั่นรู้สึกเสียใจมากที่วันนั้นนางไม่ขอผ้าเช็ดหน้าคืนจากหวังซิ่งฮวา
แม้ว่านางจะรังเกียจน้ำมูกที่เปรอะเปื้อนเต็มผ้า แต่มันก็ยังดีกว่าที่ต้องมาเจ็บปวดในวันนี้ สิ่งที่นางปักขึ้นมาเองนั้นเป็นของแปลกสำหรับผู้คนในยุคนี้อย่างมาก มันสามารถกลายเป็นหายนะได้ถ้าหากตกอยู่ในมือของคนอื่น ประสบการณ์ในครั้งนี้ทำให้ฟางฮั่นจำเป็นจะต้องระมัดระวังมากขึ้น
ท่านผู้หญิงเมื่อได้ยินว่ามีคนป่วยอยู่ที่บ้านของเด็กหญิง แม้ว่านางจะไม่เต็มใจแต่ก็ยอมเข้าใจแต่โดยดี ก่อนที่ฟางฮั่นจะออกมา นางพยายามย้ำกับเด็กน้อยหลายครั้งว่าคราวหน้าให้พาน้อง ๆ ของนางมาที่นี่ด้วย
ฟางฮั่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพยักหน้าตอบรับว่าการมาส่งสินค้ารอบหน้านางจะพาน้อง ๆ ของนางมาที่นี่ด้วย
ท่านผู้หญิงรู้สึกพอใจมากและให้คนขับรถม้าไปส่งฟางฮั่นที่โรงหมอ
ขณะที่ฟางฮั่นกำลังลงจากรถม้าได้เพียงก้าวเดียว นางได้ยินเสียงเรียกที่สดใสดังขึ้น “ฟางฮั่น ! ช่างบังเอิญจริง ๆ !”
ฟางฮั่นเงยหน้าขึ้นและเห็นว่าบุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้าทางเข้าโรงหมอคือเด็กหญิงที่นางรู้จัก อีกฝ่ายกำลังโบกไม้โบกมืออย่างสดใส
นั่นก็คือเฉินหลี่ฟางที่ตอนแรกนางนึกว่าเป็นเด็กร้านเครื่องปั้นดินเผาที่นางเคยไปซื้อแม่พิมพ์สบู่ดอกเหมยในคราแรก
ฟางฮั่นยิ้มออกมาพร้อมกล่าวทักทาย
เฉินหลี่ฟางกระโดดเข้ามาหานางอย่างตื่นเต้นพร้อมกับมองเด็กหญิงตรงหน้าอย่างละเอียด รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นพร้อมกล่าว “ฟางฮั่น เจ้าสวยขึ้นมาก ไม่สิ สวยกว่าที่เราได้พบกันคราวที่แล้วน่ะ ว่าแต่ทำไมเจ้าถึงมาที่นี่ด้วยรถม้าของทางการล่ะ ? ”
ฟางฮั่นตอบกลับด้วยสองสามประโยคสั้น ๆ จากนั้นนางรู้สึกได้ถึงแรงกดดันจากบรรยากาศรอบ ๆ ตัว นางหันหน้าไปมองรอบ ๆ เพื่อสำรวจจึงพบว่ามีชายวัยรุ่นกำลังยืนมองมาที่นางอย่างตื่นตระหนก สายตาของเขาแข็งค้างอยู่ที่นางอย่างชัดเจนราวกับว่าเขาได้พบเจอกับผีสางในตอนกลางวันแสก ๆ
เฉินหลี่ฟางขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าฟางฮั่นหันไปทางอื่น เมื่อนางหันตามและเห็นภาพนั้น นางจึงพูดขึ้นว่า “โอ้”
นางค่อนข้างไม่พอใจที่พี่ชายทำท่าทางแบบนั้นใส่สหายหญิงของตน “นั่นคือเฉินหลี่ชิง เขาเป็นพี่ใหญ่ของข้าเอง วันนี้เรามาซื้อลูกพลัมป่าน่ะ บางทีเขาก็ชอบทำตัวแปลก ๆ เจ้าอย่าไปสนใจเขาเลย”
อ๋อ เขาคือพี่ชายประหลาด ๆ ของเด็กคนนี้นี่เอง
ฟางฮั่นพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
นางยิ้มให้เฉินหลี่ชิงเล็กน้อยพร้อมกับคำนับอย่างสุภาพ
เฉินหลี่ชิงรู้สึกว่าหัวใจของเขาแทบจะระเบิดออกมาจากซี่โครง เด็กอายุสิบสี่ยังไม่สามารถคิดฝันถึงการแต่งงานหรือมีความรักได้ ครอบครัวของเขาย่อมไม่ยอมแน่ถ้าหากมีเรื่องราวเช่นนี้เกินขึ้น แต่เขากลับรู้สึกอยากรู้จักและอยู่ใกล้กับเด็กผู้หญิงคนนี้เหลือเกิน เขาต้องการนาง…
เฉินหลี่ฟางรู้ว่าพี่ชายของตนเองกำลังรู้สึกปั่นป่วนอย่างหนักเพราะเด็กหญิงตรงหน้า นางจับแขนของฟางฮั่นพร้อมกับดึงสายตานางกลับมา “ฟางฮั่น… ข้าได้ยินมาว่ามีสบู่ดอกเหมยชนิดหนึ่งกำลังโด่งดังมากในเวลานี้ แม่ของข้าหาวิธีทำมันและตอนนี้นางซื้อมันมาได้สองสามก้อน ข้าได้ยินว่ามันทำมาจากลูกพลัมป่าสีแดงและดอกเหมยซึ่งมีขายที่โรงหมอ วันนี้ข้ามาหาซื้อมันเพื่อจะเอากลับไปดูว่าสามารถทำเองได้ไหม ข้าได้ยินมาว่าผลลัพธ์ของมันยอดเยี่ยมมาก ตอนนี้ข้าใช้มันไปบ้างแล้ว เจ้าว่าผิวของข้าดีขึ้นบ้างหรือไม่?”
ฟางฮั่นจับจ้องที่เฉินหลี่ฟางอย่างละเอียด ดูเหมือนว่าเมื่อก่อนผิวของเฉินหลี่ฟางจะบอบบางและหมองคล้ำมาก
ทั้งนี้เพราะเครื่องสำอางในยุคโบราณเต็มไปด้วยสารตะกั่ว ผู้หญิงส่วนใหญ่ในสมัยโบราณนั้นเริ่มใช้พวกมันตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้รูขุมขนอุดตันและขาดความชุ่มชื้น พอนานเข้าผิวของพวกนางก็จะหมองคล้ำและเริ่มเกิดริ้วรอยก่อนวัย
นอกจากสบู่ดอกเหมยของฟางฮั่นจะสามารถทำความสะอาดใบหน้าได้อย่างหมดจด มันยังคืนความชุ่มชื่นให้กับผิวผ่านกลีเซอร์ลีน ซึ่งตอบโจทย์ปัญหาผิวพรรณในยุคสมัยนี้ได้เป็นอย่างดี ผลลัพธ์ของมันจึงยอดเยี่ยมและเป็นธรรมชาติ
สิ่งที่ฟางฮั่นทำลงไปนั้นแสดงผลลัพธ์ได้อย่างยอดเยี่ยม นางรู้สึกว่าตนเองประสบความสำเร็จและชื่นชมตัวเองในใจ จากนั้นตอบกลับอย่างซื่อตรง “อ่า ดูเหมือนเจ้าจะขาวขึ้นนะ”
หลังจากที่ได้รับคำชม เฉินหลี่ฟางรู้สึกดีใจและเสียใจมากเช่นกัน แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา “น่าเสียดายที่สบู่ดอกเหมยนี้หาซื้อยากมาก ข้าพยายามตื้อแม่อยู่นาน แต่นางบอกว่าของหมดแล้วและหาซื้อไม่ได้อีกแล้ว ตอนนี้ข้าเหลือเพียงแค่ก้อนเดียวและพยายามใช้มันอย่างประหยัดที่สุด ทุกวันนี้ข้าใช้มันสำหรับทำความสะอาดหน้าเท่านั้นเพราะเกรงว่ามันจะหมดเร็วและไม่มีให้ใช้อีกต่อไป”
หลังจากกล่าวจบเฉินหลี่ฟางมองที่ฟางฮั่นพร้อมหัวเราะเสียงดังด้วยความอิจฉา “ข้าเพียงแค่กังวลมากเกินไปน่ะ ดูผิวของฟางฮั่นสิไม่ได้ใช้สบู่ดอกเหมยแต่กลับดูดีกว่าผิวของข้าเสียอีก ! ”
ไม่ ไม่ ไม่ ! ข้าใช้มันสิ ! ฟางฮั่นได้แต่กรีดร้องอยู่ในใจและนางใช้มันอย่างไม่บันยะบันยังซะด้วย มันไม่ได้ถูกใช้เฉพาะในยามล้างหน้า แต่นางยังใช้มันตอนอาบน้ำ…
แต่ก็จริงดั่งคำที่เฉินหลี่ฟางกล่าว สบู่ดอกเหมยหาซื้อได้ยากมากและสาวชาวนาอย่างนางจะสามารถใช้มันได้อย่างไร ? นางจำเป็นจะต้องสงบปากสงบคำเอาไว้เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะตามมา
เด็กหญิงสองคนกำลังนั่งคุยกันอยู่หน้าโรงหมออย่างออกรส ส่วนเฉินหลี่ชิงยังคงไม่สามารถละสายตาออกจากฟางฮั่นได้เลย
ในตอนแรกที่เขาได้พบกับเด็กหญิงคนนี้ เขาแสร้งทำเป็นไม่สนใจและไม่กล้าเปิดเผยความปรารถนาให้น้องสาวตนเองรู้ว่าเขากำลังเจ็บปวดจากการพลัดพราก เขาอดทนที่ไม่พูดอะไรออกมาอย่างยาวนานจนในที่สุดก็มีวันนี้ วันที่หัวใจของเขากลับมาเต้นอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง ใครจะไปคาดคิดว่าจู่ ๆ วันหนึ่งสวรรค์ก็เมตตาส่งนางมาให้เจอกับเขาในวันนี้ นางอาจจะเป็นเนื้อคู่ของเขาก็ได้ ?
ฟางฮั่น… เขาแอบได้ยินน้องสาวของตนเรียกอีกฝ่ายว่าฟางฮั่น ในหัวของเขาเริ่มคิดถึงความสวยงามและชื่อนี้ก็เหมาะสมกับอีกฝ่ายอย่างมากเพราะฟางฮั่นแปลว่าความบริสุทธิ์และสวยงาม
แน่นอนว่าตอนนี้เฉินหลี่ชิงกำลังคิดวนไปมาเกี่ยวกับฟางฮั่นอย่างหาทางออกไม่พบ ถ้าหากฟางฮั่นได้รู้ว่าปีศาจหนุ่มตรงหน้ากำลังมีความคิดเกี่ยวกับรูปร่างและหน้าตาของนาง แน่นอนว่านางย่อมกังวลใจอย่างมาก แม้นางจะเป็นเด็กอายุสิบขวบแต่ความคิดของนางไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย
เฉินหลี่ชิงพยายามสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เขาต้องการที่จะพูดอะไรบางอย่างกับฟางฮั่นเพื่อสร้างความประทับใจให้นางสักหน่อย แต่ทันใดกลับมีเสียงกรีดร้องดังขึ้นมาจากด้านใน “อะไรกัน แค่ไม่กี่วันเอง ต้องใช้เงินมากถึง 18 ตำลึงเชียวหรือ ! ? ”
เสียงนั้นแหลมและค่อนข้างจะบาดรูหูนิดหน่อย
ฟางฮั่นตื่นตระหนกทันทีพร้อมกับนึกในใจ นี่มันเสียงของฟางเถียนใช่หรือไม่ ?
ฟางฮั่นพุ่งเข้าไปในโรงหมอทันทีพร้อมด้วยเฉินหลี่ฟางตามเข้ามาอย่างใคร่รู้
เฉินหลี่ชิงที่เห็นน้องสาวและสหายของนางเดินเข้าไปอย่างเร่งรีบ เขาไม่รอช้าและเดินตามไปทันทีเช่นกัน
โรงหมอเล็ก ๆ นี้มีรูปแบบคล้ายกับบ้านและมีสวนหย่อม ตรงกลางมีต้นการบูรขนาดใหญ่
ด้านหน้าคือสถานที่สำหรับจ่ายเงินค่ารักษาและรับยา ซึ่งมันถูกกั้นเอาไว้ด้วยฉากไม้ง่าย ๆ
“เงินตั้ง 18 ตำลึง พวกเจ้าคิดว่ามันหาง่ายนักหรือ ! ” ฟางเถียนยืนอยู่ตรงลานพร้อมกับมือเท้าเอวเอาไว้ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดพร้อมกับจับจ้องที่คนรับเงินของโรงหมอ
ฟางเซียงหยู่ยืนอยู่ข้าง ๆ ร่างกายของหญิงสาวถูกห่อเอาไว้โดยเสื้อคลุมเก่า ๆ มือของนางกำลังกุมท้องเอาไว้ราวกับกลัวคนอื่นไม่รู้ว่านางกำลังท้องและดูเหมือนว่านางจะอ่อนเพลียและไม่สามารถยืนหยัดได้นาน
ถัดจากทั้งสองคนคือตาเฒ่าฟางและฟางฉางจวงซึ่งกำลังสูบบุหรี่กันอย่างเฉยเมย ที่เท้าของพวกเขามีกระสอบวางตั้งอยู่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ใช้สำหรับเพาะปลูกในฤดูกาลนี้
ทุกวันพนักงานรับเงินมักจะต้องเจอกับผู้ป่วยที่ยากจนอยู่แล้วจึงไม่ค่อยจะตื่นกลัวมากนัก เขาคร่ำครวญอยู่สักครู่หนึ่งพร้อมกับคิดคำนวนอีกครั้งอย่างรอบคอบด้วยลูกคิดในมือ “ถูกต้องแล้ว ผู้หญิงคนนี้จะต้องได้รับยาที่ดีที่สุดสำหรับทารกในครรภ์...”
เขาบอกกล่าวเกี่ยวกับสรรพคุณของยาอย่างละเอียดและดีดลูกคิดในมืออย่างรวดเร็ว “ค่าใช้จ่ายทั้งหมดคือ 18 ตำลึงกับอีก 50 อีแปะ ข้าคิดแบบปัดเศษให้ก็เหลือเพียง 18 ตำลึงถ้วน”
พนักงานคิดเงินและแสดงรายการให้กับฟางเถียนดูอย่างละเอียด
แม้ว่าฟางเถียนจะไม่ค่อยรู้เรื่องการใช้ลูกคิดมากนักแต่นางก็ยังพอมีความรู้นิดหน่อย เมื่อเห็นว่าจำนวนเงินจริง ๆ แล้วมากกว่านั้นและพนักงานปรับลดให้นางแล้วจริง ๆ ใบหน้าของนางซีดเซียวพร้อมกับพูดติดอ่าง “แต่ แต่มัน… นี่มันมากเกินไป…”
ในครอบครัวตอนนี้เหลือเงินเพียงไม่เท่าไหร่และได้ใช้มันสำหรับซื้อเมล็ดพันธุ์ไปแล้วบางส่วน เดิมทีฟางเถียนคิดว่าต่อจากนี้อาจจะต้องมีการจ่ายเงินเพื่อรักษาเด็กในท้องเอาไว้ แต่มันก็คงจะครั้งละไม่เท่าไหร่ ไม่มีใครคิดว่านางจะต้องจ่ายเงินกว่าสิบแปดตำลึงในคราวเดียว !
ตาเฒ่าฟางยังคงสูบยาสูบต่อไปอย่างไม่พูดไม่จา
ส่วนฟางฉางจวงนั้นตกตะลึงกับเงินจำนวน 18 ตำลึงมาก ! คนสวนอย่างเขาจะต้องใช้เวลาหลายปีสำหรับเก็บเงินก้อนนี้ !
พนักงานเห็นเช่นนั้นก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าบุคคลเหล่านี้ไม่สามารถหาเงินมาจ่ายได้ ใบหน้าของเขามืดมนและวางลูกคิดลงบนโต๊ะ “สรุปว่าพวกเจ้าจะไม่จ่ายหรือ ? หรืออยากจะไปนอนอยู่ในตาราง ? ”
ทันทีที่ได้ยินคำว่าตาราง… ตระกูลฟางทุกคนล้วนสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว
ขณะนั้นเองฟางเซียงหยู่พูดขึ้นมาด้วยความเย่อหยิ่ง “ก็แค่เงิน 18 ตำลึง มันจะไปยากเย็นอะไร ! ”
แววตาประหลาดใจของฟางเถียนปรากฏขึ้น คิ้วน้อยของฟางเซียงหยู่เลิกขึ้นมาอย่างมึนงง มือของนางลูบคลำท้องตนเองพร้อมกล่าวเบา ๆ “แม่ลืมไปแล้วงั้นเหรอว่าพ่อของเด็กคนนี้เป็นใคร ? ”
แววตาของฟางเถียนทอประกายออกมาทันที แม้ว่าครอบครัวของนางจะไม่มีเงิน แต่ว่าสามีของบุตรสาวนั้นร่ำรวยมากและเงินนี้ก็จะถูกใช้จ่ายเพื่อหลานที่กำลังจะเกิดมา มันควรจะเป็นค่าใช้จ่ายที่ตระกูลหลู่จะต้องรับผิดชอบสิ !
ตาเฒ่าฟางที่ได้ยินเช่นนั้นก็ปลาบปลื้มด้วยเช่นกัน เขารู้ว่าเงินในครอบครัวตอนนี้เหลืออยู่เพียงไม่กี่ตำลึงเท่านั้น ตอนนี้เมื่อรู้ว่าไม่จำเป็นต้องใช้เงินของครอบครัวแล้ว เขาจะไม่รู้สึกยินดีได้อย่างไรกันล่ะ ?
พนักงานหัวเราะออกมาเบา ๆ พร้อมกล่าวสั้น ๆ “งั้นข้าก็ขอให้แม่นางรีบเรียกสามีของเจ้ามาจ่ายค่ารักษาโดยเร็วเถอะ”
คำว่าสามีทำให้แก้มของฟางเซียงหยู่แดงขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล หัวใจของนางพลันพองโตเมื่อคิดว่าตนเองกำลังจะได้แต่งงานกับพี่ชาง จากนั้นนางจะกลายเป็นนายหญิงแห่งโรงปักจิ่นซิ่ว มุมปากของนางยกยิ้มพร้อมบิดไปมาอย่างเคอะเขิน “เจ้าสามารถเอาใบเสร็จค่ารักษาส่งไปที่ตระกูลหลู่ได้เลย...”
ฟางฉางจวงขัดจังหวะขึ้นมาอย่างกังวล “โอ้ มันจะมากเกินไปหรือไม่ เจ้ายังไม่ได้แต่งงานกับเขาเลย”
คำว่า “ยังไม่แต่งงาน” กระตุ้นความอัปยศในใจของฟางเซียงหยู่ขึ้นมาอีกครั้ง นี่คือการท้องก่อนแต่งที่ทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดไม่น้อยแต่นางก็ยังยิ้มออกมาเพื่อปกปิดความเจ็บปวดนั้น
“แน่นอนว่าพี่ชางจะไม่ปฏิเสธเด็กคนนี้ ! ” แม้ว่านางจะเสียงดังและคล้ายกับมั่นใจ แต่สีหน้าที่กังวลก็ยังแสดงออกมาให้เห็นถ้าหากสังเกต
“เด็กคนนี้คือลูกของบุตรชายคนโตแห่งตระกูลหลู่ ! ” ฟางเถียนบ่นลูกชายของตนเองพร้อมกับปลอบใจลูกสาวในทันที
พนักงานรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย คราวแรกเขาไม่รู้เลยว่าหญิงสาวคนนี้ยังไม่แต่งงาน นางคงเพียงเรียกสามีมาจ่ายค่ารักษาให้ แต่เมื่อฟังเรื่องราวแล้วเขารู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างมากและไม่รู้เลยว่าสามีของนางจะยอมจ่ายค่ารักษาพยาบาลนี้หรือไม่…
จากนั้นพนักงานก็กล่าวออกมาอย่างไม่รีรอ “ถ้าเกิดว่าบ้านของสามีเจ้าไม่ยอมจ่าย แล้วค่ารักษาพยาบาลตรงนี้ใครจะเป็นคนจ่าย ? ”
ฟางเซียงหยู่เงยหน้าขึ้นทันทีเพราะรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังดูถูกตน เสียงของนางดังขึ้น “เงินแค่ 18 ตำลึง ทำไมพี่ชางจะจ่ายไม่ได้ ! แกเป็นแค่ขี้ข้าจะมารู้อะไร รู้หรือไม่ว่าพี่ชางเป็นใคร ! ? ข้าจะบอกให้ก็ได้ว่าเขาเป็นลูกชายคนโตของตระกูลหลีที่เป็นเจ้าของโรงปักจิ่นซิ่ว ! ”
พนักงานตกตะลึงทันทีเมื่อได้ยิน
ฟางเซียงหยู่เห็นท่าทีของอีกฝ่ายพร้อมกับเผยรอยยิ้มเย่อหยิ่งออกมา แต่หลังจากที่นางภูมิใจได้ไม่นานนัก มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นด้วยสับสน
“อะไรนะ คนที่เจ้าเรียกว่าพี่ชางนั้น ใช่พี่หลู่ยวี่ชาง นายน้อยของตระกูลหลู่… เจ้าของโรงปักจิ่นซิ่วหรือไม่ ? ”