ตอนที่ 3 – หัวเด็ดตีนขาดอย่างไร! ข้าก็จะมิยอมอาศัยในกระท่อมฟางโสมมแห่งนี้แน่!!!
“ท่านอาจารย์ลุงกลับมาแล้ว” ซูกงจือนำทางฉีหวนไปยังประตูทางเข้ายอดเขาชิงหยุน เหล่าศิษย์จำนวนมากกำลังยืนรอต้อนรับ พร้อมกับจ้องมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ผู้นำลัทธิคือชายหนุ่มที่เผยใบหน้าขาวนวลดุจไข่มุก คิ้วของเขาดูคมเข้ม เข้ารับกับดวงตาที่เปล่งประกายดุจดวงดาว ริมฝีปากอันเรียวบางนั้นยังคงปิดแน่นภายใต้จมูกอันแหลมตรง แม้สีหน้าจะดูเคร่งเครียด แต่ทว่าก็ยังดูเป็นชายหนุ่มผู้หล่อเหลา ซึ่งทั้งร่างล้วนปกคลุมไปด้วยอาภรณ์สีฟ้าคราม เมื่อลองหันมาเปรียบเทียบกับชายชราที่อยู่ข้างเธอ… ชายผู้นี้ดูสมควรเป็นนักพรตมากกว่าซูกงจือเสียอีก
“เสี่ยวเฟิงจือ! เหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่?” ซูกงจือเห็นชายหนุ่ม จึงเร่งลดน้ำเต้าหมักยาดองลง พร้อมกับดึงฉีหวนที่ลอยอยู่บนนภาลงด้วย
“เหล่าท่านอาจารย์ปู่ผู้อาวุโส และอาจารย์ลุงผู้อาวุโสกำลังออกตามหาท่านกันใหญ่แล้ว… เฮ้อ!” หลิงเฟิงจือถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย เนื่องจากอาจารย์ปู่ผู้อาวุโสท่านนี้เป็นนักพรตที่ทั้งจิตใจงดงาม มีเมตตา และมีบุคลิกอบอุ่น แต่อีกนัยหนึ่งก็ดูคล้ายเด็กที่มักชอบเที่ยวเล่นซ่อนหายามว่างซะเหลือเกิน…
“จริงรึ? หมดเวลาสนุกแล้วสิ… เอาล่ะ ข้าจะไปตามหาท่านอาจารย์ปู่ผู้อาวุโสของเจ้า นี่ศิษย์ใหม่ข้า ฝากเจ้าดูนางให้ข้าที” ซูกงจือผลักฉีหวนไปหาหลิงเฟิงจือ แล้วเหาะจากไปหน้าตาเฉย โดยไม่สนใจผู้ใดทั้งสิ้น
ฉีหวนกระพริบตา พร้อมกับใช้มือที่กำลังสั่นเครือชี้ตามหลังซูกงจือ ที่ค่อย ๆ เล็กลงและเลือนหายไปจากวิสัยทัศน์ เธอไม่อยากเชื่อว่ามีอาจารย์เช่นนี้อยู่บนพิภพแห่งการบ่มเพาะพลังด้วย
“ศิษย์?…” คำบอกกล่าวของซูกงจือไม่เพียงแค่ทำให้ฉีหวนกริ้วโกรธเท่านั้น แต่ยังทำให้หลิงเฟิงจือรู้สึกตกใจจนตัวสั่น
เหตุใดเขาถึงมีอาจารย์ลุง ป้า น้า อามากมายถึงเพียงนี้?!!
หลิงเฟิงจือและฉีหวนหันหน้าจ้องมองกัน ถึงกระนั้นฉีหวนกลับมีสายตาแสดงเจตนาแฝงออกมาอย่างแจ่มแจ้ง หากเธอไม่คิดสนใจเรื่องการวางตัวของผู้หญิง หรือต้องคำนึงถึงการรักนวลสงวนตัว บัดนี้เธอคงทากาวใส่หน้าตนเองแล้วนำไปติดกับหน้าหลิงเฟิงจือให้รู้แล้วรู้รอดไปเสีย
“อะ-แฮ่ม ค้อก-แค้ก อะ-อาจารย์ป้าขอรับ” หลิงเฟิงจือรู้สึกหวาดกลัวสายตาแรงกล้าของฉีหวน เขาจึงค่อย ๆ ถอยออกมาสองก้าว พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ แต่ทว่าฉีหวนมั่นใจยิ่งนักว่าในน้ำเสียงนั้นแอบแฝงไปด้วยความรู้สึกขัดข้องใจ
สองถึงสามวันที่ผ่านมา เหตุการณ์ระหว่างทางในพิภพแห่งเทพอมตะ ทำให้ฉีหวนพอทราบอยู่บ้าง ว่าซูกงจือเป็นอาจารย์ผู้อาวุโสที่มีวรรณะค่อนข้างสูงบนยอดเขาชิงหยุน เพราะไม่ว่าชายชราท่านนี้จะย่างกายผ่าน ณ แห่งหนใดในพิภพ ผู้ฝึกพลังตนอื่นก็มักจะรีบหยุดกิจและก้มหัวลงโค้งคำนับทันที ฝั่งซูกงจือก็เพียงพยักหน้าตอบรับเล็กน้อยเท่านั้น
และตามธรรมเนียมโบราณของลัทธิแห่งนี้ ถ้าหากท่านอาจารย์ผู้อาวุโสสูงสุดรับศิษย์เข้ามาใหม่ ศิษย์ตนนั้นก็จะมียศตำแหน่งวรรณะตามความสัมพันธ์ที่สืบต่อกันมาในแต่ละตำหนัก อย่างเช่น ท่านอาจารย์ปู่ซูกงจือรับฉีหวนเข้ามาเป็นศิษย์ ฉีหวนก็จะกลายเป็นอาจารย์ป้าผู้อาวุโสโดยปริยาย
ถึงกระนั้นฉีหวนก็ไม่ได้คาดหวังว่าตนเองจะถึงขั้นเป็นผู้อาวุโสบนยอดเขาชิงหยุน เธอแอบพึมพำเล็กน้อย ‘เจ็บใจชะมัดกล้าดียังไงมาเรียกฉันว่าป้า แต่ช่างเถอะการได้เป็นผู้อาวุโสง่าย ๆ แบบนี้ก็ถือว่าไม่เลว…’ เธอหลงใหลไปกับการถูกเคารพยกย่องราวกับเป็นคนหลงตัวเอง
เธอมิได้ตระหนักเพียงเท่านั้น เนื่องจากหลานชายตนนี้มีใบหน้าหล่อเหลาเอาการ ช่างเหมาะสมกับความสง่างามของเธอยิ่งนัก ทั้งรูปลักษณ์ร่างกายยังดูเป๊ะปังระดับนายแบบ ฉีหวนหลงไปในภวังค์ความคิดชั่วขณะ จนไม่ได้สนใจคำพูดของหลิงเฟิงจือแม้แต่น้อย
“อาจารย์ป้า” ฉีหวนจ้องมองเขาด้วยแววตาหิวโหย ทำให้หลิงเฟิงจือตกใจจนถอยหลังออกไปอีกหลายก้าว
“ห้ะ? จะ-เจ้าต้องการสิ่งใดงั้นหรือ?” ฉีหวนพยายามเช็ดปาก และเมื่อแน่ใจว่าไม่มีน้ำลายหยด เธอจึงหัวเราะราวกับคนโง่พร้อมกับมองหลิงเฟิงจืออีกครั้ง
“ข้าจะพาท่านไปยังที่พัก… เพราะคงอีกครู่ใหญ่ กว่าท่านอาจารย์ปู่จะกลับมา”
“ขอบใจเจ้ามาก” ฉีหวนตบไหล่หลิงเฟิงจือด้วยรอยยิ้มกว้าง พร้อมกับใช้มือบีบไหล่แน่น เธอสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่ง กำยำและล่ำสัน ทำให้ฉีหวนแอบคิดกับตนเองในใจ ‘อื้อหื้อ… นายคงออกกำลังเป็นประจำสินะ ทำไมมันรู้สึกดีเช่นนี้เนี่ย… โอ้ยเป็นบุญของฉันแท้ ๆ’
เมื่อถูกฉีหวนบีบและลูบคลำ ร่างหลิงเฟิงจือก็เริ่มสั่นเครือ และเมื่อหันไปพบสายตาฉีหวน นั้นก็ยิ่งทำให้เขาสะดุ้ง และตื่นตัวยิ่งกว่าเดิมเสียอีก เขารู้ว่าท่านอาจารย์ปู่เป็นเทพที่มีบุคลิกค่อนข้างแปลกประหลาด เพราะฉะนั้นมนุษย์ที่เขายอมรับเป็นศิษย์ก็คงต้องไม่ธรรมดาเช่นกัน… หลิงเฟิงจือแอบกล่าวกับตนเองในใจว่า ในภายภาคหน้าเขาควรออกห่างจากอาจารย์ป้าผู้อาวุโสท่านนี้ให้ได้มากที่สุด
“พวกเจ้ากลับไปก่อน” หลิงเฟิงจือหันไปสั่งศิษย์ แล้วจึงพาฉีหวนย่างก้าวอีกครั้ง
“ขอรับท่านผู้นำลัทธิ”
“…” เขาเป็นถึงหัวหน้านิกาย ฉีหวนมองหลิงเฟิงจือด้วยสายตากระอักกระอ่วน
หลิงเฟิงจือเป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบยิ่งนัก ซึ่งต่างจากซูกงจือ เขามิได้พาฉีหวนมาถึงเรือนแล้วจากไป แต่ทว่าเขาพาฉีหวนเดินท่องไปทั่วยอดเขาชิงหยุนก่อน เพื่อแนะนำนิกาย และประกาศให้เหล่านักพรตได้ทราบ ถึงการปรากฏตัวของนางในฐานะอาจารย์ป้าผู้อาวุโสของผู้นำนิกาย
จากนั้นหลิงเฟิงจือก็นำพาเธอไปยังสุดยอดเชิงเขา ซึ่งมีตำหนักของซูกงจือตั้งอยู่ และจัดเตรียมบ้านฟางที่ดูหรูหราที่สุดในบรรพตนี้ให้เธออยู่อาศัย ใช่! เจ้าฟังไม่ผิด บ้านฟาง!!!
เมื่อเห็นบ้านฟาง ฉีหวนจึงรีบบอกตัวเองว่าเธอต้องฝันไปแน่ เพราะเมื่อครู่เธอเพิ่งได้เห็นอาคารคล้ายพระราชวังของท่านอื่นตามเนินเขาที่เพิ่งเดินผ่านมา แต่เหตุใดเธอถึงต้องอาศัยอยู่ในบ้านฟางขนาดเล็กเช่นนี้กันเล่า?!
หลิงเฟิงจือเร่งอธิบายด้วยท่าทางเคร่งเครียด เมื่อเห็นสีหน้าของฉีหวนเริ่มแสดงความขัดเคืองใจ “อาจารย์ปู่ฉูเป็นเพียงนักพรตท่านเดียวที่ยังเฝ้าบำเพ็ญเพียร และบ่มเพาะวิชาแบบสันโดษในลัทธิแห่งนี้”
การบ่มเพาะวิชาแบบสันโดษ หมายถึงการฝึกท่ามกลางความยากลำบาก เช่น การทานอาหารที่แย่ที่สุด อาศัยอยู่ในสถานที่ที่เลวร้ายที่สุด โดยมิให้ใช้ยาหรือสมุนไพรใดทั้งสิ้น และจงฝึกบำเพ็ญเพียรด้วยพละกำลังที่ตนเองมีเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ปรมาจารย์ภายใต้ลัทธิหลายท่าน จึงเคารพนับถือซูกงในฐานะนักพรตท่านแรกที่สามารถบรรลุวิชานิกายมหายานได้วรรณะสูงกว่าผู้อื่นในพิภพแห่งนี้ ฉีหวนรู้สึกเคารพความมุ่งมั่นของท่านอาจารย์ยิ่งนัก แต่ทว่าความเคารพก็ส่วนความเคารพ เหตุใดตัวเธอต้องมาฝึกวิชานี้กับท่านอาจารย์ด้วยเล่า?
“นี่มันไร้มนุษยธรรมยิ่งนัก! นี่ข้ากำลังถูกฝืนใจอย่าไร้ปรานี! ข้าขอเรียกร้องสิทธิ์ความเป็นมนุษย์!” ฉีหวนเดินดูรอบกระท่อมด้วยความรู้สึกโมโห จากนั้นก็รีบผลักประตูเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง
ฉีหวนเบิกตากว้าง เธอลืมภาพกระท่อมไปครู่หนึ่ง เนื่องจากสิ่งที่เธอพบในกระท่อมหลังนี้มีเพียงเชือกมังกรเลื้อยเพียงสิ่งเดียว ‘นี่นึกว่าฉันเป็นเซียวเหล่งนึ่งมังกรหยกงั้นเหรอ? บ้าไปแล้ว!’
หลิงเฟิงจือก้มหน้าลง พร้อมกับไอสองครั้ง ฉีหวนหันไปมองจึงสังเกตเห็นว่าเขาแอบหัวเราะเยาะอย่างมีความสุข แต่แสร้งทำเป็นไอกลบเกลื่อน จากนั้นไม่นานเขาก็เริ่มชี้แจง “สิ่งนี้เรียกว่าเชือกมังกร การฝึกบำเพ็ญเพียรบนเชือกเส้นนี้ เป็นการฝึกจิตวิญญาณให้แข็งแกร่ง แต่ร่างภายนอกจะเบาบางราวหยดน้ำ นักพรตต่างเรียกกันว่าวิชาตัวเบา”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็หลับนอนบนเชือกมังกรเยี่ยงนี้เช่นกัน… งั้นรึ?” ฉีหวนกล่าวถามด้วยความสงสัย
“ใช่” หลิงเฟิงจือตอบกลับ และเมื่อเหลือบไปเห็นแววตาสงสัยของฉีหวน เขาจึงกล่าวอีกครั้ง “แต่ของข้า… แค่เป็นเชือกมังกรที่ถูกถักทอมาเป็นเสื่อแล้ว เพียงเท่านั้น…”
“… หื้ม! เยี่ยม งั้นข้ากับเจ้ามาแลกที่นอนกันเถอะ เนอะ…”
“…” เขาตอบกลับคำร้องขอด้วยความเงียบงัน
“หึ! ได้! หากเจ้าไม่ยอมแลกที่นอนกับข้า ข้าก็จะใช้เชือกมังกรเส้นนี้ปลิดชีพตนเองซะ เมื่อข้ากลายเป็นผี ข้าก็จะตามหาอาจารย์ของเจ้าแล้วบอกท่าน ว่าเจ้าเป็นผู้สังหารข้าอย่างไร้เมตตา! จากนั้นข้าก็จะตามจองล้างจองผลาญเจ้าไปเจ็ดชั่วโคตร! ฮะ ฮะ ฮ่า!” ฉีหวนขู่เข็ญแบบไม่อ้อมค้อม
หลิงเฟิงจือจ้องมองใบหน้าอันไร้ยางอายของฉีหวนด้วยความรู้สึกขับแค้นใจ ถึงกระนั้นเธอก็ยังไม่รู้สึกสลดแม้แต่น้อย เนื่องจากเธอทำแต่เรื่องไร้ยางอายเช่นนี้มาโดยตลอดจนคุ้นเคยกับมันไปเสียแล้ว หลิงเฟิงจือตระหนักว่า ถ้าหากนางตรงหน้ารู้ซึ้งถึงคำว่าเกรงอกเกรงใจสักน้อย นางจะไม่มีวันกล่าวเช่นนี้
เป็นที่น่าอนาถใจนัก เพราะจุดกำเนิดของโลกมนุษย์ถูกสร้างขึ้น และปลูกฝังไว้ว่า ผู้หญิงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ห้ามรุกราน เคียดแค้น และกระทำรุนแรง นี่คือคำบอกกล่าวแรกที่ฉีหวนอบรมหลิงเฟิงจือ
ฉีหวนใช้เวลาทั้งสิ้นสองชั่วโมงยี่สิบสามนาที ในการเกลี้ยกล่อมหลิงเฟิงจือให้ตระหนักรู้ว่าเธอเป็นเพียงผู้หญิงอ่อนแอและบอบบาง ซึ่งมันอันตรายมาก ถ้าหากต้องอาศัยอยู่ในกระท่อมทรุดโทรมกลางป่าเขาเพียงคนเดียวเช่นนี้… ท้ายที่สุดก็สามารถย้ายไปยังพระราชวังของหลิงเฟิงจือตามความปรารถนาของเธอเสียจนได้
ด้วยเหตุนี้หลิงเฟิงจือจึงต้องอาศัยอยู่ในกระท่อมฟาง ซึ่งเดิมทีเป็นที่พักของฉีหวน ทั้งเขายังต้องหลับนอนบนเชือกมังกรที่มีเพียงเส้นเดียวอีกด้วย…
ฉีหวนเดินจากกระท่อมไปอย่างรื่นรมย์ใจ บัดนี้เขาตระหนักแล้วว่าเพราะเหตุใดอาจารย์ปู่ผู้อาวุโสถึงส่งศิษย์ที่เพิ่งรับมาให้เขาอย่างเร่งรีบโดยไม่นึกถึงสิ่งใดทั้งสิ้น บางทีท่านอาจจะรู้อยู่แล้วว่า ศิษย์ตนนี้ชั่วร้ายเพียงใด
เขาตระหนักในใจตลอดเวลา ‘ตั้งแต่บัดนี้ ข้าขอสาบานว่าจะออกห่างจากแม่หญิงไร้ยางอายผู้นี้ให้ไกลที่สุด!’