px

เรื่อง : เทพอสูรปราบเซียน
ตอนที่ 6 อาจารย์ต้องการบรรลุนิพพานอย่างงั้นหรือ?


ตอนที่ 6 อาจารย์ต้องการบรรลุนิพพานอย่างงั้นหรือ?

“จงรอดผ่านกำแพงธานีพุ่งสู่ใต้บาดาล และแหวกว่ายคงคาไปตามหนทางแห่งอิสรภาพ…” เสียงร้องโหยหวนของเหล่าปีศาจจากยอดเขาหวังหยู่ดังกังวานไปทั่วหุบเขาและกระจายไปทั่วทางเข้านิกายชิงหยุนตั้งแต่ยังไม่รุ่งสาง

 

ด้วยเสียงโหยหวนนั้น ทำให้เหล่าสาวกที่ยังคงฝึกลมปราณลำดับต้น ๆ ต่างตื่นขึ้นจากนิทราทีละคน และทยอยมุ่งหน้าไปยังสำนักด้วยใบหน้าซีดเซียว

 

   สาวกในเขาชิงหยุนส่วนใหญ่ต่างเริ่มเช้าวันรุ่งขึ้นด้วยเสียงโหยหวนอันน่าหวาดผวาแทบทุกวัน ซึ่งหากลองสังเกตดี ๆ จะพบว่ายามรุ่งอรุณจะไม่มีศิษย์ตนใดกล้าเหาะเหินผ่านยอดเขาหวังหยู่สักตน แต่ถ้าหากหนทางที่จะไปสำนักนั้นต้องผ่านเขาหวังหยู่ เหล่าศิษย์ก็เลือกที่จะยอมเสียเวลาอ้อมยอดเขาเพื่อให้ไปถึงยังจุดหมายแทน

 

   บัดนี้ฉีหวนพักอาศัยอยู่บนยอดเขาชิงหยุนได้ราวสี่เดือน ทุกครั้งที่นึกย้อนกลับไปในช่วงชีวิตที่ผ่านมา เธอจะรู้สึกเหมือนตนเองกำลังฝันไปอย่างไรอย่างนั้น

 

   เนื่องด้วยวันเวลาในการฝึกบ่มเพาะพลังลมปราณ นั้นเป็นไปอย่างเรียบง่าย และปราศจากอุปสรรคใดทั้งสิ้น แล้วสิ่งที่ฉีหวนต้องทำมีแค่เพียงตื่นนอนก่อนรุ่งสางทุกวัน เพื่อสังเกตการดูดซับพลังชี่แห่งสวรรค์และพิภพที่เข้าสู่ร่างกายเธอยามคืนค่ำ

 

   บัดนี้ฉีหวนฝึกตนจนพลังจิตวิญญาณเพิ่มขึ้น ทั้งยังสามารถสัมผัสได้ว่า มันกำลังไหลเวียนในร่างแม้กระทั่งตอนกลางวันแสก ๆ แต่สิ่งที่ฉีหวนประหลาดใจกว่านั้นคือ ตันเถียนของเธอแตกต่างจากอาจารย์ผู้อาวุโสซูกงจือโดยสิ้นเชิง

 

   ซึ่งเขาเคยกล่าวไว้ว่า ช่วงแรกของการสร้างรากฐานลมปราณ  พลังชี่จะดูเหมือนลมก๊าซที่กระจายไปทั่วตันเถียนจนฝังลึกเข้ากระดูก… แต่บัดนี้ฉีหวนนั่งทางในกลับพบว่า พลังชี่อยู่ในแบบก๊าซก็จริงแต่ทว่ามันไม่ใช่ก๊าซธรรมดา เนื่องจากมันกำลังก่อตัวเป็นรูปหยินหยาง…

 

   หลังจากที่ฉีหวนสังเกตตนเองมาสองสามวัน ก็พบว่าจุดตราประทับหยินหยางบนตันเถียนสามารถดูดซับพลังชี่แห่งสวรรค์และพิภพได้ด้วยตัวมันเอง แม้จะสามารถดูดซับค่อนข้างช้า แต่ทว่าพลังอำนาจนั้นเหนือกว่าผู้ฝึกธรรมดามาก! ขึ้นชื่อว่าฉีหวน… ในความโชคดีก็ย่อมมีความโชคร้าย เนื่องจากพลังชี่ที่ได้รับ ไม่ได้ส่งตรงให้ฉีหวนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น…

 

   เพราะตราประทับหยินหยางบนจุดตันเถียนคอยแย่งดูดซึมพลังชี่ไปกักขังไว้ครึ่งหนึ่งเสมอ!!

 

   มิเช่นนั้นฉีหวนก็คงผ่านขั้นกำเนิดลมปราณไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ด้วยเหตุนี้เธอจึงต้องปรับปรุงระดับการบ่มเพาะให้พัฒนาขึ้นเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยทั้งเธอและอาจารย์ต้องเปลี่ยนเวลาเข้านอนเป็นหลังฟ้ารุ่งสาง เพื่อหนทางอันยาวไกลจะได้ใกล้เข้ามาบ้าง…

 

  ซึ่งนั้นไม่ได้เป็นปัญหาแก่ฉีหวนแม้แต่น้อย เพราะก่อนที่จะเดินทางข้ามเวลา เธอทำอาชีพฟรีแลนซ์ จึงทำให้ไม่เคยได้เข้านอนก่อนเที่ยงคืนสักวัน บัดนี้ท้องฟ้ายังไม่มืดครึ้ม ท่านอาจารย์ซูกงจือและฉีหวนจึงเล่นเกมหมากรุกเพื่อรอเวลาอันสมควรในการฝึกบ่มเพาะพลัง

 

   ถึงแม้ว่าฉีหวนจะขยันขันแข็งมากเพียงใด แต่ทว่าผู้ฝึกบ่มเพาะตนอื่นก็มิเคยเห็นความพยายาม หรือกล่าวชื่นชมแม้แต่ครั้งเดียว เมื่อใดที่เธอออกจากตำหนักไปเดินพักสูดอากาศ เหล่าสาวกท่านอื่นก็มักจะกวาดสายตามองตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาขุ่นเคือง เนื่องจากพวกเขาไม่ได้รับเลือกจากสวรรค์ให้ได้รับกลยุทธ์วิญญาณภูตรัตติกาล จึงต้องทำการฝึกบ่มเพาะเป็นเวลานานถึงยี่สิบชั่วโมงต่อวัน ทั้งนี้ยังไม่มีอะไรการันตีได้อีกว่า พวกเขาจะสามารถพัฒนาจุดตันเถียนได้เท่าฉีหวน ทั้งพวกเขายังได้พักผ่อนเพียงสามชั่วโมงต่อวัน ถ้าเทียบกับฉีหวนแล้ว ถือว่ามันไม่ยุติธรรมยิ่งนัก เพราะเหตุนี้จึงไม่มีผู้ใดยอมรับนางด้วยใจจริง หากบัดนี้ฉีหวนยังอยู่ขั้นเดียวกับพวกเขา คงโดนรุมกระทืบตายคาตีนแล้ว

 

ช่วงแรกเธอพยายามปรับตัวไม่ให้สนใจสายตาที่ไม่เป็นมิตรพวกนั้นได้อย่างยากลำบากมาก แต่ซูกงจือเข้ามาเตือนสตินางว่า ผู้ฝึกตนใดที่ไม่เคยได้รับสายตาอิจฉาริษยาจากผู้อื่น ถือว่าไม่ใช่ผู้ฝึกที่ประสบความสำเร็จโดยแท้จริง ตั้งแต่นั้นมาฉีหวนก็เดินตัวตรงเฉิดฉายผ่านนิกายชิงหยุนแบบไม่สนสายตาใครพร้อมกับตระหนักว่า ‘แล้วไง… อิจฉาฉันกันละซิ เราก็หนอ ไม่น่าเอาเวลาไปใส่ใจตั้งแต่แรกเลย เฮ้อ! เดินไปตามทางของเราดีกว่า… ศิษย์น้องๆๆ ก็สู้นะคะ ฮิฮิ!’

 

   วันนี้หลังจากที่ฉีหวนดูดซับพลังชี่ เธอก็รู้สึกได้ว่าตราประทับหยินหยางเริ่มสั่นคลอนเล็กน้อย แต่ภายใต้ความรู้สึกนั้นกลับแสดงให้เห็นว่ามันมั่นคงแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนมากนัก ฉีหวนคาดว่านี่คงเป็นสัญญาณแจ้งความก้าวหน้า

 

   ซูกงจือเคยสอนเธอว่า ความแตกต่างระหว่างผู้ฝึกบ่มเพาะลมปราณกับมนุษย์ เริ่มสังเกตเห็นได้ตั้งแต่ขั้นเริ่มต้นของการกำเนิดลมปราณเลยก็ว่าได้ เนื่องจากในสายตามนุษย์ทั่วไปจะมองผู้ฝึกบ่มเพาะขั้นพื้นฐานว่าเป็นถึงปรมาจารย์อัจฉริยะ แต่หารู้ไม่ว่าในสายตาของเทพเซียนต่างมองว่าผู้ฝึกนั้นอ่อนหัดมากในพิภพแห่งเทพอมตะ

 

  เพราะมีเพียงผู้ฝึกที่สามารถย่างก้าวมาถึงช่วงกลางของขั้นกำเนิดลมปราณได้เท่านั้น ถึงจะสามารถเรียนรู้คาถาเวทห้าองค์ประกอบพื้นฐาน และเริ่มใช้อาวุธขลังเวทระดับต่ำที่สุดได้ ส่วนเรื่องการเหาะเหินเดินอากาศด้วยกระบี่ ก็จะได้เริ่มเรียนรู้ในขั้นขุนพลลมปราณเป็นต้นไป ด้วยเหตุนี้ฉีหวนจึงมีกำลังใจในการฝึกฝนยิ่งนัก เนื่องจากมนุษย์ทั่วไปต้องพยายามดิ้นรนอย่างน้อยหลายร้อยปีเพื่อที่จะบินได้ แต่นางเป็นมนุษย์ที่ได้รับกลยุทธ์พิเศษ และมีหน้าที่ทำเพียงเดินตามรอยบรรพบุรุษ ฉีหวนได้รับโอกาสดีเช่นนี้ ไม่มีเหตุผลใดที่นางจักต้องยอมแพ้แม้แต่น้อย!

 

   “อาจารย์ป้าผู้อาวุโสขอรับ เหล่าประมุขผู้อาวุโสเชิญท่านไปยังพระราชวังไท่ชิงขอรับ!” ขณะที่ฉีหวนเดินออกจากตำหนัก เธอก็พบหลิงหยุนจือ หลานชายอีกคนยืนทำความเคารพอยู่หน้าประตู ผมยาวสลวยของเขาถูกมวยขึ้นอย่างเป็นระเบียบ ชุดคลุมขนาดใหญ่ก็ไม่อาจปิดบังรูปร่างแข็งแรงกำยำของเขาได้

 

   หลิงหยุนจือเป็นผู้ฝึกบ่มเพาะลมปราณตนหนึ่งที่มีพรสวรรค์ติดตัวอันยอดเยี่ยม เขาฝึกบ่มเพาะยังไม่ถึงห้าร้อยปีก็สามารถบรรลุลมปราณไปถึงขั้นเซียนแล้ว นับได้ว่าเขาแข็งแกร่งกว่าศิษย์พี่หลิงเฟิงจือ ถึงแม้จะห่างกันถึงสองร้อยปีก็ตาม แต่น่าเสียดายที่เขาดูเป็นคนน่าเบื่อ เพราะไม่ว่าฉีหวนจะกล่าวกับเขายาวหลายร้อยพยางค์เพียงใด หลิงหยุนจือก็มักจะตอบกลับเธอเพียงเล็กน้อย

 

   ด้วยเหตุนี้ทำให้ฉีหวนก็ยังคงคิดถึงหลานชายคนโตที่แม้จะไม่เก่งกาจเท่า แต่คารมคมคายช่างน่าก่อกวนเสียจริง ถึงกระนั้นหลิงเฟิงจือ และหลิงหยุนจือต่างก็มีหน้าตาราวเทพบุตรหล่อเหลาทั้งคู่ ‘ถึงจะอายุมากไปหน่อย ก็ไม่เป็นไรฉันไม่ถือสา อิอิ’ ฉีหวนยังคงตระหนักขอบคุณผู้อาวุโสที่รับเขาทั้งสองมาเป็นศิษย์ ณ ยอดเขาชิงหยุนอย่างซึ้งใจ ถึงจะไม่รู้ว่าท่านผู้นั้นเป็นใครก็ตามเถิด…

 

 

   “ท่านอาจารย์ป้า!?” เมื่อหลิงหยุนจือเห็นฉีหวนจ้องมองตนเป็นเวลานาน เขาจึงอดไม่ได้ที่จะตะโกนเสียงดังเพื่อเรียกสติเธอ

 

   “อะ-อะ-อ๋อ… นำข้าไปที” ฉีหวนคลำมุมปากด้วยความรู้สึกปั่นป่วนใจ แต่เมื่อพบว่ายังไม่มีน้ำลายหกออกมา เธอก็นึกซึ้งใจต่อตนเองยิ่งนักที่เก็บอาการเก่งได้ถึงเพียงนี้

 

ระหว่างทางไปพระราชวังไท่ชิง ฉีหวนพบว่ามีบางอย่างผิดแปลกไปบริเวณแถวหน้าประตูยอดเขาชิงหยุน เนื่องจากวันนี้ศิษย์ชั้นในที่มักพบเห็นได้ยากในวันธรรมดา ต่างออกมาชุมนุมนอกสำนักให้เห็นในระยะประชั้นชิดจำนวนมาก แม้แต่ผู้อาวุโสที่มักซ่อนตัวอยู่บนยอดเขาก็ปรากฏกายขึ้นอย่างน่าสงสัย

 

   “หลายชาย! บัดนี้มีอสุรกาย หรือว่าปีศาจโบราณถือกำเนิดขึ้นที่นี่อย่างงั้นรึ?” ฉีหวนเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

 

   “… ท่านอาจารย์ลุงบรรลุวิชาอดกลั้นความทุกข์ยากแล้วขอรับ บัดนี้ถึงเวลาที่ต้องเข้าพิธีอีกครั้งเพื่อเลื่อนขั้นขอรับ” หลิงหยุนจือกล่าวอย่างไม่เต็มใจเล็กน้อย

 

   “เดี๋ยวนะ!… ท่านอาจารย์ลุงที่เจ้ากำลังกล่าวถึง ใช่ท่านเดียวกับอาจารย์ผู้อาวุโสของข้าหรือเปล่า?” ฉีหวนตกใจยิ่งนัก เหตุใดถึงไม่มีใครแจ้งเรื่องสำคัญเช่นนี้กับนาง?!

 

   หลิงหยุนจือปล่อยให้ฉีหวนมีใบหน้าซีดเผือดโดยไม่กล่าวอันใดทั้งสิ้น เขาตระหนักในใจว่า ตนเองโชคดียิ่งนัก ที่ไม่มีศิษย์ หรือสาวกเช่นนี้ มิเช่นนั้นเขาคงตรอมใจตายเป็นแน่ เนื่องจากนางสงสัยไปเสียทุกเรื่อง

 

   “หากอาจารย์ของข้ากำลังจะเข้าบำเพ็ญตบะอย่างเงียบสงบ แล้วเหตุใดเล่าถึงมีนักพรตเต็มบริเวณทางเข้านิกายมากมายถึงเพียงนี้?”

 

   “ผู้นำเขาซูซัน ผู้นำเขาคุนหลุน ผู้นำเขาไท่หลัง และอีกหลายผู้นำลัทธิมากกว่าสิบนิกาย ทำเรื่องขอส่งสาวกจำนวนหนึ่งเข้าร่วมสังเกตพิธีครั้งนี้ด้วยขอรับ”

 

   “อื้อหื้อ… หลานรัก ข้าขอเวลาครู่หนึ่ง บัดนี้ท้องของข้าเริ่มปั่นป่วนแล้วล่ะ!” ฉีหวนเปลี่ยนสีหน้าอย่างกะทันหัน พร้อมกับหันหลังตั้งท่าราวกับกำลังจะวิ่ง

 

   “อาจารย์ป้าอดกลั้นไว้ก่อนขอรับ! ได้โปรดอดทนก่อน!” เขาคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว ว่าฉีหวนต้องหาทางหนีออกไปจากพิธีนี้ เขาจึงยื่นมือขวาออกไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มีแสงเปล่งประกายพร้อมกับด้ายสีแดงพุ่งออกจากมือไปห่อหุ้มตัวฉีหวนราวกับเป็นเกี๊ยวซ่า

 

   “เมื่อใดที่เจ้าเป็นเทพ เจ้าจะต้องถูกสรวงสวรรค์ประณามข้อหาที่เจ้าหลอกและทำร้ายบรรพบุรุษเช่นข้า!” ฉีหวนตัดพ้อด้วยสีหน้าเศร้า

 

   “ไม่ต้องห่วงข้าหรอกอาจารย์ป้า! อีกหลายพันปีกว่าข้าจะถึงขั้นโดนสวรรค์ลงโทษ” หลิงหยุนจือกระชากฉีหวนกลับมาที่เดิมอย่างรวดเร็ว

 

   “หลานรักปล่อยข้าไปเถอะ! หญิงร่างเล็กเบาะบางอย่างข้าทนแรงกระบืออย่างเจ้าไม่ไหวหรอกนะ!” ฉีหวนแสร้งร้องไห้ คร่ำครวญอย่างน่าสงสาร

 

 

   “ข้าไม่อาจขัดคำสั่งท่านอาจารย์ลุงผู้อาวุโสได้!” หลิงหยุนจือหยุดชะงักและนึกถึงพิธีที่กำลังจะเกิดขึ้น ใบหน้าเขาเริ่มคล้ำลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะแท้จริงแล้วเขาก็ไม่อยากเข้าร่วมพิธีนี้เช่นกัน

 

   เมื่อสองเดือนก่อน ฉีหวนได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับพิธีนี้ เธอรู้สึกตื่นเต้นมากโดยไม่มีเหตุผล ฉีหวนจึงขอติดตามหลิงเฟิงจือไปยังยอดเขาซูซันเพื่อดูเหล่าผู้อาวุโสได้รับการเลื่อนขั้นของวิชาบำเพ็ญตบะ ซึ่งเธอคิดว่าพิธีนั้นคงใช้เวลานานสุดไม่ถึงสองชั่วโมง แต่เมื่อย่างก้าวเข้าไปยังหอสังเกตการณ์ ฉีหวนกลับได้ยืนโดยห้ามกินข้าว กินน้ำ หรือนอนหลับเป็นเวลาถึงสี่วัน

 

   เธอตระหนักด้วยความโมโหว่าผู้ใดกันเป็นคนตั้งกฎอันแสนโง่เง่าว่า เมื่อเข้าสู่พิธีแล้ว มิอนุญาตให้ทาน ดื่ม พูด หรือว่านอนหลับในขณะที่พิธีกำลังดำเนินการอยู่ พูดง่าย ๆ เลยก็คือต้องทำตัวเหมือนตายแล้วแต่ยังยืนได้ ซึ่งตอนนั้นฉีหวนได้เป็นลมล้มพับไป แต่หลิงเฟิงจือก็ยังคงยืนยันคำเดิมว่าต้องอยู่จนพิธีจบก่อน เนื่องจากเหล่าผู้อาวุโสต่างไม่อนุญาตให้ผู้ใดออกจากพิธีก่อนทั้งนั้น

รีวิวผู้อ่าน