ตอนที่ 10 ไม่ต้องห่วง! ข้ามั่นใจในตนเองมากอยู่แล้ว!
หลังจากได้รับสัญญาณจากศิษย์พี่ หลิงหยุนจือก็ย่องออกจากที่นั่งอย่างเงียบสงบ และเคลื่อนที่ไปหาฉีหวนราวกับคลื่นลมฤดูใบไม่ร่วง
“ปัดโธ่! อะไรกันครับเนี่ย! ทำไมเจ้าช่างโง่เง่ายิ่งนัก! แค่ก้าวเท้าข้างขวาไปอีกครึ่งก้าวก็หลบทันแล้ว! หัดเชื่อมั่นในตัวเองหน่อยสิโว้ย! โคตรกาก! แค่นี้ก็ยอมแพ้เสียแล้ว!” ฉีหวนกำลังดูการประลองอย่างจริงจัง จึงไม่ได้สังเกตว่ามีใครบางคนอยู่ข้างหลังเธอ…
หลิงหยุนจือยืนอยู่หลังเธออย่างเงียบสงบ หลังจากได้ยินคำพูดของฉีหวน หลิงหยุนจือก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เนื่องจากเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่า ท่านอาจารย์ป้าผู้อาวุโสของตนรู้วิธีการต่อสู้ได้อย่างลึกซึ้งถึงเพียงนี้…
ความจริงแล้ว นี่เป็นผลจากประสบการณ์การเล่นเกมมาเกือบสิบปีของฉีหวนเอง ใช่! มันเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะสามารถเป็นนักสังหารตัวละครในชีวิตจริง แต่ในฐานะเกมเมอร์ฮาร์ดคอร์ ก็ถือว่าฉีหวนเป็นผู้เชี่ยวชาญมากไม่ว่าจะเป็นเกมประเภทไหนก็ตาม
“โอ้ย! ไอ่เจ้าโง่! นี่เจ้ามีกระบี่บินไว้แค่ประดับร่างหรือไงกัน?! นี่เจ้ากำลังประลองกับนางอยู่นะ อย่าเพิ่งแสร้งทำตัวเป็นสุภาพบุรุษตอนนี้…!” ผู้คนบนเวทีต่างกำลังต่อสู้อย่างดุเดือด ส่วนฉีหวนที่อยู่ล่างเวทีก็ตื่นเต้นไปกับการประลองไม่แพ้กัน หลิงหยุนจือยังคงยืนมองอย่างสงบ แต่ถ้าหากมีใครหันมามอง เขาก็จะจ้องกลับไปยังผู้นั้นทันที
สาวกนิกายชิงหยุนต่างรู้ดีว่า ฉีหวนอยู่ในสถานะที่สูงส่ง ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ามีปัญหากับเธอ.. ส่วนสาวกนิกายอื่น ก็ทำได้เพียงยืนมองด้วยท่าทีไม่พอใจ เนื่องจากรังสีอำมหิตอันทรงพลังของหลิงหยุนจือ ทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าเผชิญหน้าสักตน…
ท้ายที่สุดศิษย์นิกายซูก็พ่ายแพ้ให้กับศิษย์ชั้นในแห่งนิกายชิงหยุนเพียงหนึ่งยก เมื่อได้ยินเสียงเชียร์ของเหล่าฝูงชน ฉีหวนก็กระตุกริมฝีปากเธอเล็กน้อยพร้อมตระหนักว่า หากเป็นในเกมผู้เล่นพวกนั้นคงเละเป็นกะหล่ำปลีเน่าไปแล้ว
การประลองครั้งที่สองเป็นการแข่งขันระหว่างศิษย์ที่ได้รับฉายาว่า ‘วัชรยักษ์’ แห่งนิกายซานหยาง และ โอวหยางหลินจากนิกายชิงหยุน
“ข้าเคยได้ยินมาว่า… สำนักซานหยางเป็นลัทธิของเหล่านักพรต แต่ข้านึกไม่ออกจริง ๆ ว่าชุดคลุมแบบไหนกันที่เหมาะกับท่านนี้?” ผู้ที่ได้รับฉายาวัชรยักษ์ คือชายหนุ่มผิวคล้ำ และมีร่างกายที่สูง ใหญ่และบึกบึนมาก เมื่อเทียบกับโอวหยางหลิน จะเห็นได้ชัดว่า นางสูงถึงเพียงครึ่งร่างของเขาเท่านั้น ไม่ต้องกล่าวถึงพละกำลัง ก็รู้ดีว่านี่มันอาวุธสงครามในร่างมนุษย์ชัด ๆ!
ฉีหวนตกตะลึงจนปากค้าง คงจะจริงอย่างที่คนเคยกล่าวไว้ว่า พิภพแห่งเทพอมตะสามารถเป็นไปได้ทุกอย่าง เพราะนอกจากเธอแล้ว ก็ไม่เห็นมีใครทำท่าทีประหลาดใจสักตน โดยทั่วไปเหล่าสาวกนั้นสามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้ค่อนข้างดี ด้วยเหตุนี้ทำให้ฉีหวนรู้แล้วว่า ทำไมถึงไม่มีใครตกใจกับหญิงสาวหัวเกือบโล้นอย่างเธอ จากนั้นฉีหวนก็รีบใช้มือสัมผัสหัวตนเอง จึงพบว่าผมเริ่มงอกแล้ว! แต่กระนั้นก็ยังห่างไกลกับคำว่าผมยาวสลวยอยู่ดี… ฉีหวนยังคงย้อนนึกถึงสมัยที่เคยใช้ผมยาวยั่วยวนหนุ่มหล่อให้หลงเสน่ห์ได้ถึงหนึ่งคน!
ฉีหวนตัดพ้อกับตัวเองในใจ ในขณะที่โอวหยางหลินกำลังโจมตี ‘วัชรยักษ์’ บนลานประลองได้พักใหญ่แล้ว ถึงเขาจะมีร่างกายใหญ่โต แต่การเคลื่อนไหวก็ถือว่ายังคล่องแคล่วมากนัก ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่เหมาะสมกับโอวหยางหลินอยู่ดี เพราะพละกำลังของวัชรยักษ์ต่ำกว่าโอวหยางหลินถึงหนึ่งระดับ หากไม่ใช่ผีสาง หรือปีศาจร้าย การเอาชนะพละกำลังที่มากกว่าตนหนึ่งระดับก็ถือว่าเป็นอุปสรรคที่ผ่านยาก
โอวหยางหลินเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับสาวกรอบสนาม และหันมาเตรียมท่าเพื่อจัดการชายตรงหน้าให้เจ็บสาหัสเป็นครั้งสุดท้าย… แต่ทันใดนั้นเท้าของนางกลับอ่อนแรง แล้วจู่ ๆ ก็ล้มหน้างายบนลานประลองต่อหน้าทุกคนอย่างไม่ทันตั้งตัว!
ในขณะเกิดเหตุ สาวกทั้งสนามต่างเงียบสงบ แต่เวลาผ่านไปเพียงเสี้ยววินาที เสียงหัวเราะก็กลับมาดังขึ้นอย่างขบขัน การที่ผู้ฝึกบ่มเพาะพลังล้มลงกลางลานประลองเทพอมตะนั้น ถือว่าเป็นเรื่องน่าอับอายยิ่งนัก
หลังจากที่โอวหยางหลินรีบวิ่งออกไปจากสนามพร้อมกับใช้มือปิดใบหน้า จู่ ๆ แสงสีแดงจาง ๆ ก็ล่องลอยจากท้องนภา พุ่งตรงมายังแขนเสื้อฉีหวน… หลิงหยุนจือยืนมองด้วยร่างแข็งทื่ออยู่ข้างเธอ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปมองศิษย์พี่ของตน ที่ยืนมองอยู่ห่าง ๆ พร้อมกับส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้
ส่วนสาวกตนอื่นนั้นอยู่ห่างออกไป ทำให้พวกเขาไม่ทันได้สังเกตเห็น แต่หลิงหยุนจือนั้นอยู่ใกล้ฉีหวนมาก ทั้งความสามารถของเธอยังไม่แข็งแกร่งมากพอ ทำให้เขาเห็นการเคลื่อนไหวของฉีหวนได้อย่างง่ายดาย
แท้จริงแล้วฉีหวนตั้งใจจะทำให้โอวหยางหลินอับอายมากกว่านี้ แต่เธอเกิดสังเกตเห็นหลิงหยุนจือเสียก่อน จึงรีบเปลี่ยนใจทันที เพราะโดยทั่วไปแล้วฉีหวนไม่ใช่คนที่ขี้สงสาร ในทางตรงกันข้ามเธอเป็นคนที่เด็ดขาดมาก หากผู้ใดทำให้ขุ่นเคืองใจ เธอไม่มีวันแสดงความเมตตาให้แน่นอน
ฉีหวนเดินออกจากลานประลองด้วยความรื่นรมย์ใจ ส่วนหลิงหยุนจือก็รีบเรียกศิษย์ทุกตนที่เฝ้าลานประลองมาสืบสวนว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นก่อนหน้านี้หรือเปล่า? ศิษย์หนึ่งในนั้นจึงเล่าบทสนทนาระหว่างฉีหวนและโอวหยางหลินให้เขาฟัง
ทันทีที่รู้เรื่องทั้งหมด หลิงหยุนจือไม่ลังเลที่จะออกคำสั่งลงโทษโอวหยางหลินแม้แต่น้อย โดยเขาให้เธอไปคิดไตร่ตรองถึงการกระทำที่ตนเองก่อไว้ ณ ยอดเขาคูจูเป็นเวลานานถึงสามปี ทั้งยังห้ามมิให้เธอเข้าไปยังสำนักชั้นในอีก!
ถึงกระนั้นฉีหวนก็ไม่ได้เห็นด้วยกับการลงโทษครั้งนี้ แต่การกระทำของโอวหยางหลิน ทำให้หลิงหยุนจือตระหนักว่านางไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ทั้งยังทำตัวไม่เกรงกลัวต่อยศตำแหน่งของฉีหวนแม้แต่น้อย ทั้งที่เธอเป็นถึงศิษย์เพียงผู้เดียวของท่านผู้อาวุโสซูกงจือ และยังเป็นตัวแทนศิษย์ของขั้นลมปราณระดับต่ำแห่งนิกายชิงหยุนอีกด้วย ดังนั้นการดูหมิ่นฉีหวน จึงถือว่าเป็นการดูหมิ่นศิษย์รุ่นสองอย่างหลิงหยุนจือเช่นกัน
บัดนี้ขั้นลมปราณของฉีหวนยังคงอยู่ในขั้นเบี้ยล่าง แต่ทว่าศิษย์พี่ของเธอล้วนแต่เป็นถึงปรมาจารย์ที่โด่งดังในพิภพแห่งเทพอมตะทั้งนั้น ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยเจอฉีหวนเป็นการส่วนตัวสักครั้ง แต่เมื่อไหร่ที่รู้ว่าศิษย์น้องของตนโดนกลั่นแกล้ง หลิงหยุนจือรับรองได้ว่า พวกเขาต้องรีบมาหาผู้นั้นเพื่อจัดการสั่งสอน หรือไม่ก็เอาคืนให้มากกว่าที่ฉีหวนโดนเป็นพันเท่าแน่นอน เพราะฉะนั้นหลิงหยุนจือจึงตระหนักว่าไม่ต้องให้ถึงมือศิษย์พี่ของฉีหวนก็ได้ เนื่องจากเขาจะเป็นผู้จัดการทุกอย่างเอง!
“ท่านอาจารย์ป้าผู้อาวุโสได้เวลาไปยังหอสังเกตการณ์แล้วขอรับ” เสียงหลิงหยุนจือดังมาจากนอกประตู ทำให้ฉีหวนที่กำลังนอนหงายเหล่ตาขึ้นเล็กน้อย ในขณะนั้น เธอยังคงเห็นควันสีฟ้าครามเปล่งประกายแสงวนไปมาอยู่รอบตัวอย่างต่อเนื่อง
“เฮ้อ!!!” ฉีหวนถอนหายใจออกมาอย่างแรงราวกับอยากให้หลานชายที่อยู่ด้านนอกได้ยิน จากนั้นฉีหวนก็อดที่จะสบถกับตัวเองในใจไม่ได้… เธอไม่เข้าใจว่าไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้นักหนา ทั้งที่ในนิกายชิงหยุนมีสาวกเป็นพัน ๆ คน แต่ทำไมหลิงหยุนจือถึงต้องจ้องแต่จะก่อกวนเธอเพียงผู้เดียวด้วย!
“ท่านป้าผู้อาวุโส!”
“รู้แล้ว! ข้ากำลังลุก!” ฉีหวนกล่าวอย่างไม่เต็มใจ พร้อมกับคิดดูถูกท่านอาจารย์ซูกงจือด้วยอารมณ์หงุดหงิด เนื่องจากนักพรตส่วนใหญ่ต่างเลือกที่จะทำพิธีในยามกลางวันแสก ๆ แต่ซูกงจือกลับเลือกที่จะเข้าพิธีตอนเที่ยงคืน โดยไม่คิดเกรงกลัวต่อผีสางเทวดาแม้แต่น้อย
หลังจากที่ฉีหวนเดินออกจากตำหนัก หลิงหยุนจือก็เร่งนำเธอไปยังจุดเคลื่อนย้ายขนาดเล็ก ที่ตั้งอยู่ใจกลางยอดเขาหวังหยู่ทันที จุดส่งตัวปรากฎขึ้นในระหว่างเจ็ดยอดเขาบนภูเขาชิงหยุน… แต่น่าเสียดายนักที่ขั้นพลังของฉีหวนนั้นต่ำต้อยเกินไปที่จะสามารถสร้างจุดวาร์ปด้วยตนเอง… แต่กระนั้นก็ไม่เป็นไร เพราะถือว่าครั้งนี้เธอได้สัมผัสกับศาสตร์วิชาขั้นสูงสุดในพิภพแห่งเทพอมตะแบบไม่ต้องเสียเงินสักบาท
ทันใดนั้นแสงรุ้งเจ็ดสีก็เปล่งประกายกลางอากาศ และเพียงเสี้ยววินาทีฉีหวนและหลิงหยุนจือก็ปรากฎตัวขึ้น ณ ยอดเขาซีซาน
ยอดเขานี้เป็นจุดเดียวบนภูเขาชิงหยุนที่ไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่ และที่นี่ยังได้รับการยกย่องให้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของนิกายชิงหยุนด้วย เหล่านักพรตขั้นสูงอย่างน้อยสิบท่านมักจะมาเข้าพิธีพิสูจน์ตนจากความทุกข์ยาก ณ ที่แห่งนี้ ในขณะเดียวกันก็เรียกได้ว่าสถานที่แห่งนี้โชกโชนไปด้วยประสบการณ์บัพติศมาด้วยเลือดมานับไม่ถ้วน การที่จะเป็นเทพเซียนอมตะได้นั้นไม่ง่ายอย่างที่คิด นักพรตขั้นสูงแห้งนิกายชิงหยุนต่างต้องเข้าพิธีกรรมนี้อย่างน้อยสิบครั้งถึงจะประสบความสำเร็จ
ณ บัดนี้แท่นนั่งต่างเต็มไปด้วยฝูงชน หลิงหยุนจือพาฉีหวนไปยังตำแหน่งที่ใกล้กับซูกงจือที่สุด ซึ่งฝั่งซ้ายของเธอคือชายชราสองท่านที่กำลังจะเข้าสู่พิธีพิสูจน์ตน ส่วนฝั่งขวาก็คือศิษย์พี่ของฉีหวนที่กำลังเตรียมตัวเข้าสู่พิธีในรอบถัดไป และสุดท้าย ด้านหลังเธอ ก็คือหลานชายผู้อาวุโสที่กำลังฝึกอยู่ในขั้นราชันย์ลมปราณ
“เฮ้อ! เหตุใดการเป็นศิษย์เพียงผู้เดียวของชิฟูซูกงจือถึงทำให้ข้ารู้สึกกดดันถึงเพียงนี้!” ฉีหวนถอนหายใจ
“หวนจือ อย่างไรข้าก็เชื่อมั่นในตัวเจ้า!” ซูหยางจือเผยยิ้มเล็กน้อยบนใบหน้าอันแห้งเหี่ยว พร้อมกับตบบ่าฉีหวน
ฉีหวนแทบจะล้มลงกับพื้น โชคดีที่หวงเซียนจือไหวตัวทัน จึงรีบเข้าไปพยุงเธอ
“หึ! ข้ามั่นใจในตัวเองอยู่แล้วล่ะ…” ฉีหวนตอบกลับอย่างออกนอกหน้า ทำให้ซูหยางจือทึ่งเล็กน้อย