บทที่ 2 : ถูกไล่ออกจากตำหนัก
“อีกเพียงแค่ครึ่งปี ข้าก็จะอายุสิบหกแล้ว นับเป็นวัยผู้ใหญ่เต็มตัวในโลกแห่งนี้ เมื่อถึงเวลานั้นข้าก็จะสามารถออกจากตำหนักเจ้าเมืองไปตามหาท่านแม่ได้เสียที แต่...ข้ากลับไม่รู้เลยว่าหลายปีมานี้ ท่านแม่อยู่นอกตำหนักจะมีชีวิตเยี่ยงไร...”
“ช่างเถิด! หยุดคิดเรื่องนี้ไปก่อน! สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือ ข้าจำต้องระดมพลังปราณและเพิ่มความแข็งแกร่งของตนให้ได้โดยเร็วที่สุด! มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้ข้าสามารถยืนหยัดบนดินแดนแห่งนี้ได้ ดินแดนที่ผู้แข็งแกร่งที่สุดจะกลายเป็นจ้าว หากข้าไม่มีความสามารถแม้แต่จะปกป้องดูแลตนเองได้ ทันทีที่ก้าวเท้าออกจากตำแหน่งนี้ก็คงถูกปลิดชีพเสียแล้ว ยังต้องคิดตามหาท่านแม่อันใดอีก..”
หลู่เชียนสุ่ยหักห้ามความคิดที่กำลังฟุ้งซ่าน และเริ่มฝึกฝนวิชาต่อไป
นางเคยกล่าวกับหลู่ซิงเฉินผู้เป็นพี่ไว้ว่า จะต้องระดมพลังปราณของตนให้ได้โดยเร็วและต้องสมบูรณ์ที่สุดด้วย นางไม่ได้กล่าวเท็จแต่อย่างใด
นั่นเพราะสิ่งที่ผู้คนภายนอกมองมานั้น ไม่ใช่สิ่งที่นางเป็นเลย..
ความจริงแล้ว นางได้เริ่มฝึกหัดรวบรวมพลังปราณตั้งแต่อายุได้เพียงหกขวบเท่านั้น ความรวดเร็วในการรวบรวมพลังปราณของนางนั้นเหนือกว่าคนธรรมดาหลายเท่านัก เห็นได้จากการดูดซับพลังจากโอสถเป่ยหยวนซึ่งเป็นโอสถระดับต่ำ หากเป็นคนปกติทั่วไปก็ต้องใช้เวลาในการดูดซับนานถึงสามวัน แต่นางใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น
หาใช่ว่าตลอดระยะเวลาสิบปีมานี้ นางจะไม่สามารถระดมพลังปราณได้ จนผู้คนต่างมองว่านางไร้ความสามารถและไร้ประโยชน์ เหตุผลที่แท้จริงก็คือนับตั้งแต่นางเข้ามาเกิดใหม่ในร่างเด็กสาวผู้นี้ ก็ได้ปรากฏผืนกระดาษสีขาวลึกลับอยู่ในจุดตันเถียนของนางนั่นเอง
เมื่อใดก็ตามที่นางเริ่มระดมพลังปราณ ผืนกระดาษสีขาวนั้นก็จะทำตัวเหมือนหลุมลึกไร้ก้น และเริ่มดูดกลืนพลังปราณของนางเขาไปจนหมด
หลู่เชียนสุ่ยได้บอกเล่าเรื่องประหลาดนี้ให้มารดาของนางล่วงรู้ แต่มารดาของนางกลับกำชับว่าให้นางหมั่นฝึกฝนระดมพลังปราณต่อไปให้หนักยิ่งขึ้น และพยายาม ‘ป้อน’ พลังปราณให้กับผืนกระดาษสีขาวนี้จนเต็มอิ่ม อีกทั้งยังย้ำนักย้ำหนาไม่ให้นางบอกกล่าวเรื่องผืนกระดาษขาวปริศนานี้ให้ผู้ใดล่วงรู้โดยเด็ดขาด
ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าตลอดหลายปีนางจะสนิทสนมกับหลู่ซิงเฉินมากเพียงใด นางก็ไม่เคยเปิดเผยความลับเรื่องผืนกระดาษสีขาวนี้ให้กับผู้เป็นพี่ล่วงรู้เลย
ตลอดเวลาสิบปีที่นางเฝ้าระดมพลังปราณทั้งหมดปรนเปรอผืนกระดาษสีขาวลึกลับนี้ เป็นผลให้ผืนกระดาษสีขาวราวหิมะนั้น เวลานี้ได้เริ่มกลายเป็นสีทองบริสุทธิ์แล้ว
หลู่เชียนสุ่ยใช้พลังจิตที่แข็งแกร่งของตนสังเกตดูผืนกระดาษลึกลับภายในจุดตันเถียน นางเฝ้ามองพร้อมกับรำพึงรำพันอยู่ในใจ
‘ท่านแม่เคยบอกกับข้าว่า ตราบใดที่ผืนกระดาษนี้เปลี่ยนเป็นสีทองบริสุทธิ์ทั่วทั้งแผ่น มันจะหยุดกลืนพลังปราณของข้า และเมื่อนั้นข้าจึงจะสามารถระดมพลังปราณได้สำเร็จ..’
เมื่อเวลานั้นมาถึง นางจะได้ลบฉายา ‘สวะไร้ค่า’ ที่ผู้คนเรียกขานนางออกไปได้เสียที และจะได้กลายเป็นยอดฝีมือที่เก่งกาจจริงๆเสียที!
…
เพียงแค่พริบตาเดียว เวลาก็ล่วงเลยไปอีกหนึ่งคืน หลู่เชียนสุ่ยนั่งเดินลมปราณอยู่ตลอดทั้งคืน ไม่เพียงนางไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย แต่ยังรับรู้ได้ถึงจิตวิญญาณที่แก่กล้าขึ้นด้วย
“ข้าคาดไม่ผิดจริงๆ! ผืนกระดาษสีขาวกำลังจะกลายเป็นสีทองทั่วทั้งแผ่นอีกในไม่ช้าแล้ว หากเป็นเช่นนี้ ข้าระดมพลังปราณต่ออีกหนึ่งวัน ก็คงจะเริ่มฝึกปฐมปราณได้เป็นแน่ ถึงตอนนั้นพี่ซิงเฉินก็จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงข้าอีก นางจะได้มีความสุขเสียที!”
ระหว่างที่หลู่เชียนสุ่ยครุ่นคิดอยู่นั้น รอยยิ้มจางๆก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง นางหยุดฝึกวิชาแล้วลุกขึ้นไปอาบน้ำชำระล้างร่างกาย จากนั้นตั้งใจว่าจะไปหาหลู่ซิงเฉินเหมือนเช่นเคย
แต่เมื่อนางเปิดประตูห้องออกมา ก็พบว่าหลู่ชิงสาวใช้ประจำตัวของหลู่ซิงเฉินได้มายืนคอยอยู่ที่หน้าประตูห้องนานแล้ว และดูเหมือนนางมีบางสิ่งบางอย่างที่ต้องการจะกล่าว
“หลู่เชียนสุ่ย!”
ทันทีที่หลู่ชิงพบหน้าหลู่เชียนสุ่ย แม้นางจะโน้มกายลงเป็นปกติ แต่วาจาและน้ำเสียงกลับเปลี่ยนไปจากเดิม นางเชิดหน้าขึ้นอย่างจองหองพร้อมกับเอ่ยวาจาอย่างผยอง
“ข้ารับคำสั่งจากท่านเจ้ามืองให้มาขับไล่เจ้าออกจากตำหนักแห่งนี้!”
“คำสั่งท่านพ่องั้นรึ?” หลู่เชียนสุ่ยถึงกับนิ่งไปชั่วขณะ แววตากลับกลายเป็นเย็นชาพร้อมกล่าวตอบไปว่า
“เจ้ากล่าววาจาไร้สาระอันใด? ท่านพ่อไม่มีทางออกคำสั่งเช่นนี้เป็นแน่?”
หลู่ชิงถึงกับตกใจเมื่อสัมผัสแววตาดุดันและเย็นชาของหลู่เชียนสุ่ย นางชะงักงันไปชั่วขณะ แต่หลังจากที่สงบจิตใจได้แล้ว และตระหนักว่าหลู่เชียนสุ่ยเป็นเพียงแค่สวะไร้ค่าผู้หนึ่งที่ไม่สามารถระดมพลังปราณได้ นางจึงรวบรวมความกล้าพร้อมกล่าววาจาตอบโต้
“ที่ผ่านมาท่านเจ้าเมืองก็ไม่เคยออกคำสั่งที่ไร้เหตุผลเช่นนี้มาก่อน แต่เจ้าเป็นหญิงที่ไร้ประโยชน์ ไม่เหมาะที่จะเป็นคุณหนูใหญ่ของตำหนักแห่งนี้ มีเพียงคุณหนูซิงเฉินเท่านั้นที่เหมาะจะเป็นคุณหนูใหญ่ของตำหนักแหน่งนี้ และเหมาะสมที่จะเป็นตัวแทนเข้าประลองยุทธในครั้งนี้!”
และนี่คือเหตุผล!
นางไม่มีค่าและไร้ประโยชน์ในสายตาของผู้เป็นพ่อ นางจึงไม่สมควรที่จะเป็นคุณหนูใหญ่ของตำหนักแห่งนี้ ในขณะที่หลู่ซิงเฉินจะเป็นผู้นำความรุ่งเรืองมาสู่ตำหนักท่านเจ้าเมือง เพื่อมอบฐานันดรที่เป็นของนางให้กับหลู่ซิงเฉิน หลู่จิ้งเฟิงถึงกับขับไสลูกในไส้ของตนออกจากตำหนัก
เขาปรารถนาให้หลู่ซิงเฉินขึ้นมาเป็นคุณหนูใหญ่ของตำหนักแห่งนี้แทนนาง!
หลังจากที่หลู่เชียนสุ่ยใคร่ครวญจนเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ก้นบึ้งในจิตใจของนางจึงเหลือเพียงความเย็นชา ดวงตาทั้งคู่ของนางหรี่ลงพร้อมเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“พี่ซิงเฉินรู้เรื่องนี้หรือไม่?”