บทที่ 4 : ตอบแทนกลับเป็นร้อยเท่า
ทันทีที่หลู่จิ้งเฟิงก้าวเดินจากไป หลู่ซิงเฉินจึงแย้มยิ้มพร้อมเอ่ยออกไป “เชียนสุ่ย เจ้าก็เชื่อฟังคำพูดของท่านพ่อเถิดนะ! ออกไปจากตำหนักนี้ซะ เห็นแก่ที่เจ้าช่วยถ่ายทอดวิชาธารบรรพตให้กับข้า ข้าจะไม่ทำให้เจ้าต้องลำบากไปมากกว่านี้”
“เจ้าเลิกแสร้งได้แล้ว! เจ้ามันเป็นหญิงที่น่ารังเกียจสิ้นดี!”
หลู่เชียนสุ่ยจ้องมองหลู่ซิงเฉินด้วยแววตาเคียดแค้น หญิงผู้นี้เป็นบุตรสาวของนังผู้หญิงแพศยาที่พ่อของนางแต่งเข้าจวนเมื่อหกปีก่อน เพราะต้องการให้นางถ่ายทอดวิชาให้ จึงได้รวมหัวหลอกลวงนางมานานถึงหกปี แสร้างอยู่ข้างนางมาโดยตลอด เช่นนี้แล้วจะไม่ให้นางโกรธแค้นได้อย่างไรกัน?
“หลู่เชียนสุ่ย!” เมื่อเห็นว่าหลู่เชียนสุ่ยไม่หลงกลคำพูดของตนอีกแล้ว น้ำเสียงและท่าทีของหลู่ซิงเฉินจึงเปลี่ยนไปทันที นางร้องตะโกนออกมาอย่างไร้เมตตา
“อย่าให้ข้าต้องบีบบังคับเจ้าไปมากกว่านี้ อย่าให้ข้าต้องทำเช่นเดียวกับที่ทำกับแม่ของเจ้า! เจ้าคงไม่อยากถูกตีจนกระดูกหัก พิการจนไม่สามารถฝึกวิชาได้อีก แล้วถูกจับโยนออกไปนอกตำหนักหรอกนะ?”
อะไรนะ?
ท่านแม่...
หลู่เชียนสุ่ยสะท้านไปทั้งร่าง ดวงตาทั้งคู่พลันเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ ฝ่ามือทั้งสองข้างกำแน่น ยากที่จะควบคุมร่างกายมิให้สั่นเทิ้มได้
หลู่ซิงเฉินเห็นสีหน้าท่าทางเช่นนั้นของผู้เป็นน้อง นางจึงกล่าวติดตลกออกมา “โอ้! คิดไม่ถึงว่าน้องสาวที่แสนเย็นชาของข้า จะมีอารมณ์ความรู้สึกเช่นนี้ด้วย เชียนสุ่ย.. น้อยนักที่ข้าจะได้เห็นเจ้ามีสีหน้าท่าทางเช่นนี้ ไม่สิ.. แทบไม่เคยพบเห็นเลยด้วยซ้ำไป!”
“อ่อ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดพวกเราจึงไม่ฆ่านังเฒ่านั้นทิ้งซะ? ฮ่า ฮ่า เหตุผลก็ไม่มีอะไรมากนัก เวลานี้นางแพศยาได้กลายเป็นหญิงไร้ประโยชน์ไปแล้ว แต่นางยังคงมีใบหน้าที่งดงาม”
“เชียนสุ่ย เจ้าลองคิดดูสิว่าหญิงที่มีใบหน้างดงามแต่อ่อนแอเยี่ยงนาง หนำซ้ำยังไม่มีที่พึ่งพาเช่นนี้ ต่อไปจะถูกผู้คนปฏิบัติเยี่ยงใดกัน?”
ท่านแม่!
หลู่เชียนสุ่ยแทบหมดสติล้มลงไปกับพื้น หลู่ซิงเฉินกับแม่ของนางไม่ต่างจากงูพิษ พวกนางสองแม่ลูกช่างโหดเหี้ยม และมีจิตใจที่ชั่วช้ายิ่งนัก!
หลู่ซิงเฉินหยุดกล่าวสิ่งใดไปครู่หนึ่งในขณะที่จ้องมองหลู่เชียนสุ่ยด้วยแววตามุ่งร้าย “แต่จะว่าไปเจ้าเองก็ไม่ต่างจากแม่ของเจ้านัก เจ้ามีเพียงใบหน้าที่งดงามแต่ก็ไม่ต่างจากขยะไร้ประโยชน์ชิ้นหนึ่ง เจ้าลองคิดดูสิว่าหากเดินออกไปจากตำหนักโดยไม่มีบารมีท่านพ่อคอยคุ้มหัว เจ้าจะต้องพบเจอกับสิ่งใดบ้าง?”
และนี่คือเหตุผลที่นางไม่สังหารหลู่เชียนสุ่ย!
“เจ้า! นังปีศาจชั่วช้า เจ้าจะต้องตกนรกหมกไหม้! ท่านแม่เห็นเจ้าน่าสงสารจึงได้พากลับมาเลี้ยงดูที่ตำหนัก แต่เจ้ากลับปฏิบัติต่อนางเยี่ยงนี้รึ?”
“หึ! เจ้ากล้ากล่าวเช่นนี้อีกรึ? หากไม่ใช่เพราะนางดื้อรั้นไม่ยอมถ่ายทอดวิชาธาราบรรพตให้ ท่านพ่อคงไม่ต้องให้ข้าทำตัวเป็นเด็กสาวต่ำต้อยข้างกายเจ้า..”
“ซิงเฉิน เจ้ามันคนเนรคุณ!” หลู่เชียนสุ่ยร้องตะโกนออกมาอย่างเดือดดาล ความโกรธ ความเคียดแค้น ความเกลียดชังที่สุมอยู่ในอกเวลานี้ กำลังปะทุออกมาพร้อมกันจนนางแทบควบคุมร่างกายไว้ไม่อยู่
หลู่ซิงเฉินยืนจ้องมองด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม นางเป็นสุขกับการที่ได้เห็นหลู่เชียนสุ่ยเจ็บปวด ทุกข์ใจ และไร้ซึ่งความสุขเช่นนี้ ใบหน้าของนางบิดเบี้ยวด้วยความตื่นเต้นสะใจ
จนกระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่...
หลู่เชียนสุ่ยจึงค่อยๆสงบนิ่งลง สีหน้าท่าทางของนางเปลี่ยนเป็นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ แววตามีเพียงความเย็นชา นางจ้องมองหลู่ซิงเฉินอย่างอาฆาตมาดร้าย พลันหยิบกริชออกมากรีดที่ฝ่ามือของตน
โลหิตสีแดงพุ่งกะฉูดออกมา!
หยดเลือดสีแดงกระจายเต็มใบหน้านวลเนียนงดงามนั้น ทำให้นางดูราวกับวิญญาณดุร้าย หลู่เชียนสุ่ยยกฝ่ามือเปื้อนเลือดนั้นขึ้น พร้อมประกาศกร้าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นราวกับวิญญาณที่ผุดออกมาจากขุมนรก
“ข้า, หลู่เชียนสุ่ย ขอใช้โลหิตสีแดงเอ่ยสาบานต่อฟ้าดิน หากข้าไม่ตายไปเสียก่อน จะต้องเข้าร่วมประลองยุทธที่จะมีขึ้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้านี้เป็นแน่ ข้าสาบานว่าจะต้องเอาชนะและทำลายชื่อเสียงของหลู่ซิงเฉินให้ยับเยิน และต้องตอบแทนนางกับแม่ของนางอย่างสาสม สิ่งใดที่นางทำกับข้าและท่านแม่ ข้าจะตอบแทนนางกลับไปเป็นร้อยเป็นพันเท่า!”
สีหน้าท่าทางและแววตาที่จริงจังของหลู่เชียนสุ่ยขณะกล่าวคำสาบาน ทำให้หลู่ซิงเฉินถึงกับสั่นสะท้าน ความหวาดกลัวผุดขึ้นที่ก้นบึ้งของหัวใจ เรือนร่างของนางถึงกับแข็งไปชั่วขณะ แต่ท้ายที่สุดนางก็สามารถกดข่มความรู้สึกเหล่านั้นไว้ได้ และหัวเราะออกมาอย่างเย้ยหยันพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
“ฮ่า ฮ่า เจ้าจะเอาชนะข้าอย่างนั้นรึ? หลู่เชียนสุ่ย เจ้าเองก็ไม่ต่างจากขยะไร้ค่าชิ้นหนึ่ง แม้แต่ระดมพลังปราณเจ้ายังมิอาจทำได้ ไหนเลยกล้าเอ่ยวาจาเช่นนั้นออกมา.. เจ้าควรตื่นจากภวังค์ความฝันได้แล้ว!”
หลู่เชียนสุ่ยไม่สนใจวาจาเย้ยหยันของอีกฝ่าย นางหันหลังแล้วจากไปทันที!
…
ระหว่างทางที่ก้าวเดินออกไปนั้น หลู่เชียนสุ่ยกำมือแน่นไปตลอดทาง เล็บยาวทั้งสิบจิกลงไปในผิวเนื้อจนโลหิตสีแดงปรากฏ แต่เวลานี้ความเจ็บปวดได้แปรเปลี่ยนเป็นความเฉยชา ทำให้นางไม่รู้สึกใดๆทั้งสิ้น
แต่แล้วจู่ๆ สาวใช้ในตำหนักก็ได้เดินนำบุรุษร่างกำยำเดินออกมา
ทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน อีกฝ่ายจ้องมองหยดเลือดในมือของหลู่เชียนสุ่ยด้วยสีหน้าเย้ยหยัน บุรุษนั้นขมวดคิ้วเข้าหากันพร้อมเอ่ยออกไป
“หลู่เชียนสุ่ย ท่านพ่อกับข้าเห็นตรงกันว่าเจ้าไร้ซึ่งคุณสมบัติและไม่คู่ควรกับข้า,ซื่อหมิงหยาง การหมั้นหมายของพวกเราทั้งสองจึงเป็นอันต้องยกเลิก ตระกูลซื่อจึงเปลี่ยนมาหมั้นหมายคุณหนูหลู่ซิงเฉินแห่งตระกูลหลู่ให้กับข้าแทน ข้าหวังว่าเจ้าจะมีเหตุผลมากพอ และไม่มาระรานข้า!”
หลู่ซิงเฉิน! หลู่ซิงเฉินอีกแล้วรึ!
หลู่เชียนสุ่ยยืนนิ่ง ดวงตาทั้งสองข้างที่แดงก่ำแต่เย็นชานั้น ไม่แม้แต่จะเหลือบมองบุรษตรงหน้า นางเอ่ยออกไปเพียงแค่สั้นๆ “หลีกทาง!”
ท่าทายเย็นชาของหลู่เชียนสุ่ยทำให้ซื่อหมิงหยางถึงกับนิ่งไปด้วยความตกตะลึง แต่เมื่อได้สติ ดวงตาทั้งสองของเขาก็จ้องมองไปยังแผ่นหลังของนางพร้อมกับคำรามออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว “นังผู้หญิงเสียสติ!”