ตอนที่8 เสาะหาตำรายุทธ์
หลู่เชียนสุ่ยสงบสติอารมณ์ลงอย่างรวดเร็ว นางนั่งขัดสมาธิแน่วแน่ฝึกปรือรากฐานของดินแดนธารบรรพต ขณะที่นางกำลังจะเริ่ม แต่ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งดับมอดลงไป
“ตอนนี้ดินแดนธารบรรพตมิได้ดูดกลืนพลังปราณของข้าไปอีกแล้ว ท้ายที่สุดข้าก็สามารถบ่มเพาะพลังได้เสียที แต่วรยุทธต่อสู้เดียวที่ข้ารู้จักคือ เพลงดาบธารบรรพต เกรงว่าแค่นี้จะไม่เพียงพอ ไฉนข้าไม่ลองเดินทางไปยังหอตำรายุทธ์สาขาหลักในเมืองดู ลองหยิบวรยุทธต่อสู้สักชนิดมาและกลับมาฝึกปรือ”
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เอง หลู่เซียนสุ่ยก็ออกจากดินแดนธารบรรพต เคลื่อนขยับกายาเล็กน้อย พลางสัมผัสได้ว่ามีกระแสพลังปราณสายหนึ่งไหลเวียนอยู่ในร่าง นับตั้งแต่ที่นางได้รู้ความจริงของตระกูลนาง ใบหน้าเรียวเล็กอันบูดบึ้งนั้น ท้ายที่สุดตอนนี้ก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มจาง
ทว่าดวงเนตรไสวคู่นั้นกลับคมชัดดูมุ่งมั่นขึ้นหลายส่วน
“หลู่จิ้งเฟิง! หลู่ซิงเฉิน! รอข้าก่อนเถิด! หนึ่งเดือนหลังจากนี้ เราจักต้องได้สู้กันแน่นอนในงานประลองคัดเลือกผู้เยี่ยมยุทธประจำเมืองชิงหยุน! ข้าจะชำระหนี้แค้นแทนท่านแม่เอง!”
............................
เวลาล่วงเลยผ่าน ณ ยามบ่าย ในเวลานี้แทบไม่มีใครอยู่ในหอตำรายุทธ์แล้ว นอกจากผู้อาวุโสชูกุย
ยามเห็นหลู่เชียนสุ่ย เขาพลันขมวดคิ้วเข้มทันที
“แม่นางเชียนสุ่ย เจ้าเองก็ควรทราบ ที่แห่งนี้มีเพียงบุคคลที่มีพรสวรรค์เท่านั้นที่สามารถเข้ามาหอตำรายุทธ์แห่งนี้ได้! ส่วนเจ้ามิได้รับอนุญาต!”
หลู่เชียนสุ่ยไม่ค่อยชอบขี้หน้าผู้คนภายในตำหนักเจ้าเมืองเป็นทุนเดิม สีหน้าและน้ำเสียงเอ่ยตอบเรียบนิ่งเคลือบเสียงเย็นชืด
“ข้าทราบ”
จากนั้นนางก็ระดมพลังปราณพื้นฐานออกมาจากกายานางทันที
เมื่ออีกฝ่ายเห็นดังนั้น พลันรู้สึกประหลาดใจยิ่งยวดต่อภาพฉากเหล่านี้ เขาพยักหน้าทันทีอย่างช่วยมิได้ หลู่เชียนสุ่ยเพียรฝึกปรือมานับสิบปี แต่นางก็ยังไม่สามารถระดมพลังปราณได้ ผู้คนส่วนใหญ่ต่างคิดว่านางไร้ประโยชน์ แม้แต่ท่านเจ้าเมืองเองก็ยังจำต้องตัดใจยอมแพ้ แต่ใครจะไปคิด ยามนี้นางอายุสิบหกปีกลับสามารถบ่มเพาะพลังได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
ในตอนนั้น พรสวรรค์ของท่านแม่นางเป็นที่ประจักษ์ว่าน่าประทับใจเพียงใด อีกทั้งรากฐานการบ่มเพาะพลังของนางยังเหนือชั้นกว่าท่านเจ้าเมืองคนก่อนเสียอีก บางทีตอนนี้หลู่เชียนสุ่ยอาจได้รับสืบทอดพรสวรรค์ของท่านแม่นางมา และในภายภาคหน้า อาจกลายมาเป็นเสาหลักดูแลบ้านเมืองช่วยเหลือท่านเจ้าเมืองอีกแรงหนึ่งได้ เพียงว่าพรสวรรค์นี้จำต้องอดทนรอคอยเวลาให้มันเติบโตเท่านั้น
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แม่นางเชียนสุ่ยโปรดเชิญ”
ไม่เพียงกิริยาท่าทาง กระทั่งน้ำเสียงของเขาก็ดูสุภาพลงจากก่อนหน้ามาก
คู่ดวงเนตรของหลู่เชียนสุ่ยหลี่แคบเร้นลงเล็กน้อย ขณะย่างเท้าก้าวตรงไปในหอตำรายุทธ์ทันที นางอดเตือนสติตนเองมิได้ว่า มีเพียงผู้ชนะเท่านั้นที่ได้รับความเคารพและความสำคัญ! ส่วนคนอ่อนแอ...อย่าแม้แต่จะกล่าวถึงความยุติธรรม พวกเขาไม่มีแม้นศักดิ์ศรีด้วยซ้ำ!
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ นางพลันกำหมัดแน่นจนสั่นเทา
ข้าจักต้องกลายมาเป็นผู้ชนะ!
..................
วรยุทธ์จะแบ่งได้ทั้งหมดสี่ระดับชั้น ชั้นฟ้าคือระดับที่แกร่งกล้าที่สุด ในขณะที่ชั้นเหลืองคืออ่อนแอที่สุด และทุกระดับชั้นยังแบ่งได้อีกสามขั้นย่อยได้แก่ ขั้นต้น, กลางและสูง
จักรวรรดิราชวงศ์สวรรค์ทอดยาวไพศาลแผ่ไกลนับหลายหมื่นลี้ มีสิบแคว้น หนึ่งร้อยเขต สามร้อยเมือง และเมืองชิงหยุนเป็นเพียงหนึ่งในสามสิบเมืองแห่งแคว้นลิ่วหยุนเท่านั้น วรยุทธที่ทรงอานุภาพที่สุดในหอตำรายุทธ์แห่งนี้คือ วรยุทธชั้นเหลืองขั้นสูง
ซึ่งหลู่เชียนสุ่ยก็หาได้สนใจวรยุทธเหล่านี้ไม่
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นางกำลังมองหาอยู่ก็คือวรยุทธเพลงหมัด ฝีเท้าชะงักหยุดตรงชั้นวาง ณ จุดหนึ่งทันที
‘เพลงหมัดสะบั้นบรรพต ระดมพลังทั้งหมดรวมกันเป็นจุดเดียวและปลดปล่อยเพลงหมัดสุดแกร่งกล้าออกไป มหาสมุทรทวนย้อน หุบเขาสลักบรรพตแตกสะบั้นในหนึ่งกระบวน! แต่เป็นวรยุทธคอนข้างลึกล้ำจำต้องอาศัยความเพียรพยายามในการฝึกปรือให้หนัก’
หลู่เชียนสุ่ย หยิบตำราเพลงหมัดสะบั้นบรรพตออกมา และตรงออกไปยังประตูเพื่อลงทะเบียน
“นี่รึ?!”
เมื่อผู้อาวุโสชูกุยเห็นตำราเพลงหมัดสะบั้นบรรพต หัวคิ้วของเขาพลันขมวดแน่นขึ้นเล็กน้อย พินิจจากสีหน้าท่าทางดูจะไม่ค่อยพึงพอใจนัก เพลงหมัดนี้แม้จะดูเรียบง่าย แต่จำต้องอาศัยระยะเวลาฝึกปรือค่อนข้างมาก ยิ่งไปกว่านั้น การจะสำแดงอานุภาพของเพลงหมัดนี้เป็นเรื่องที่ยากยิ่ง ในตำหนักเจ้าเมืองมีน้อยคนนักที่ฝึกสำเร็จจนเชี่ยวชาญ แต่หลู่เชียนสุ่ยกลับเลือกวรยุทธชนิดนี้มาฝึกปรือจริงๆ
หรือเป็นเพราะแค่มันเป็นวรยุทธระดับสูงสุดภายในหอตำรายุทธ์เท่านั้นจึงเลือกหยิบสรรไป?
นางคนนี้ไม่สามารถเข้าใจได้จริงๆ!
แม้เขาจะไม่ค่อยพอใจนัก แต่ลึกๆในใจแล้ว ผู้อาวุโสชูกุยยังคงให้กำลังใจหลู่เชียนสุ่ยต่อไป นำตำรายุทธ์เล่มนี้เข้าจดทะเบียนเสร็จสรรพ จึงกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า
“จงจำเอาไว เจ้าจะต้องนำมาคืนที่เดิมภายในสามวัน”
“เข้าใจแล้ว”
หลู่เชียนสุ่ยจากไปพร้อมกับตำรายุทธ์เล่มนั้น